วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บันทึกจากเตียงคนไข้ ในโรงพยาบาลจังหวัดนครนายก

 ขอขอบพระคุณทุกท่านในเมตตาจิตที่ให้
ผมเชื่อว่า คำแผ่เมตตาที่ท่านมอบให้ ไม่ว่าท่านจะเขียนลงให้ผมอ่านหรือไม่ก็ตาม
มีพลังที่ช่วยให้ผมมีสุขภาพดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น
ผมขอรับพรของทุกท่านด้วยความขอบคุณ และซาบซึ้งใจครับ
* * * * *
สวัสดีครับ
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องอยู่ในวิสัยที่คาดหมายได้ แต่ผมไม่คาดว่ามันจะเกิดกับผม

พวกเราทั้งหมด 8 คนจากกองวิเทศสัมพันธ์ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ออกเดินทางโดยรถตู้ในบ่ายวันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2554 เพื่อไปทำกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ที่จังหวัดนครนายก ในวันเสาร์-อาทิตย์

ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ พวกเราเดินทางไปตามเส้นทางปกติ check in เข้า โรงแรมตามปกติ, ออกมาหาอาหารเย็นกินตามปกติ, กลับเข้าที่พักและอาบน้ำ ต่างคนต่างนอนในห้องพักของตนตามปกติ, และทุกคนก็ตื่นขึ้นในเช้าวันเสาร์ตามปกติ, ทุกเหตุการณ์, ทุกคน ปกติหมด ยกเว้นผมคนเดียวที่ไม่ปกติ

ที่ไม่ปกติก็เพราะว่า ถ้าเป็นวันอื่น ๆ ผมจะนั่งค้นคว้าหาข้อมูลอยู่หน้าเน็ต และเขียนบทความลง e4thai.com และทำนั่นทำนี่ กว่าจะล้มตัวลงนอนก็เที่ยงคืนหรือเกือบตี 1 แต่คืนวันศุกร์นี้ผมนอน 3 ทุ่ม เร็วกว่าปกติหลายชั่วโมง  เพราะที่โรงแรมไม่มีเน็ตให้เล่น

พอตื่นขึ้นมาเช้าวันเสาร์เวลา 7 โมงกว่า ๆ, นี่ก็เป็นเวลาตื่นตามปกติ  ผมอาบน้ำและฉีดอินซูลิน 35 ยูนิต (นี่ก็เรื่องปกติ ผมฉีดอย่างนี้มานานแล้ว)  ก่อนจะออกไปกินข้าวกับเพื่อนที่มาด้วยกัน

ผม ใส่กางเกง ใส่เสื้อ ทันใดก็รู้สึกมีอาการหน้าวูบ เพราะระดับน้ำตาลลด  อันเป็นอาการผิดปกติที่ปกติของคนเป็นโรคเบาหวาน   ผมรีบคว้าหลอดน้ำผึ้งที่อยู่ข้างตัวมาบีบใส่ปากมากพอสมควร แต่ไม่กล้าบีบมากเกินไป เพราะคราวก่อนเคยมีอาการอย่างนี้และบีบมาก ๆ กลายเป็นว่าน้ำตาลในกระแสเลือดเปลี่ยนจากน้อยเกินเป็นมากเกิน  งวดนี้จึงบีบน้ำผึ้งแต่พอประมาณก่อน  กะว่าถ้ายังไม่ดีขึ้นจะบีบเติมอีก  นี่ก็เป็นวิธีการดูแลตัวเองของคนเป็นเบาหวาน เป็นเรื่องปกติอีกเช่นกัน

โด๊พ น้ำผึ้งเสร็จ ผมหยิบรองเท้าผ้าใบมาสวม ผูกเชือกหูรองเท้า แต่ผูกยังไม่ทันเสร็จ ก็หน้าวูบและหมดสติไปเลย ตรงนี้แหละครับที่ไม่ปกติ...  ไม่ปกติเอามาก ๆ

มารู้ตัวอีกครั้งในท่านอนบนเตียงคนไข้รวมในโรงพยาบาลจังหวัดนครนายก !!

เวลาที่เพิ่งฟื้นในโรงพยาบาล

ช่วง เวลาที่ไม่รู้สึกตัว เพื่อน ๆ ที่ไปด้วยกันเล่าให้ฟังตอนฟื้นว่า เขาไปเจอผมนั่งที่ปลายเตียง ก้มหน้านิ่งในท่าผูกเชือกหูรองเท้า เขาตกใจเลยดึงไปนอนบนเตียง  แต่เห็นท่าทางไม่ดีเลยรีบหิ้วปีกขึ้นรถตู้พาไปโรงพยาบาลจังหวัดนครนายกทันที มีน้องคนหนึ่งเอาท๊อฟฟี่ใส่ปากให้ 1 เม็ด เพราะคิดว่าน้ำตาลคงลดและกะให้ช่วยเพิ่มน้ำตาล

มา ถึงโรงพยาบาลหมอให้กลูโคสและน้ำเกลือ เมื่อผมตื่นผมรู้โดยไม่ต้องมีคนมาบอกว่าผมข้ามพ้นขีดตายแล้ว   รู้สึกว่านอนอีกสักชั่วโมงก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้  แต่คุณพยาบาลบอกว่า หมอให้นอนค้าง 1 คืน เพราะตอนนี้ระดับน้ำตาลยังไม่แน่นอน ขอขอบคุณคุณหมอพิเชษฎ์ คุณพยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ช่วยให้ผมรอดชีวิต  ผมสังเกตว่าพวกท่านเหล่านี้ไม่ได้ดีกับผมคนเดียว แต่ตั้งใจรักษา เป็นกันเองและสุภาพกับคนไข้และญาติคนไข้ทุกคน

