คนจำนวนมากที่ซื้อล็อตเตอรี่บ่อย ๆ แทบทุกงวด โดยซื้อทั้ง ๆ ที่รู้ว่าโอกาสถูกรางวัลหรือเลขท้ายมีน้อยมาก ซื้อไปก็ถูกกิน ขาดทุน เสียเงินเปล่า แต่ก็ยังซื้อ
หนังสือพิมพ์ลงข่าวบ่อย ๆ ว่า คนนั้นคนนี้รวยเละเพราะถูกหวย พลิกตัวเองทันทีจากยาจกเป็นเศรษฐี แต่แม้จะรู้ว่าถ้าเอารายชื่อคนรวยและเจ๊งเพราะหวยในแต่ละงวดมาพิมพ์เปรียบเทียบกัน ถ้าพื้นที่ที่ใช้พิมพ์ชื่อคนเจ๊งเพราะหวยเต็มหน้ากลางหนังสือพิมพ์ รายชื่อคนรวยเพราะหวยคงใช้พื้นที่พิมพ์แค่คอลัมน์นิ้วเล็ก ๆ สั้น ๆ แต่ทั้ง ๆ ที่รู้เช่นนี้ผู้คนก็ยังหวังว่า วันหนึ่งข้างหน้า ถ้ายังมีความขยันหมั่นเพียรวิริยะอุตสาหะศรัทธาปสาทะในการควักเงินซื้อหวยไปเรื่อย ๆ ชื่อของตนอาจจะอยู่ในคอลัมน์นิ้วเล็ก ๆ นั้นกับเขาบ้าง
แท้จริงแล้ว หวยหรือล็อตเตอรี่จึงไม่ได้ขายความรวย แต่ขายความหวัง และคนซื้อหวยก็ซื้อความหวังว่าจะได้รวยกับเขาบ้าง ไม่ได้ซื้อความรวยซื่งตัวเองก็รู้อยู่ว่าเลื่อนลอย
แต่คนซื้อหวยแม้จะซื้อทุกงวดก็มิใช่คนผิดปกติ (ถ้าไม่ได้ซื้อมากเกินไป) เขาเป็นคนปกติอย่างสมบูรณ์ เพราะคนเราก็ต้องอยู่ด้วยความหวังกันบ้าง มีความหวังและผิดหวัง ก็ยังดีกว่าไม่มีความหวังเอาซะเลย
อย่างไรก็ตาม เรื่องของเรื่องก็คือว่า คนโดยทั่วไปที่แม้จะซื้อหวยแทบทุกงวด แต่เขาก็มิได้อยู่รอดด้วยหวังเงินรางวัลหรือเลขท้ายจากการถูกหวย เขาประกอบอาชีพเป็นแหล่งรายได้หลัก การซื้อหวยจึงเป็นเพียงของเล่นให้ได้ลุ้นบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง
เมื่อมองย้อนมาดูคนที่ต้องการเก่งภาษาอังกฤษ มันน่าเศร้าที่พบว่าหลายคนชอบฝันหวานยิ่งกว่าคนซื้อหวยรอถูกรางวัล
ในฐานะบล็อกเกอร์ของ e4thai.com มีคนถามมาบ่อยว่า ตัวเขาเองภาษาอังกฤษอ่อนมาก ทำยังไงถึงจะเก่งภาษาอังกฤษเร็ว ๆ ถ้าคำถามย้อนกลับของผมไม่ทำให้ท่านเสียความรู้สึก ผมก็อยากจะถามกลับโดยใช้ทั้ง 3 tense ดังนี้
ใช้ past tense: ในอดีตสมัยคุณเป็นเด็กหรือวัยรุ่น อยู่ชั้นประถม มัธยม หรือมหาวิทยาลัย คุณได้ใส่ใจหรือฝึกปรือวิชาภาษาอังกฤษมากน้อยแค่ไหน
ใช้ present tense: ณ ปัจจุบันนี้ คุณได้เจียดเวลาให้แก่การฝึกภาษาอังกฤษวันละประมาณกี่นาที สัปดาห์ละประมาณกี่วัน
ใช้ future tense: คุณกะว่าในอนาคต พรุ่งนี้ เดือนหน้า หรือสิ้นปี คุณมีแผนการจะฝึกฝนพัฒนาภาษาอังกฤษในด้านใดบ้าง
คำตอบของคุณต่อคำถามทั้ง 3 tense ของผมคืออะไร?
