สวัสดีครับ
ผมคิดว่าการที่เราฟังฝรั่งพูดไม่ค่อยเข้าใจก็เพราะว่า เราไม่คุ้นเคยกับการออกเสียงแบบเชื่อมเสียงของคำภาษาอังกฤษ เพราะภาษาไทยเรา คำเดี่ยว ๆ ออกเสียงอย่างไร เมื่อเอามาวางติดกันก็ยังคงออกเสียงอย่างนั้น และแม้จะเอาคำที่ออกเสียงยากตามกฎเกณฑ์นี้มาต่อกัน การออกสียงก็ยังคงยึดหลักเสียงของคำไหนก็คำนั้นเช่นเดิม เช่น
...กินมันติดเหงือก กินเผือกติดฟัน กินทั้งมันกินทั้งเผือก ติดทั้งเหงือกติดทั้งฟัน
....ไปยะลามาระยอง ฉลวยขึ้นล่องระหว่างระยอง-ยะลา
.....ยายกินลำไยน้ำลายยายไหลย้อย
......ทหารบกแบกปืนเบิกปูนไปโบกตึก
แต่ภาษาอังกฤษไม่ใช่อย่างนี้ เพราะถ้ามีคำ 2 คำมาอยู่ติดกัน, เมื่อออกเสียง, เสียงสุดท้ายของคำแรก กับเสียงแรกของคำหลัง จะเชื่อมกันจนอาจจะต้องเปลี่ยนเสียงที่ออก ทั้งนี้เพื่อช่วยให้การออกเสียงง่าย หรือไหลลื่นขึ้น การเชื่อมเสียงในลักษณะนี้เรียกว่า Connected Speech
เว็บที่อธิบายเรื่องนี้ได้อย่างกระชับดีมาก ๆ ก็คือเว็บของ BBC ที่นี่ครับ
โดยเขาบอกว่ามีการออกเสียงต่อเนื่องกัน อยู่ 4 แบบ คือ
(1)Sounds link (เสียงเชื่อมกัน)
(2) Sounds disappear (เสียงหายไป)
(3) Sounds join together (เสียงรวมกัน)
(4) Sounds change (เสียงเปลี่ยน)
ผมขอ copy คำอธิบายของ BBC มาลงไว้ และแปลเป็นไทยเทียบ ข้างล่างนี้ครับ
(1) Sounds link (เสียงเชื่อมกัน) มีอยู่ 3 ลักษณะ คือ
1.1-Consonant to vowel linking (เสียงพยัญขนะ เชื่อมกับเสียงสระ)
Consonant to vowel linking
When one word ends with a consonant sound and the next word begins with a vowel sound there is a smooth link between the two. In these examples the link is shown in red joining the linked words. These examples also show where the weak form schwa would be pronounced.
เมื่อคำแรกลงท้ายด้วยเสียงพยัญชนะ และคำหลังขึ้นต้นด้วยเสียงสระ เสียง 2 เสียงนี้ก็จะเชื่อมกัน เช่น
1.2-Vowel to vowel linking (เสียงสระ เชื่อมกับเสียงสระ)
When one word ends with a vowel sound and the next word begins with a vowel, another sound, a /w/ or /j/ can be added depending on the particular sounds to make a smooth transition. In these examples the link is shown in red along with the phonemic symbol for the sound which is added to make the link smooth.
เมื่อคำแรกลงท้ายด้วยเสียงสระ และคำหลังขึ้นต้นด้วยเสียงสระ เช่นกัน เพื่อให้การออกเสียงไหลลื่น ก็จะมีการเติมเสียง w หรือ j เข้าไประหว่าง 2 คำนี้ ตามตัวอย่างข้างล่าง
1.3-Linking 'r' (เสียงตัว r เชื่อมกับเสียงสระของคำถัดไป)
In standard British English (RP) the letter 'r' after a vowel sound at the end of word is often not pronounced. However, when the following word begins with a vowel the /r/ sound is pronounced to make a smooth link
การออกเสียงแบบอังกฤษ ตัว r ท้ายคำไม่ออกเสียง เช่น ca(r) แต่ถ้าคำถัดไปเริ่มต้นด้วยเสียงสระ เช่น owner เสียงตัว r ก็จะไปเชื่อมกับเสียงสระ เป็น car owner (คาโรเนอะ)
(2) Sounds disappear (เสียงหายไป)
When the sounds /t/ or /d/ occur between two consonant sounds, they will often disappear completely from the pronunciation
เมื่อเสียงตัว t หรือ d ไปอยู่ระหว่างเสียงพยัญชนะ 2 เสียง เราไม่ออกเสียงตัว t หรือ d นี้ เช่น
I'm going nex(t) week
That was the wors(t) job I ever had!