เพื่อน ๆ เข้ามาล้อมเตียง และสงสัยว่าช่วงที่ไม่รู้ตัวทำไมบอกให้ขยับตัวไปทางนั้นทางนี้ก็ทำตามได้ ผมไม่รู้ว่าจะตอบยังไงเพราะมันไม่รู้ตัวจริง ๆ ถ้าให้ตอบอย่างถูกต้องที่สุดก็ต้องพูดว่า ทำตามไปอย่างไม่รู้ตัว  

พูด เล่นพูดแซวกันสักพัก  ผมก็บอกเพื่อน ๆ ให้ไปดำเนินตามกิจกรรมที่ตั้งไว้ตามปกติ  บอกว่าคืนนี้ผมนอนโรงพยาบาลคนเดียวได้โดยมีต้องมีคนเฝ้าไข้เพราะผมไม่กลัวผี  โธ่! ใคร ๆ ก็รู้ว่า ทุก ๆ เตียงในโรงพยาบาลเคยมีคนนอนตาย เพราะฉะนั้นเราจึงนอนร่วมเตียงหรือร่วมห้องเดียวกับคนตาย และคนที่ตายแล้วก็อาจจะกลับมาเยี่ยมเตียงที่เคยนอนครั้งสุดท้าย หรือห้องที่เขาหมดลมหายใจ คนที่ยังไม่ตายและหายใจอยู่ไปเห็นเขาก็กลัวเขาไปเอง ผมบอกเพื่อนว่าการที่ผมไม่กลัวผีเพราะผีก็คือเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย พูดให้เจาะจงก็คือ เพื่อนร่วมตายหรือร่วมสถานการณ์ใกล้ตายในสถานที่เดียวกัน เพราะฉะนั้น แทนที่จะกลัวผีหรือสวดมนต์ไล่ ควรจะแผ่เมตตาหรืออุทิศผลความดีที่เคยทำให้เพื่อนต่างภพ

(พูดถึงเรื่องผี ผมนึกถึงเรื่องหนึ่งสมัยที่ยังห้าวตอนเป็นหนุ่มใหม่ ๆ และอยากเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง ค่อยมาเล่าวันหลังแล้วกันครับ)

ขณะที่เขียนถึงบรรทัดนี้เป็นเวลา 13.42 น. ซึ่งผมเป็นคนไข้ได้ประมาณ 6 ชั่วโมง  รู้สึกว่าเป็นปกติดีหมดทุกอย่าง ปลอดโปร่งทั้งร่างกายและจิตใจ  เจ้าหน้าที่นำอาหาร เบาหวาน-ธรรมดามาให้ ผมก็กินเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาหารอย่างหนึ่งเป็นแกงจืดที่รสชาติปกติมาก   แต่ก็เหมาะมากกับคนที่ร่างกายเพิ่งจะปกติอย่างผม

เพื่อน ผมถามขอเตียงพิเศษ แต่ทางโรงพยาบาลไม่มี ผมจึงอยู่ในห้องรวมและก็คิดว่าดีแล้วที่ได้นอนในห้องรวม  เพราะการอยู่ห้องรวมทำให้ได้รู้และรู้สึกหลายเรื่องราว เป็นประสบการณ์ที่คนไข้ในห้องพิเศษอาจจะไม่เจอ

อย่าง เช่นสมุดฉีกเล่มนี้ และปากกาด้ามนี้ ที่ผมใช้บันทึกข้อความขณะนี้ ผมก็วานน้องคนหนึ่งที่มาเฝ้าคนไข้เตียงข้าง ๆ ไปช่วยซื้อให้ที่ร้านเซเว่นในโรงพยาบาล ในเวลาเช่นนี้ที่ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน ผมคงได้แค่นึกว่าจะเขียนเรื่องอะไรเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง แต่ถ้าไม่ได้บันทึกทันที หลายเรื่องก็คงลืม เรื่องที่อยากเล่าก็เลยไม่ได้เล่า

เมื่อตะกี้ ผมรู้สึกปวดปัสสาวะ ผมจึงใช้มือขวาชูถุงน้ำเกลือที่ฉีดเข้าหลังมือซ้ายเดินไปเข้าห้องน้ำ เจอเด็กหนุ่มคนหนึ่งคราวหลาน คงเห็นท่าทางทุลักทุเลของผมจึงมีน้ำใจบอกว่า ผมถือถุงน้ำเกลือให้ครับ และถือพร้อมกับหันหลังให้  นี่คือน้ำใจในห้องคนไข้รวม เป็นความพิเศษที่เราคงไม่เจอในห้องพิเศษ

นอน นานจนสดชื่นสุดขีดแล้ว ผมก็ลุกนั่งและได้สังเกตคนไข้ในห้องใหญ่นั้นที่มีคนมาเยี่ยม พลันผมก็นึกถึงสิ่งที่ชาวพุทธพูดถึงกันบ่อย ๆ คือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อันเป็นสิ่งที่ผู้มีสติควรระลึกถึงอยู่เนือง ๆ เพื่อการใช้ชีวิตที่ไม่ประมาท

ในระยะไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ผมไปฟังพระสวดศพญาติของมิตรหลายคน ส่วนใหญ่ตายเพราะโรคมะเร็งที่พอรู้ตัวก็เข้าระยะที่ 4  รักษาไม่หายแล้ว  แต่มีอยู่รายหนึ่งที่อายุ 20 ปีก็ตาย ขณะที่ขับรถเก๋งชนท้ายรถบรรทุกเพราะหลับใน

ถ้าพูดถึงที่อยู่ของคนตายหรือใกล้ตาย ก็อาจจะพูดได้ว่า วัดคือที่อยู่ของคนตาย โรงพยาบาลคือที่อยู่ของคนใกล้ตาย ทั้ง 2 แห่งนี้จึงถือเป็นสถานที่อันวิเศษในการฝึกเจริญมรณสติ