หลายคนไม่ยอมตอบคำถามของผม เอาแต่ย้ำคำถามเดิมของตัวเองว่า ทำยังไงจึงจะเก่งภาษาอังกฤษได้เร็ว ๆ(ราวปาฏิหาริย์) ถามอย่างนี้ไม่ต่างจากถามว่า ทำยังไงจึงจะซื้อล็อตเตอรี่ให้ถูกรางวัลที่ 1 เพราะคำตอบเดียวที่ให้ได้ก็คือ ไม่มีวิธีหรอกครับ เลิกถามได้
คนที่เอาแต่ถามว่าทำอย่างไรจึงจะเก่งภาษาอังกฤษโดยรวดเร็ว แต่ไม่เปิดตาฝึกอ่าน ไม่เปิดหูฝึกฟัง ไม่ขยับปากฝึกพูด และไม่กระดิกนิ้วฝึกเขียนภาษาอังกฤษ ก็ไม่ต่างจากคนที่เอาแต่ซื้อหวยและรอลุ้นคราวละครึ่งเดือนโดยไม่ทำงานหาเงิน ใคร ๆ ก็มองออกว่า ผลลัพธ์ที่พึงได้จากการฝึกภาษาอังกฤษหรือทำมาหากิน ที่ดีแต่ฝันแต่ไม่ฝึกฝน จะลงท้ายอย่างไร
ในการทำมาหากินประกอบอาชีพและการฝึกภาษาอังกฤษ มีเรื่องหนึ่งที่น่าเศร้าคล้าย ๆ กัน เรื่องนั้นไม่ใช่การฝันหวาน อยากรวยเร็ว - อยากเก่งเร็ว แต่คือการดูถูกรายได้น้อยที่ได้แน่ ๆ ทุกวันถ้าทำงานจริงจัง และการดูถูกความเก่งภาษาอังกฤษนิดเดียวที่ได้แน่ ๆ ทุกวันถ้าฝึกจริงจัง เงินและทักษะนั้นเหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ มันสามารถสะสมตัวมันเองทีละน้อย และจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ายังไม่เลิกสะสม
ฝันหวานไม่ใช่เรื่องผิด แต่เรื่องผิดคือไม่ยอมฝ่าฝัน เอาแต่ฝันหวานรอให้ความรวยมาหล่นทับ เอาแต่ฝันหวานรอให้ความเก่งมาเกยหน้าบ้าน - มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ
ถ้าท่านอ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้วรู้สึกหงุดหงิดคิดว่าผมใจแคบไม่ยอมเข้าใจคนอ่อนภาษาอังกฤษ ผมขอโทษด้วยครับ ผมมิได้หมายใจเช่นนั้นเลย แต่ที่คุยมานี้เพียงเพื่อจะพยายามชี้ความจริงที่หลายคนไม่ชอบมองทั้ง ๆ ที่มันตั้งอยู่ข้างหน้า
แต่ถ้าท่านใดอ่านแล้วรู้สึกเกิดกำลังใจ ผมก็ขอเรียนว่า ใจที่ท่านรู้สึกว่ามีกำลังขึ้นมานี้ คงเป็นเพียงกำลังชั่วคราว แต่กำลังใจจริง ๆ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ท่านลุยเดินหน้าฝึกภาษาอังกฤษ ก้าวข้ามความเบื่อ ความเซ็ง ความท้อแท้ ไปได้ และสามารถสะสมความเก่งได้ทีละน้อย ๆ ด้วยขันติของตน เมื่อใจได้ออกแรง- ใจก็จะมีกำลัง เป็นกำลังใจอันแท้จริงเข้มแข็งที่ท่านให้แก่ตัวเอง ไม่ได้เป็นเพียงกำลังใจอันแผ่วเบาและชั่วคราวที่ผู้หวังดีกล่าวมอบให้
พิพัฒน์
www.facebook.com/e4thai
e4thai@live.com