Jus(t) one person came to the party!
I can'(t) swim
(3) Sounds join together (เสียงรวมกัน)
When a word ends in a consonant sound and the following word begins with the same consonant sound, we don't pronounce two sounds - both sounds are pronounced together as one
เมื่อเสียงท้ายคำแรก และเสียงแรกของคำหลัง เป็นเสียงพยัญชนะเสียงเดียวกัน เราออกเสียง 2 เสียงนี้เป็นเสียงดียว ไม่ต้องออกเป็น 2 เสียง
I'm a bit tired
We have a lot to do
Tell me what to say
She's slept for three hours
I've finished
(4) Sounds change (เสียงเปลี่ยน)
When a word ends in a consonant sound and the following word begins with a consonant sound, depending on the particular sounds, the last sound of the first word or both the last sound and the first sound of the next word can change.
เมื่อคำแรกลงท้ายด้วยเสียงพยัญชนะ และคำหลังก็ขึ้นต้นด้วยเสียงพยัญชนะ เสียงสุดท้ายของคำแรก หรือ ทั้งเสียงท้ายคำแรกและเสียงแรกของคำหลัง จะเปลี่ยนไป ส่วนจะเปลี่ยนไปเป็นเสียงอะไร ก็ขึ้นอยู่กับความเฉพาะของทั้ง 2 เสียงนี้ เช่น
Good girl. She's a good girl. (goog girl)
Good boy. He's a good boy. (goob boy)
White paper. I only use white paper. (whipe paper)
Speed boat. I've never been in speed boat. (speeb boat)
การที่ภาษาไทยเรา เมื่อออกเสียงคำใดคำหนึ่งแล้ว เสียงก็หยุดอยู่แค่นั้น ไม่ต้องออกเยื่อไยท้ายเสียง และเมื่อเราออกเสียงคำในภาษาอังกฤษ เราก็พลอยไม่ออกท้ายเสียงตามไปด้วย ท่านลองคลิกฟังคำต่อไปนี้ดูซีครับ และให้สังเกตการออกเสียงท้ายคำด้วย
และพวกเสียงท้ายของคำแรก + และเสียงแรกของคำถัดไป นี่แหละครับ ที่เป็นการบ้านให้เราต้องฝึกทั้งฟังและพูด เพราะว่าเราไม่สามารถเอาวิธีการออกเสียงคำในภาษาไทย ไปใช้กับการออกเสียงคำในภาษาอังกฤษ ในลักษณะนี้
ขอย้ำว่า... ในการฝึก ต้องฝึกทั้งฟังและพูด มันถึงจะเกิดแรงมากพอ ที่จะปรับหูในการฟัง และปรับปากในการพูด และเนื่องจากตามธรรมชาตินั้น ปากจะพูดตามที่หูได้ยิน ถ้าเราได้ยินน้อยเกินไป หรือไม่ตั้งใจเมื่อได้ยิน ปากก็จะพูดไปตามที่ใจคิด หรือพูดตามความชอบใจ ซึ่งบ่อยครั้งไม่ถูก
ขอเรียนว่า เมื่อท่านได้รู้หลักเกณฑ์การเชื่อมเสียงข้างต้นนี้ ก็ขอให้ท่านสังเกตเมื่อฟังและระวังเมื่อพูด ไม่ต้องถึงกับเกร็งหรอกครับ แต่ควรคำนึงไว้บ้าง
พิพัฒน์
e4thai@live.com