ใน ห้องคนไข้รวมที่ผมอยู่ขณะนี้ มีบางเตียงคนไข้อาการหนัก ดูหน้าตาและท่าทางแล้ว  ทั้งคนไข้และคนเฝ้าไข้ไร้กำลังใจและความสดชื่น แต่บางเตียงมีญาติมิตรมาเยี่ยมเยอะ พยายามพูดจาให้คนไข้มีกำลังใจ มีความหวังว่าจะหายและกลับบ้านได้ในเร็ววัน

แต่ ผมกลับมองอีกด้านหนึ่ง ในขณะที่เป็นความเหมาะสมอย่างยิ่งที่เราผู้เยี่ยมจะพูดให้กำลังใจคนไข้ที่ไป เยี่ยม  แต่ภายในจิตใจของทั้งคนไข้และคนเยี่ยมไข้ ควรใช้เวลาที่อยู่บนเตียงหรือนั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้ เพื่อการเจริญมรณสติหรือความไม่แน่นอนของชีวิต  เหมือนกับที่วัดเป็นที่เจริญสติของคนฟังพระสวดศพ เพราะคนตายไม่มีโอกาสเจริญสติใด ๆ ทั้งสิ้นอีกแล้ว การเจริญสติจึงเป็นสิทธิพิเศษของคนที่ยังไม่ตายเท่านั้น  ถ้าตอนยังไม่ตายไม่เจริญสติ ก็คงทำได้เพียงให้ความตายของตนเป็นเครื่องเจริญสติของคนที่ยังไม่ตาย คงทำได้แค่นี้เอง
* ** * * *
ผมเป็นเบาหวานและฉีดอินซูลินตั้งแต่เริ่มเป็นเมื่ออายุ 30 ปีจนขณะนี้อายุ 52 ปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมช็อกเพราะน้ำตาลลดเพราะเบาหวาน ลดเหลือ 31 จากค่าปกติ 80-100 และโชคดีที่ฟื้นได้เมื่อรถพามาถึงมือหมอที่โรงพยาบาล  พยาบาลที่วอร์ดบอกผมว่า หลายคนไม่ได้โชคดีอย่างผม  เพราะเขาไม่ฟื้น

ขณะนี้เวลา 14.34 น. คนเยี่ยมไข้ส่วนใหญ่ในห้องรวมนี้กลับไปหมดแล้ว เหลือเพียงญาติสนิทอยู่เฝ้าไข้เตียงละ 1 คน ยกเว้นเตียงผมเตียงเดียวที่ไม่มีคนเฝ้าไข้ ซึ่งก็ดีแล้วเพราะผมไม่มีไข้ให้เฝ้า  ผมกำลังคิดถึงสิ่งที่เรียกว่า กำลังใจ

ดู เหมือนว่าเมื่อคนเราเป็นไข้ ไม่ว่าไข้กายอันเกิดจากสุขภาพกายทรุดโทรม  หรือไข้ใจอันเกิดจากการใช้ชีวิต ทุกคนต่างต้องการยาแก้ไข้ที่มีกำลังใจเป็นส่วนผสม  กำลังใจจึงเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต เพราะใจที่มีกำลังจะเป็นพลังขับเคลื่อนของชีวิตเพื่อพิชิตทุกปัญหาไม่ว่า เล็กหรือใหญ่

ผมนั่งเขียนบันทึกอยู่บนเตียงคนไข้แต่ใจนึกถึงแฟนบล็อกซึ่งอยู่ที่บ้าน จากประสบการณ์เกือบ 5 ปีที่เป็น blogger e4thai.com ผมขอสรุปว่า ปัญหาใหญ่ ๆ ของการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองผ่านเน็ตมีอยู่ 3 อย่าง คือ 1)ใช้คอมฯไม่เป็น 2)ศึกษาด้วยตัวเองไม่เป็น และ 3)ให้กำลังใจตัวเองไม่เป็น

คน ให้กำลังใจตัวเองไม่เป็นคงเหมือนคนไข้ไร้คนเยี่ยม ซึ่งจะมีกำลังใจก็ต่อเมื่อมีคนมาเยี่ยม  แต่คนเยี่ยมไข้เขามาแล้วก็กลับไป  คนไข้จึงต้องอยู่กับไข้ และอยู่กับใจของตัวเองเท่านั้น

ถ้า คนเรียนภาษาอังกฤษไม่รู้จักเป็นกำลังใจให้ตัวเอง เหมือนคนไข้ที่จะมีกำลังใจก็ต่อเมื่อมีคนมาเยี่ยม กำลังใจจึงขึ้นอยู่กับคนเยี่ยมไข้  เหมือนกำลังใจที่จะเรียนขึ้นอยู่กับกำลังใจที่ได้รับจากคนอื่น   เช่นนี้เขาจึงไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง  เพราะการเรียนด้วยตัวเองต้องหมายถึงการเรียนทั้งด้วยกายและด้วยใจ ของตัวเอง ที่ไม่พื่งพิงกำลังใจจากคนอื่น
* * * *
ขอ ย้อนกลับมาพูดถึงอาการช็อกของตัวเองก่อนมาถึงโรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อน ๆ เล่าให้ฟังว่า ผมมีอาการหน้าซีดขาว มือซีดขาว ไม่รู้ตัว มีอาการกระตุกเป็นระยะ ๆ .... มันเหมือนอาการที่เคยอ่านเจอในตำราทุกอย่าง ต่างกันเพียงว่า ผมไม่เคยคิดว่าผมจะเจอกับมันด้วยตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ผมก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติที่คนเป็นเบาหวานอย่างผมจะมีโอกาสเจอกับมัน  นี่จะเรียกว่าประมาทก็คงไม่ผิดนัก ท่านทั้งหลายที่เป็นโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือโรคอื่น ๆ ที่เปิดประตูต้อนรับความหวาดเสียวในชีวิตเช่นเดียวกันนี้จึงควรระวังให้มาก ๆ

มี อยู่บ่อยครั้งที่ความสมหวังและความสำเร็จมาเยือนเราโดยเราไม่ได้เตรียมใจไว้ ล่วงหน้า แต่เราก็มักจะทำใจรับมันได้  แต่ถ้าความผิดหวัง ความล้มเหลว และการใกล้ตายมาเยี่ยมเรา โดยเราไม่ได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้า เรามักไม่สามารถทำใจให้รับมันได้
* * * *
ผม คงจะนอนโรงพยาบาลจังหวัดนครนายกคืนนี้เพียงคืนเดียว พรุ่งนี้ผมคงจะหายดีพอที่จะกลับกรุงเทพพร้อมกับรถตู้คันเดิม  ผมคงมีโอกาสกลับมาเป็น  blogger คนเดิม  เขียนเรื่องราวลงบล็อกนี้ให้ทุกท่านอ่านได้ดังเดิม
เวลาที่ออกจากโรงพยาบาล

พิพัฒน์
เตียงที่ 14 ห้องอายุรกรรมชาย
โรงพยาบาลจังหวัดนครนายก

ปล. ผมกลับถึงกรุงเทพอย่างปลอดภัยตอนบ่ายวันอาทิตย์

55 ความคิดเห็น:

Mrs. Sompore กล่าวว่า...

ถึงว่า 2-3 วันนี้เ้ข้าเว็บคุณพิพัฒน์ยากมากเลย ที่แท้เกิดเหตุ กับ blogger นี่เอง เป็นกำลังใจให้นะคะ
อ่านเว็บของคุณพิพ้ฒน์ได้ข้อคิดหลายอย่าง ทั้งเรื่องเรียนภาษาอังกฤษและมุมมองของชีวิต หายเร็วๆนะคะ
อ้อ มีข้อสงสัยว่า ทำไมน้ำตาลถึงได้ต่ำมากขนาดน้ัน ทานข้าวน้อย หรือฉีดขนาดยาผิด พอดีสอนเรื่องเบาหวาน จะได้เอาไปเป็นตัวอย่างให้กับนักศึกษาน่ะค่ะ

pipat - blogger กล่าวว่า...

นี่แหละครับที่ผมงงว่าผมน้ำตาลลดได้ยังไง ทานข้าวน้อย หรือฉีดขนาดยาผิด รับรองไม่ใช่ทั้งสองอย่างครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

จากที่อ่านมา ผมคงไม่ต้องให้กำลังพี่นะครับ เพราะพี่เป็นคนที่มีกำลังใจดีเยี่ยมอยู่แล้ว และมองโลกด้วยสายตาของคนที่เข้าใจโลกเป็นอย่างดี ขอบคุณและซึ้งใจกับทุกเรื่องราวดีๆที่พี่ได้แบ่งปันให้พวกเรานะครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอให้อาจารย์หายเร็วๆนะคะ

noon กล่าวว่า...

ขอให้พระคุุ้มครองนะคะ ถึงอย่างไรก็จะเป็นนำลังใจให้ค่ะ แข็งแรงเร็วๆ และขอบพระคุณสำหรับวิญญาณความเป็นครูที่มีให้แฟนบล็อกตลอดเวลาแม้ยามป่วย รักษาสุขภาพนะคะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เบาหวานให้ทานใบชะพลู 7-9ใบ ต้มกับนำเปล่าแล้วดื่ม -ใบยอ ก็ลดเบาหวานค่ะ-หัวปลีด้วยค่ะ เป็นห่วงคุณพิฑัฒน์มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเลยค่ะหายเร็วๆๆนะคะเป็นกำลังใจให้นะคะป้าน้องชิงชิง

pipat - blogger กล่าวว่า...

เอ มันช่วยลดน้ำตาลเฉย ๆ หรือมันช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นด้วยหรือเปล่าครับ

ผอ.รร.ประถมศึกษาที่ขอเป็นแฟนพันธ์แท้ กล่าวว่า...

ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม
คนดีพระย่อมคุ้มครอง
คุณพิพัฒน์เป็นคนดีและมีธรรมะ
ธรรมะและความดีจะเป็นสิ่งที่ช่วยคุ้มครอง
คุณพิพัฒน์ ให้ทำความดีต่อ ๆ ไป

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ถึงว่าไม่เห็นคุณพิพัฒน์ หลายวัน สงสัยมาก เพราะติดตามอยู่ ก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน เคยคิดเหมือนกันคะว่า หากคุณพิพัฒน์ เป็นอะไรไป เราจะรู้ได้อย่างไร ขอให้หายเร็วๆ นะคะ รักษาสุขภาพด้วยค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ผมติดตามมานาน และเป็นกำลังใจให้ด้วยคน ผมอยากเตือนเรื่องยาร่วมตัวอื่นๆดว้ยโดยเฉพาะยาต้านเกล็ดเลือดถ้ามีตัวนี้ต้องระวังเรื่องตกเลือดในสมอง เอาแค่เตรียมคนบริจาคเลือดให้ได้ราวสิบยูนิต ลงชื่อในสมุดไว้ถึงคราวจำเป็นจะได้ทันการณ์

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอให้สุขภาพแข็งแรงและมีกำลังใจที่จะทำดีต่อคนไทยและแผ่นดินต่อไปค่ะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำภาษาอังกฤษดีๆที่ผ่านมาและต่อๆไปที่จะนำเสนอนะคะ /ปลาค่ะ

XIU กล่าวว่า...

ขอให้คุณงานความดีที่คุณพิพัฒน์เคยสร้างมา จงดลบรรดาลให้คุณสุขภาพแข็งแรงมากๆนะครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

รักษาสุขภาพด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้หายไวๆค่ะ

PumPui กล่าวว่า...

วันนี้อ่านไปน้ำตาไหลเหมือนกันค่ะ
ขอให้ความดีที่คุณลุงได้ทำให้คุณลุงหายไวๆนะคะ
"กำลังใจต้องจากตัวเราเอง"
ตอนนี้หนูไม่ได้ป่วยกาย แต่จิตตกนิดหน่อยค่ะ
แต่หลังจากอ่านแล้ว หนูโอเคค๊า.......
>++++++++<

Nott กล่าวว่า...

ผมคนหนึ่งครับจะเป็นกำลังใจให้หลายมุมมอง หลายคำพูดที่อาจารย์เขียนทำให้ผมได้คิด คนที่ยังไม่ตายมีโอกาสเยอะจริงๆ เมื่อเทียบกับคนตาย แทนที่จะท้อ ทำให้มีใจฮึดสู้
ดูแลสุขภาพนะครับท่านอาจารย์ (ขอฝากตัวเป็นศิษย์อีกคนนะครับ)

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

วันนี้เช้าวันจันทร์ครับ เพิ่งเปิดมาเจอ ยังอ่านไม่ทันจบก็ต้องไปทำงานก่อนเสียแล้ว ...เดี๋ยวตอนเย็นจะมาอ่านต่อครับ

ขอลงชื่อแสดงความเป็นห่วงไว้ก่อนละกันนะครับ ผมอ่านแล้วรู็้สึกว่าชีวิตนี้ช่างเปราะบางเสียจริงๆ... รักษาสุขภาพด้วยนะครับ ...

บรรพต กล่าวว่า...

อืม! เกือบจะเสียเพื่อนไปเสียแล้ว
เรื่องที่ผิดปกตินี่แหละที่เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้พร้อม เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้า
ว่ากันว่าคนที่ผ่านภาวะเฉียดตายมาได้
จะตระหนักรู้มากขึ้นถึงมากที่สุด
ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต
หลายคนหันมาให้เวลากับครอบครัวและคนใกล้ชิดมากขึ้น
มองเห็นคุณค่าและความสุขจากคนใกล้ชิดและสิ่งใกล้ตัวมากขึ้น
อยากให้เขียนเรื่องนี้ไว้ด้วยครับ
เพราะเป็นมุมมองจากผู้มีสิทธิพิเศษจริง ๆ
(เป็นสิทธิพิเศษแบบที่ไม่มีใครอยากมีเสียด้วย)

มะปราง กล่าวว่า...

ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะคะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อ่านเรื่องราวในวันนี้แล้วทำให้หนูมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ขอให้คุณพระคุ้มครองอาจารย์ขอให้อาจารย์หายป่วยไวๆๆนะคะ ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปนะคะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้อาจารย์ค่ะ หายเร็วๆนะคะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ดิฉันรู้จักคุณพิพัฒน์มาได้ปีกว่าๆ ขอขอบคุณที่ได้แบ่งปันความรู้ต่างๆ ให้เพื่อนๆ น้องๆ หลานๆ ได้อ่านกันมาก ไม่เฉพาะแต่ภาษาอังกฤษ ยังได้ประสบการณ์อื่นๆ อีก
ขอให้คุณพิพัฒน์สุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิม หายเร็วๆ ค่ะ

pfan กล่าวว่า...

คุณพิพัฒน์คงจะเป็นเบาหวานประเภทหนึ่งที่ตับอ่อนชำรุดถาวร ไม่สามารถผลิตอินซูลินเองได้ ผมก็เป็นนะครับคุณพิพัฒน์เบาหวานแต่เป็นประเภทสอง ยังไม่ถึงกับฉีดยา ก็ยึดหลักอยู่ 4 ประการ คือ ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย รับประทานยา และศึกษาเรื่องเบาหวานให้ทะลุปรุโปร่ง เมื่อรู้แล้วเราจะสามารถควบคุมมันได้ ตามที่ผมสังเกตดู ถ้าช่วงไหนจิตใจเราสบาย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ น้ำตาลจะคงที่ แต่ถ้าช่วงไหนร่างกายอ่อนแอ และเราตามใจปากน้ำตาลจะสวิง ตามหลักก็คือถ้าร่างกายสามารถนำน้ำตาลที่เรากินเข้าไปนำไปใช้ได้ ร่างกายก็จะเผาผลาญน้ำตาลได้ เราก็ปกติ ขอให้กำลังใจคุณพิพัฒน์อยู่กับพวกเรานาน ๆ ครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คุณพระคุ้มครองนะคะ อ่านจบค่อยโล่งใจหน่อย

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ยังไม่เคยเขียนความรู้สึกถึงคุณ พิพัฒน์ เลยสักครั้ง ได้แต่แอบอ่าน ข้อความจากเดิมนานๆครั้งจนเดี๋ยวนี้ต้อง
อ่านทุกครั้ง จากเดิมที่แค่รู้จักเพียงเนื้อหาภาษาอังกฤษ แต่วันนี้ได้รู้จักชีวิตส่วนตัวมากขึ้น เลยทำให้เกิดความละอายใจที่จะแค่อ่านข้อความ และเอาคำแนะนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ต้องขอขอบคุณอย่างยิ่งที่ทำโยชน์ให้กับคนทุกระดับ ทุกเพศ และทุกวัย เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องที่ไม่มีใครห้ามได้ แต่หากมีคนชื่นชม ยินดี กล่าวถึงแต่ในทางทีดีในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ และได้รับทราบด้วยตัวของเราเองนับว่าเป็นสิ่งที่วิเศษสุด ขอให้สิ่งเหล่านี้เกื้อหนุนให้ได้รับแต่ความสุขตลอดไป

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอให้แข็งแรงดังเดิมนะครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอให้พี่พิพัฒน์มีกำลังกาย กำลังใจที่ดีกว่าเดิมยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะครับ เว็บของพี่มีประโยชน์ต่อคนอ่านจริงๆ เข้าเว็บนี้แล้วได้หลายอย่าง

ขอบคุณสำหรับสิ่งดี ๆ ที่พี่ทำให้ครับ

ชัยภัทร/11-7-11

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คุณพิพัฒน์ ลองเข้าไปในเวป กรมพัฒนาการแพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก ของกระทรวงสาธารณสุข หน่อยนะคะเพราะ มีบทความและการดูแลสุขภาพ และการอรมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ส่วนตำราการดูแรกษาโรคด้วยสมุนไพรไทยอย่างละเอียดจะหาแล้วส่งมฬห้ภายหลังนะคะ ขอให้คุณพิพัฒน์ หายป่วยเร็วๆเพื่อเป็นที่พึ่งของชาว english for thai 2 และได้ไปเช่าหลวงปู่ชีวกโกมารภัทรของหมอสมหมาย เป็นองคเล็กขนาดห้อยคอได้ มาซึ่งอาจารยทางแพทยแผนไทยยกย่องกัน กันว่าใครมีไว้บูชาแล้วจะไม่เจ็บป่วย ปราศจากโรคาทั้งปวง คุณหมอสมหมายตอนนี้อายุ เก้าสิบกว่าแล้วรักษาคนไข้วันละเป็นร้อยๆคน อยากส่งไปให้คุณพิพัฒนช่วยแจ้งช่องทางที่จะสามารถส่งไปให้หน่อยนะค่ะ จากป้าน้องชิงๆ

pipat - blogger กล่าวว่า...

คุณป้าน้องชิง ๆ ครับ
ขอบพระคุณอย่างยิ่งครับในความเป็นห่วง ผมรู้สึกเกรงใจที่จะรับแต่ก็อยากได้ไว้ห้อยคอเพราะสุขภาพไม่ค่อยดี ถ้าจะเมตตาส่งให้ผมก็ส่งไปที่
พิพัฒน์ สีตุ่น
กองวิเทศสัมพันธ์
กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
ถนนมิตรไมตรี ดินแดง กรุงเทพ 10400
ขอบพระคุณอีกครั้งครับ
พิพัฒน์

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง และขอให้สุขภาพแข็งแรง
จะได้อยู่เป้น บล็อกเกอร์ต่อไปนาน ๆ ค่ะ
คนอย่างคุณพิพัฒน์ หายากค่ะ เพราะ
คนที่คอยให้กำลังใจคนอื่นๆ คนที่แนะนำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น ขอนับถือจริง ๆ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ได้รับทราบแล้วพรุ่งนี้จะส่งems ไปเลยนะคะที่คุณหมอสมหมายสร้างให้บูชานั้นหมอสมหมายตั้งใจหวังว่าท่านผู้มีองคเล็กไว้กับตวจะได้ช่วยคุ้มครองท่านในทางโรคภัยไข้เจ็บและโรคร้ายทั้งปวง เมื่อได้ตั้งใจมอบให้แล้วก็ขอให้พ่อปู่ชีวกโกมารภัจจ์ได้โปรดคุ้มครองคุณพิพัฒน์ สีตุ่นตั้งแต่วินาทีนี้เลยนะคะเพราะได้ปวรณาขอให้ท่านคุ้มครองคุณพิพัฒน์ให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและพ้นจากโรคร้ายทั้งปวงนะคะหากได้รับแล้วช่วยแจ้งด้วยนะค่ะขอให้ท่านอวยพรให้คุณพิพัฒน์มีสุขภาพและอายุยืนยาวอยู่เป็นที่พึ่งของพี่ๆน้องๆ ว่างๆคุณพิพัฒน์ลองเข้าไปชมเวป doctorsommai.com ถึงประวัติและที่มาในการสร้างพ่อปู่ หมอสมหมายบูชาท่านมาตั้งแต่ปี 2512 ท่านเคยป่วยจนขนาดอธิษฐานต่อหน้าพระหากไม่หายป่วยจะฆ่าตัวตายสมัยท่านยังหน่มอยู่ ดังนั้นขอให้คุณพิพัฒน์สู้ๆๆๆๆๆคาดว่มะรืนนี้ท่านจะไปพบคุณพิพัฒน์อย่างงแน่นอน วันนี้ให้ท่านส่งกำลังบารมีไปคุ้มครองคุณพิพัฒน์ก่อน นะคะป้าน้องชิงๆ

pipat - blogger กล่าวว่า...

ขอบคุณคุณป้าน้องชิง ๆ มากครับ
ผมอยากจะเรียนว่า นอกจากประวัติของหมอชีวกโกมารภัจจ์ในฐานะที่เป็นแพทย์ส่วนพระองค์ของพระพุทธเจ้าแล้ว ตามที่ผมรู้มาตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย หมอชีวกยังเป็นหมอเพื่อมวลชนอีกด้วย ท่านเป็นบุคคลในอุดมคติที่ผมเคารพเพราะท่านอุทิศชีวิตของท่านทั้งชีวิต โดยใช้ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่ท่านมีอยู่ทำกิจเพื่อเพื่อนมนุษย์ตั้งแต่แรกจบการศึกษาจนวาระสุดท้ายของชีวิต ชีวิตอย่างนี้แหละครับคือชีวิต "เพื่อมวลชน" โดยแท้ เป็นชีวิตที่น่าชื่นชมและน่าทำตามอย่างยิ่ง การได้องค์ท่านมาห้อยคอร่วมกับพระพุทธเจ้าที่ผมห้อยคออยู่แล้วเป็นประจำ ผมเชื่อว่าเป็นคุณต่อทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

กลับจากทำงานมาอ่านจนจบแล้วก็โล่งใจ ...คุณพิพัฒน์ปลอดภัยก็ดีแล้วครับ ...

เรื่องสุขภาพคนเอานี่เอาแน่นอนไม่ได้เลยครับ ที่ทำงานผมมีพี่คนหนึ่ง ไปช่วยงานที่นอกสถานที่ ากลับนั่งรถมากับเพื่อนๆ 3 คน ก็คุยกันปกติดี พอแยกย้ายกันไปทำงาน แกยังไม่ทันได้ทำงานเลย อยู่ๆแกก็นิ่งไป สรุปคือ เส้นเลือดฝอยในสมองแตกครับ โชคดีที่ส่งโรงพยาบาลทัน ... ตอนนี้ผมเลยเป็นโรคหลอนๆหน่อยคือถ้าปวดหัวจี้ดเมื่อไรผมจะวัดความดันทันที(ที่บ้านมีเครื่องวัดความดันครับ) แหะๆ แบบว่ากลัว ...

ไอ้ตายเนี่ย ไม่กลัวเท่าไรหรอกครับ กลัวแต่ไม่ตายแล้วเป็นภาระคนอื่นนี่สิ แย่หนัก

ฮ่าๆ พล่ามมาเสียเยอะเลย ผม ไม่เกี่ยวกับเรื่องเลย ^_^ ...

ปล.แต่คุณพิพัฒน์เนี่ย เก่งจริงๆนะครับ ขนาดตัวเองเข้าโรงพยาบาล ยังอุตส่าห์เขียนให้วกกลับมาเรื่องให้กำลังใจตัวเองในการเรียนภาษาได้ เที่ยวที่แล้วก็เอาข่าวป.โทไปปูพื้นกับเรื่องดิกชันนารีได้อีก ...สุดยอดจริงๆครับ แสดงว่าคิดแต่เรื่องเรียนภาษาตลอดเวลาจริงๆ ...

ปล.2 แซวเล่นนะครับ ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะครับ

Petchy กล่าวว่า...

เป็นอีกคนนะค่ะ ที่ดีใจ และขอให้พี่หายเป็นปกติ มีร่างกายสดใสแข็งแรงนะค่ะ อย่าลืมดูแลสุขภาพ พักผ่อนให้มากนะค่ะ เพราะโอกาสดีๆ อาจจะไม่มาหาเราหลายครั้ง แต่อย่างไรขอให้คุณพระคุ้มครอง พี่ให้แคล้วคลาดปลอดภัยนะค่ะ จะได้เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเรา คนไทย เก่ง ภาษาอังกฤษค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อ่านตอนแรกก็ตกใจเหมือนกัน แต่พออ่านจบแล้วก็โล่งใจ
ขอให้คุณพิพัฒน์สุขภาพแข็งแรงครับ

koonfa กล่าวว่า...

วันนี้นึถึง คุณพิพัฒน์ขึ้นมา หลังจากเคยรู้จัก จากการที่จะพยามพัฒนา ภาษา องแล้วเข้ามาเจอแบบ คนเล่นคอมไม่ค่อยเป็น อ่านหลายครั้งชอบมาก และแนะนำเพื่อนไป แต่เนื่องจาก ตัวเองเล่น คอมไม่ค่อยเก่งและเมื่อ่อน ยังไม่ติดเน็ตความเร็วสูง จะโหลดอะไร ดูยากช้าไป หมด ตอนนี้สะดวกและเหมือนจะง่าย และสนุกขึ้น มีโลกใน เน็ตเพิ่มขึ้น เมื่อวานเพื่อนส่งเพลง sailling ให้ฟัง ยังชอบ แต่แสดงความคิดเห็นไม่ถนัด เพราะแปลความหมายไม่ได้ ก็นึกถึง คุณอีก วันนี้มาเปิดหา คุณ ก็ตกใจเมื่อก่อนเคยอ่านทราบว่าป่วย บ้างแต่ไม่นึกว่าต้องดูแลตัวเองอย่างนี้ ยังไงขอเป็นกำลังใจ ให้คุณรักษาสุขภาพก่อน น่ะค่ะ เพราะ บล๊อกของคุณ อ่านได้ย้อนหลังเป็นปีฯ ยังได้ เลยค่ะ แต่ไม่ได้หมายความให้คุณหยุด น่ะค่ะ เพราะถึงคุณจะไม่เขียนเกี่ยวกับ ภาษา แค่คุยเรื่องราว ในชีวิต ประจำวัน ก็อ่านได้ไม่เบื่อ และยังมีแง่คิด ดีฯด้วย จะขอเป็นผู้ติดตาม และจะบอกต่อเพื่อนฯให้ ตามความตั้งใจ ของคุณค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

http://depositfiles.com/en/files/nmghmcfvu

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอให้คุณพิพัฒน์จงมีร่างกายที่แข็งแรง
สุขภาพที่ดีเหมือนเดิม

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คงเป็นโชคชะตาให้มาเจอกัน 12 ก.ค.54 เพราะไม่เคยเข้าเว็บนี้มาก่อน ขอให้คุณพระคุ้มครองรักษาคุณพิพัฒน์ให้แข็งแรงในเร็ววัน เป็นกำลังใจให้กับสิ่งที่คุณพิพัฒน์พยายามทำอยู่มากว่า 5 ปี สำหรับประโยชน์ของใครหลายคนที่ไม่เคยรู้จักกัน (โลกทั้งผองพี่น้องกัน)

MAYA

TNR กล่าวว่า...

ให้พี่พิพัฒน์แข็งแรงเท่าที่ต้องการนะครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย คุ้มครองให้อาจารย์ปลอดภัยนะคะ ...

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอให้คุณพิพัฒน์มีสุขภาพแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ นะครับ ผมเองก็ได้รับแรงบันดาลใจการเรียนภาษาจากคุณพิพัฒน์ครับ แม้ว่าจะอายุมากขึ้นแต่รู้สึกว่าเพิ่งค้นพบความต้องการของตนเอง เดี๋ยวนี้ ผมก็เลยต่อยอดครับ จากอังกฤษ เป็นภาษาจีน ญี่ปุ่น กะว่าจะศึกษาสเปน กับเยอรมัน ด้วย เพราะอยู่เชียงใหม่มีต่างชาติมาเที่ยวเยอะ แต่จะให้ดี ผมว่าแบบคุณพิพัฒน์นี่แหละ รู้จริง รู้ลึก เอาดีไปเลย

God bless you,
แฟนประจำ E4thai

ปรีชา ศรีธัญญา กล่าวว่า...

ได้อ่านบททความเล่าเรื่องอาการป่วยของคุณพิพัฒน์ แล้วตกใจ ผมเคยเดินทางไปต่างประเทศกับคุณพิพัฒน์สองต่อสองหลายครั้ง ถ้าเกิดป่วยแบบนี้ที่ต่างประเทศคงจะยุ่งยากพอสมควรแต่โชคดีไม่เกิด อ่านบทความแล้วได้คิดหลายอย่าง โดยเฉพาะการระลึกถึงความตายอยู่เสมอๆ โดยเจริญมรณานุสติ ขอขอบคุณที่มาเตือนสติ เพราะมักจะลืมตัวประมาทอยู่เสมอ ขอให้สุขภาพแข็งแรง ทำประโยชน์ให้แก่สังคมอีกนานเท่านาน นะครับ ( ปรีชา)

pipat - blogger กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ ผอ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเฉียดตาย ผมเล่าการเฉียดตายครั้งก่อนไว้ที่นี่ครับ
เรื่องส่วนตัวที่ผมอยากเล่า

pipat - blogger กล่าวว่า...

เรียนคุณป้าน้องชิง ๆ
ผมได้รับรูปหล่อคุณหมอชีวก ภาพ หนังสือ และซีดีธรรมะ แล้ว ขอบคุณมากครับ
พิพัฒน์

skorn4357 กล่าวว่า...

เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าคุณลุงครับ
สุขใจที่ได้เห็นคุณลุงหายป่วยไข้
เหมือนได้เห็นมิตรคนหนึ่ง เดินออกจากโรงพยาบาลด้วยหน้าตาสดใส สดชื่น แจ่มใส ก็ไม่ปาน

รักษาสุขภาพ ออกกำลังกายบ้างเป็นครั้งคราวเป็นยาวิเศษครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อยากบอกคุณลุงว่าขอบคุณมากที่สร้างบล็อคนี้ขึ้นมา หนูเข้าบล็อคของคุณลุงบ่อยกว่าเข้าเฟสบุ๊คเสียอีก ตอนนี้ภาษาอังกฤษหนูดีขึ้นมากจนหลายคนพากันทึ่ง ถามว่าไปเรียนมาจากไหน หนูก็ตอบอย่างมั่นใจว่า "เรียนมาจาก e4thai" รักษาสุขภาพด้วยนะคะ ไม่ต้องโหมงานหนัก

pipat - blogger กล่าวว่า...

ดีใจด้วยนะหนูที่ภาษาอังกฤษดีขึ้น
ขอบใจที่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพของลุง

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอให้คุณพิพัฒน์หายป่วยเร็ว ๆ และมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ ขอขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพิพัฒน์ได้ทำค่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆเรื่องของคุณพิพัฒน์นะคะ และขอให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิมด้วยค่ะ
ขอขอบคุณที่ช่วยให้กำลังใจ ช่วยเตือนสติ และช่วยให้ข้อมูลมากมายที่เป็นประโยชน์ในเรื่องของการฝึกภาษาอังกฤษ หากคุณพิพัฒน์ต้องการความช่วยเหลือบ้าง โปรดอย่าได้เกรงใจนะคะ โพสต์ในบล็อคได้เลย ดิฉันเชื่อว่ามีคนที่เต็มใจช่วยเหลือในสิ่งที่พอช่วยได้แน่นอน และดิฉันก็เช่นเดียวกันค่ะ

pipat - blogger กล่าวว่า...

ขอบคุณมาก ๆ ครับ

monk Tinawat กล่าวว่า...

เจริญพร คุณโยมพิพัฒน์
ถ้าคุณโยมทำได้อยากให้คุณโยมลองทำดู
หาเวลาให้กับตัวเองโดยการไปเรียนสมาธิกับหลวงปู่วิริยังวัดธรรมมงคล สุขุมวิท101 แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นทั้งกายหยาบและกายละเอียด
บุญที่หนึ่ง มีค่าน้อย คือทานให้
บุญที่ใหญ่ อันดับสอง ต้องครองศีล
บุญที่สาม ภาวนาให้ รู้จริง
เป็นบุญยิ่ง กว่าบุญใด ในสามบุญ
ด้วยความปารถนาดี
เจริญพร

pipat - blogger กล่าวว่า...

ท่านอาจารย์ครับ
ขอกราบขอบพระคุณท่านมากครับที่แนะนำ
พิพัฒน์

Pairoj Saengthong กล่าวว่า...

ขอให้สุขภาพแข็งแรงในเร็ววันครับ

รินรดา กล่าวว่า...

เป็นกำลังใจไห้นะค่ะ ขอให้สุขภาพแข็งแรงยิ่งๆขึ้นไป

Aoyy กล่าวว่า...

หนูเพิ่งได้เข้ามาดู e4thai ได้ไม่นานค่ะ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเข้า web อะไร ทำให้ link มาเข้า web นี้ ได้ แต่หนูได้ประโยชน์มากเลยค่ะ แล้วก็Print หลายๆ บทความเพื่อเก็บไว้อ่าน .. สำหรับเรื่องโรคเบาหวาน หนูขออนุญาตแนะนำอาจารย์นะคะ เพราะแม่หนูเป็นโรคนี้ค่ะ ท่านนำใบรางจืดกับใบเตยมาต้มดื่มเป็นประจำค่ะ และบางทีก็กินสะเดา หรือ แกงขี้เหล็ก ไม่ก็ บอระเพ็ดต้มค่ะ (3อย่างหลังนี่ไม่ได้กินเป็นประจำนะคะ เพราะไตจะทำงานหนัก)ยังไงอาจารย์ลองดูนะคะ เผื่อว่าจะดีขึ้นค่ะ ทั้งนี้ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงนะคะ