สวัสดีครับ
สำนักพิมพ์ Oxford ได้จัดลำดับ verb 25 คำที่ใช้บ่อย ที่ลิงค์นี้
มี 25 คำข้างล่างนี้
1 be 2 have 3 do 4 say 5 get 6 make 7 go 8 know 9 take 10 see 11 come 12 think 13 look 14 want 15 give 16 use 17 find 18 tell 19 ask 20 work 21 seem 22 feel 23 try 24 leave 25 call
ผมเอา verb เหล่านี้ไปหาคำแปลใน DOMNERN-SATHIENPONG THAI-ENGLISH DICTIONARY, Third Edition 2006 ก็ได้พบว่า เมื่อประสมกับศัพท์คำอื่นแล้วจะกลายเป็นวลีมากมาย.... วลีที่อ่านแล้วก็เดาความหมายในภาษาไทยได้ไม่ยาก แต่ถ้ายกวลีภาษาไทยขึ้นมาแล้วถามหา phrase ภาษาอังกฤษเทียบ เราก็นึกไม่ค่อยออก
ศัพท์สำนวนจำนวนมากที่พออ่านหรือได้ยินก็เข้าใจหรือเดาได้เลย แต่ถ้านึกเพื่อพูดหรือเขียนเรากลับนึกไม่ค่อยออก ศัพท์พวกนี้น่าสนใจครับ เพราะหน้าที่ของเรามีแค่ upgrade สถานะของมันจาก passive ให้กลายเป็น active คือนึกให้ออกและผลักให้พูดผ่านปากหรือเขียนผ่านมือออกไปให้ได้ในเวลาที่ต้องการใช้
เชิญดาวน์โหลดศัพท์และคำแปลได้เลยครับ
TRY
FEEL
SEEM
0WORK
ASK
TELL
FIND
USE
GIVE
WANT
LOOK
THINK
COME
0SEE
TAKE
KNOW
GO
GET
SAY
DO
HAVE
เมื่อจะทบทวนศัพท์เหล่านี้ให้
1. มองที่คำต้นภาษาไทยที่ซ้ายมือ
2. พยายามนึกว่า ถ้าต้องใช้ verb ภาษาอังกฤษตัวนี้ผสมกับศัพท์คำอื่นเพื่อให้เกิดเป็นศัพท์ภาษาไทย ควรจะเป็นกลุ่มคำกริยาว่าอย่างไร
3. ดูเฉลยที่เป็นตัวสีแดง
ผมเชื่อว่าด้วยวิธีทบทวนเช่นนี้ ท่านจะได้รู้ศัพท์เพิ่มขึ้นมากมาย เป็นศัพท์ที่ท่านอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อเห็นแล้วก็เดาความหมายได้ไม่ยาก และถ้าเอาใจเป็นหมุดปักที่คำศัพท์ให้จำติดใจ ก็น่าจะจำได้ไม่ยากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้ย้อนกลับมาผ่านตาสัก 3 – 4 ครั้ง และศัพท์เหล่านี้ก็จะช่วยท่านได้อย่างมากเมื่อถึงเวลาที่ต้องพูดภาษาอังกฤษ
ท่านจะเห็นได้ชัดเจนว่าความหมายจาก DOMNERN-SATHIENPONG THAI-ENGLISH DICTIONARY, Third Edition 2006 ที่นำมาเทียบ verb 25 คำนี้ช่วยทำให้เราเพิ่มพูนคำศัพท์ได้มากทีเดียว ผมได้เขียนแนะนำไว้แล้วที่ลิงค์นี้ [1074] พจนานุกรม ไทย – อังกฤษ ที่สมบูรณ์ที่สุด และอยากเชิญชวนให้ท่านซื้อไว้ใช้สัก 1 เล่ม คุ้มค่ามากครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
[1074] พจนานุกรม ไทย – อังกฤษ ที่สมบูรณ์ที่สุด
สวัสดีครับ
ผมซื้อพจนานุกรม ไทย – อังกฤษ เล่มนี้มาใช้ตั้งแต่ First Edition (1994) และซื้ออีก 2 edition ที่ออกตามมา คือ Second Edition (1999) และ Third Edition (2006) คือ พจนานุกรมไทย-อังกฤษ : ฉบับปรับใหม่ให้ทันโลก ที่รวบรวม/เรียบเรียง โดย ดำเนิน การเด่น และ เสฐียรพงษ์ วรรณปก คลิกดูหน้าปก
ผมรู้สึกพอใจในคุณภาพของพจนานุกรมไทย-อังกฤษ เล่มนี้ยิ่งนัก และฟันธงตั้งแต่เริ่มใช้แล้วว่านี่คือ พจนานุกรม ไทย – อังกฤษ ที่สมบูรณ์ที่สุด เท่าที่เมืองไทยมีอยู่ขณะนี้ เหตุที่ผมฟันธงเช่นนี้ก็เพราะว่า ผมมีงานอดิเรกขนาดเล็กอย่างหนึ่งคือจับผิดดิกชันนารี และดิกชันนารีหลายเล่มในเมืองไทยก็มีจุดผิดให้ผมจับ ไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ผมไม่รู้สึกตำหนิผู้เรียบเรียงเพราะรู้ว่างานนี้เป็นงานยาก ต้องอาศัยความรู้ ความอดทน และความละเอียดรอบคอบเป็นอย่างมากที่สุด เรื่องที่น่าเห็นใจก็คือ ต่อให้เรียบเรียงถูกต้องทั้งเล่ม แต่ถ้ามีผิดเพียงแค่ 10 คำ คนช่างจับผิดก็จะพูดเฉพาะตรงที่ผิดนี่แหละ ส่วนที่ถูกทั้งเล่มไม่พูดถึงหรือชมเชย รู้สึกว่าพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานสถานก็มีชะตากรรมเช่นเดียวกันนี้
และเรื่องที่ผมจะบอกก็คือ แม้ว่าผมจะใช้พจนานุกรมไทย-อังกฤษของอาจารย์ดำเนิน การเด่น และ เสฐียรพงษ์ วรรณปก มาหลายปีก็ไม่เห็นมีหน้าไหนให้ผมจับผิดเลย มีแต่ชื่นชม เพราะศัพท์ – วลี – ประโยคตัวอย่าง ในเล่มนี้มีมากทั้งปริมาณและคุณภาพ เป็นที่ปรึกษาที่ดีมากในการพูด เขียน และแปลจากไทยเป็นอังกฤษ หรือจะใช้เป็นเครื่องมือในการเล่น ‘ dictionarying ’ ก็ได้ ยิ่งได้ใช้คู่กับ CD ที่ให้มายิ่งเหมือนพยัคฆ์ติดปีก สามารถค้นคำไทยหรืออังกฤษได้อย่างสะดวกรวดเร็ว แถมออกเสียงได้อีกด้วย
เดิมผมเข้าใจเอาง่าย ๆ ว่าคงเป็นเพราะความรู้ความสามรถของอาจารย์ 2 ท่านนี้จึงผลิตพจนานุกรมไทย-อังกฤษ : ฉบับปรับใหม่ให้ทันโลก เล่มนี้ออกมาได้ เพราะเมื่ออ่านประวัติของท่านก็ไม่แปลกใจอะไรเลย
ประวัติ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก คลิก
ประวัติ ดำเนิน การเด่น คลิก
แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่ช่วยเสริมอย่างมากให้พจนานุกรมไทย-อังกฤษ : ฉบับปรับใหม่ให้ทันโลก เล่มนี้มีความสมบูรณ์มากขึ้นก็เพราะมีการใช้เทคโนโลยีที่ดิกชันนารีระดับโลกทุกฉบับเขาใช้กัน คือ
1.ใช้ประโยชน์จาก คลังคำศัพท์ โดย พจนานุกรมไทย-อังกฤษเล่มนี้ใช้ฐานข้อมูลของThai National Corpus จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2.ใช้ Google Search ตรวจสอบกับภาษาที่มีการใช้อยู่จริง ๆ ไม่ใช่เรียบเรียงจากวินิจฉัยของผู้เรียบเรียงเพียงส่วนเดียว
และในด้านการอ้างอิงนั้น ก็ได้อาศัยราชกิจจานุเบกษาของทางราชการ และดิกชันนารีที่ได้รับการยอมรับระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Webster, Oxford, Longman, Collins COBUILD และ American Heritage
ที่บล็อกนี้ มีท่านผู้อ่านถามเรื่องการพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง คำถามนี้ถ้าท่านพิมพ์ลงไปใน Google ว่า วิธีพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง ก็จะมีคำตอบให้อ่านมากกว่า 400,000 หน้า แต่ถ้าคลิกที่ “ค้นหาค้นหา ภายใน ผลการค้นหา” และพิมพ์ "พจนานุกรม ไทย อังกฤษ" เพื่อค้นให้ลึกลงไปอีก ก็จะพบว่ามีเพียงประมาณ 900 หน้าเท่านั้นที่มีวลีนี้ ทำให้ผมตีความว่า คนไทยใช้ประโยชน์จาก "พจนานุกรม ไทย อังกฤษ" น้อยมากเป็นตัวช่วยในการฝึกพูดภาษาอังกฤษ
วันนี้ขอคุยแค่นี้ก่อนนะครับ วันหน้าผมจะขอคุยต่อว่า "พจนานุกรม ไทย อังกฤษ" เป็นตัวช่วยในการพูดภาษาอังกฤษได้อย่างไร
สวัสดีครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
ผมซื้อพจนานุกรม ไทย – อังกฤษ เล่มนี้มาใช้ตั้งแต่ First Edition (1994) และซื้ออีก 2 edition ที่ออกตามมา คือ Second Edition (1999) และ Third Edition (2006) คือ พจนานุกรมไทย-อังกฤษ : ฉบับปรับใหม่ให้ทันโลก ที่รวบรวม/เรียบเรียง โดย ดำเนิน การเด่น และ เสฐียรพงษ์ วรรณปก คลิกดูหน้าปก
ผมรู้สึกพอใจในคุณภาพของพจนานุกรมไทย-อังกฤษ เล่มนี้ยิ่งนัก และฟันธงตั้งแต่เริ่มใช้แล้วว่านี่คือ พจนานุกรม ไทย – อังกฤษ ที่สมบูรณ์ที่สุด เท่าที่เมืองไทยมีอยู่ขณะนี้ เหตุที่ผมฟันธงเช่นนี้ก็เพราะว่า ผมมีงานอดิเรกขนาดเล็กอย่างหนึ่งคือจับผิดดิกชันนารี และดิกชันนารีหลายเล่มในเมืองไทยก็มีจุดผิดให้ผมจับ ไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ผมไม่รู้สึกตำหนิผู้เรียบเรียงเพราะรู้ว่างานนี้เป็นงานยาก ต้องอาศัยความรู้ ความอดทน และความละเอียดรอบคอบเป็นอย่างมากที่สุด เรื่องที่น่าเห็นใจก็คือ ต่อให้เรียบเรียงถูกต้องทั้งเล่ม แต่ถ้ามีผิดเพียงแค่ 10 คำ คนช่างจับผิดก็จะพูดเฉพาะตรงที่ผิดนี่แหละ ส่วนที่ถูกทั้งเล่มไม่พูดถึงหรือชมเชย รู้สึกว่าพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานสถานก็มีชะตากรรมเช่นเดียวกันนี้
และเรื่องที่ผมจะบอกก็คือ แม้ว่าผมจะใช้พจนานุกรมไทย-อังกฤษของอาจารย์ดำเนิน การเด่น และ เสฐียรพงษ์ วรรณปก มาหลายปีก็ไม่เห็นมีหน้าไหนให้ผมจับผิดเลย มีแต่ชื่นชม เพราะศัพท์ – วลี – ประโยคตัวอย่าง ในเล่มนี้มีมากทั้งปริมาณและคุณภาพ เป็นที่ปรึกษาที่ดีมากในการพูด เขียน และแปลจากไทยเป็นอังกฤษ หรือจะใช้เป็นเครื่องมือในการเล่น ‘ dictionarying ’ ก็ได้ ยิ่งได้ใช้คู่กับ CD ที่ให้มายิ่งเหมือนพยัคฆ์ติดปีก สามารถค้นคำไทยหรืออังกฤษได้อย่างสะดวกรวดเร็ว แถมออกเสียงได้อีกด้วย
เดิมผมเข้าใจเอาง่าย ๆ ว่าคงเป็นเพราะความรู้ความสามรถของอาจารย์ 2 ท่านนี้จึงผลิตพจนานุกรมไทย-อังกฤษ : ฉบับปรับใหม่ให้ทันโลก เล่มนี้ออกมาได้ เพราะเมื่ออ่านประวัติของท่านก็ไม่แปลกใจอะไรเลย
ประวัติ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก คลิก
ประวัติ ดำเนิน การเด่น คลิก
แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่ช่วยเสริมอย่างมากให้พจนานุกรมไทย-อังกฤษ : ฉบับปรับใหม่ให้ทันโลก เล่มนี้มีความสมบูรณ์มากขึ้นก็เพราะมีการใช้เทคโนโลยีที่ดิกชันนารีระดับโลกทุกฉบับเขาใช้กัน คือ
1.ใช้ประโยชน์จาก คลังคำศัพท์ โดย พจนานุกรมไทย-อังกฤษเล่มนี้ใช้ฐานข้อมูลของThai National Corpus จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2.ใช้ Google Search ตรวจสอบกับภาษาที่มีการใช้อยู่จริง ๆ ไม่ใช่เรียบเรียงจากวินิจฉัยของผู้เรียบเรียงเพียงส่วนเดียว
และในด้านการอ้างอิงนั้น ก็ได้อาศัยราชกิจจานุเบกษาของทางราชการ และดิกชันนารีที่ได้รับการยอมรับระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Webster, Oxford, Longman, Collins COBUILD และ American Heritage
ที่บล็อกนี้ มีท่านผู้อ่านถามเรื่องการพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง คำถามนี้ถ้าท่านพิมพ์ลงไปใน Google ว่า วิธีพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง ก็จะมีคำตอบให้อ่านมากกว่า 400,000 หน้า แต่ถ้าคลิกที่ “ค้นหาค้นหา ภายใน ผลการค้นหา” และพิมพ์ "พจนานุกรม ไทย อังกฤษ" เพื่อค้นให้ลึกลงไปอีก ก็จะพบว่ามีเพียงประมาณ 900 หน้าเท่านั้นที่มีวลีนี้ ทำให้ผมตีความว่า คนไทยใช้ประโยชน์จาก "พจนานุกรม ไทย อังกฤษ" น้อยมากเป็นตัวช่วยในการฝึกพูดภาษาอังกฤษ
วันนี้ขอคุยแค่นี้ก่อนนะครับ วันหน้าผมจะขอคุยต่อว่า "พจนานุกรม ไทย อังกฤษ" เป็นตัวช่วยในการพูดภาษาอังกฤษได้อย่างไร
สวัสดีครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
[1073] เที่ยวเมืองไทยกับหนังสือที่ฝรั่งเขียน
สวัสดีครับ
ทุกท่านคงจะคุ้นตากับภาพนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเมืองไทยและมีหนังสือนำเที่ยวติดมืออยู่ตลอดเวลา ในหนังสือเล่มหนา ๆ ตัวหนังสือเล็ก ๆ นี้มีบอกทุกอย่าง ตั้งแต่แผนที่ รูปสถานที่ท่องเที่ยว ภูมิหลังหรือประวัติศาสตร์ของสถานที่นั้นๆ ราคาบัตรเข้าชม โรงแรม/ที่พักประเภทต่าง ๆ การเดินทาง อัตราแลกเปลี่ยนเงิน อาหารการกิน สภาพอากาศ วลีหรือประโยคพื้นฐานที่ควรรู้ไว้ และแม้แต่เรื่องที่ต้องระวัง เช่น การโก่งราคาของรถรับจ้างหรือแม้ค้าแผงลอย เป็นต้น
วันนี้ผมมีหนังสือท่องเที่ยว 2 เล่มที่ฝรั่งซึ่งมาเที่ยวเมืองไทยเขียนไว้ ท่านจะใช้เป็นคู่มือในการเที่ยวเมืองไทย หรือจะใช้ฝึก reading ก็ได้ครับ การอ่านเรื่องที่เราคุ้นเคยนี้เป็นเรื่องที่ดีครับ เพราะเมื่อเจอศัพท์ วลี สำนวน ที่เราไม่คุ้นเคย เราจะเดาความหมายหรือตีความได้ง่าย หรือบางทีรู้ด้วยซ้ำว่าฝรั่งเขียนผิด
2 เล่มนี้ครับ (ดับเบิ้ลคลิก)
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
ทุกท่านคงจะคุ้นตากับภาพนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเมืองไทยและมีหนังสือนำเที่ยวติดมืออยู่ตลอดเวลา ในหนังสือเล่มหนา ๆ ตัวหนังสือเล็ก ๆ นี้มีบอกทุกอย่าง ตั้งแต่แผนที่ รูปสถานที่ท่องเที่ยว ภูมิหลังหรือประวัติศาสตร์ของสถานที่นั้นๆ ราคาบัตรเข้าชม โรงแรม/ที่พักประเภทต่าง ๆ การเดินทาง อัตราแลกเปลี่ยนเงิน อาหารการกิน สภาพอากาศ วลีหรือประโยคพื้นฐานที่ควรรู้ไว้ และแม้แต่เรื่องที่ต้องระวัง เช่น การโก่งราคาของรถรับจ้างหรือแม้ค้าแผงลอย เป็นต้น
วันนี้ผมมีหนังสือท่องเที่ยว 2 เล่มที่ฝรั่งซึ่งมาเที่ยวเมืองไทยเขียนไว้ ท่านจะใช้เป็นคู่มือในการเที่ยวเมืองไทย หรือจะใช้ฝึก reading ก็ได้ครับ การอ่านเรื่องที่เราคุ้นเคยนี้เป็นเรื่องที่ดีครับ เพราะเมื่อเจอศัพท์ วลี สำนวน ที่เราไม่คุ้นเคย เราจะเดาความหมายหรือตีความได้ง่าย หรือบางทีรู้ด้วยซ้ำว่าฝรั่งเขียนผิด
2 เล่มนี้ครับ (ดับเบิ้ลคลิก)
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
[1072] เชิญ ด/ล mp3 16 เรื่องสั้น Sherlock Holmes
สวัสดีครับ
วันก่อนผมมีนิยายและเรื่องสั้น Sherlock Holmes หลายเรื่องให้ท่านดาวน์โหลดที่ลิงค์นี้
[180] เชิญดาวน์โหลดนิยายของ Sherlock Holmes
วันนี้ผมมี mp3 เรื่องสั้น Sherlock Holmes 16 เรื่องให้ดาวน์โหลดที่ลิงค์ข้างล่างนี้
ดาวน์โหลดจาก www.4shared.com
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_01_The_Blackmailer.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_02_Irene_Adler.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_03_Silver_Blaze.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_04_The_Speckled_Band.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_05_The_Second_Stain.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_06_The_Traitor.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_07_Rare_Disease.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_08_The_Norwood_Builder.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_09_The_Solitary_Cyclist.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_10_The_Six_Napoleons.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_11_The_Red-headed_Leagu.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_12_A_Case_of_Identity.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_13_The_Final_Problem.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_14_The_Empty_House.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_15_The_Blue_Carbuncle.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_16_The_Yoxley_Case.zip
ดาวน์โหลดจาก http://rapidshare.com
1 The Blackmailer.mp3
2 Irene Adler.mp3
3 Silver Blaze.mp3
4 The Speckled Band.mp3
5 The Second Stain.mp3
6 The Traitor.mp3
7 Rare Disease.mp3
8 The Norwood Builder.mp3
9 The Solitary Cyclist.mp3
10 The Six Napoleons.mp3
11 The Red-headed Leagu.mp3
12 A Case of Identity.mp3
13 The Final Problem.mp3
14 The Empty House.mp3
15 The Blue Carbuncle.mp3
16 The Yoxley Case.mp3
ถ้าท่านต้องการมากกว่านี้ ทั้งหนังสืออ่านและไฟล์เสียง
เชิญไปที่ http://englishtips.org/
และพิมพ์ Sherlock Holmes ในช่อง Search
อ่านคำแนะนำในการใช้เว็บ englishtips.org ที่ 2 ลิงค์ข้างล่างนี้
[1014]ขุมทรัพย์ให้ท่านดาวน์โหลดไฟล์เรียนภาษาอังกฤษ
[1068] เรียนภาษา-หาทุกอย่าง–ได้ทางเน็ต (มีวิธีครับ!!)
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันก่อนผมมีนิยายและเรื่องสั้น Sherlock Holmes หลายเรื่องให้ท่านดาวน์โหลดที่ลิงค์นี้
[180] เชิญดาวน์โหลดนิยายของ Sherlock Holmes
วันนี้ผมมี mp3 เรื่องสั้น Sherlock Holmes 16 เรื่องให้ดาวน์โหลดที่ลิงค์ข้างล่างนี้
ดาวน์โหลดจาก www.4shared.com
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_01_The_Blackmailer.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_02_Irene_Adler.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_03_Silver_Blaze.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_04_The_Speckled_Band.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_05_The_Second_Stain.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_06_The_Traitor.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_07_Rare_Disease.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_08_The_Norwood_Builder.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_09_The_Solitary_Cyclist.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_10_The_Six_Napoleons.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_11_The_Red-headed_Leagu.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_12_A_Case_of_Identity.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_13_The_Final_Problem.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_14_The_Empty_House.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_15_The_Blue_Carbuncle.zip
Sherlock_Holmes_-_16_Stories_-_16_The_Yoxley_Case.zip
ดาวน์โหลดจาก http://rapidshare.com
1 The Blackmailer.mp3
2 Irene Adler.mp3
3 Silver Blaze.mp3
4 The Speckled Band.mp3
5 The Second Stain.mp3
6 The Traitor.mp3
7 Rare Disease.mp3
8 The Norwood Builder.mp3
9 The Solitary Cyclist.mp3
10 The Six Napoleons.mp3
11 The Red-headed Leagu.mp3
12 A Case of Identity.mp3
13 The Final Problem.mp3
14 The Empty House.mp3
15 The Blue Carbuncle.mp3
16 The Yoxley Case.mp3
ถ้าท่านต้องการมากกว่านี้ ทั้งหนังสืออ่านและไฟล์เสียง
เชิญไปที่ http://englishtips.org/
และพิมพ์ Sherlock Holmes ในช่อง Search
อ่านคำแนะนำในการใช้เว็บ englishtips.org ที่ 2 ลิงค์ข้างล่างนี้
[1014]ขุมทรัพย์ให้ท่านดาวน์โหลดไฟล์เรียนภาษาอังกฤษ
[1068] เรียนภาษา-หาทุกอย่าง–ได้ทางเน็ต (มีวิธีครับ!!)
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
[1071]ด/ล 'audio book' หลายร้อยเล่ม [ชุดที่ 2]
สวัสดีครับ
หนังสือที่มีให้คลิกฟังเสียงอ่านพร้อมดูภาพประกอบ ผมเคยนำมาเสนอให้ท่านดาวน์โหลดมาชุดหนึ่งแล้ว ยี่ห้อ SCOTT FORESMAN
ที่ลิงค์นี้: [1056] ด/ล 'audio & picture book' หลายร้อยเล่ม
วันนี้ผมมีมาเสนออีก 1 ชุด ยี่ห้อ HARCOURT มีคุณภาพไม่แพ้กัน
สาเหตุที่ผมนำหนังสือประเภทนี้มาเสนอท่านผู้อ่านก็เพราะว่า
1. มีความยากง่ายหลายระดับให้เลือกตามความเหมาะสมกับทักษะพื้นฐานของเรา ตั้งแต่ระดับ อนุบาลหรือ kindergarten, Grade 1, 2, 3, 4, 5 และ 6
[ นี่เป็นเกรดทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนฝรั่ง เราคนไทยไม่ต้องไปสนใจเรื่อง grade หรอกครับ ถ้าเข้าไปอ่านหรือฟังแล้ว เห็นว่าตัวเองน่าจะเหมาะสมกับเกรดไหนก็ฝึกกับเกรดนั้นแหละครับ มันจะเป็นเกรดอนุบาลต่ำสุด หรือ grade 6 สูงสุดก็ช่างมันเถอะครับ ]
2. มีเนื้อเรื่องหลากหลายให้เราเลือกฝึกตรงตามรสนิยม มีทั้งที่เป็น story เรื่องเล่า, สารคดี เรื่องท่องเที่ยว วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ ฯลฯ
[ ผมขอแนะนำว่า ให้ท่านยอมเสียเวลาหาให้พบเรื่องที่ท่าน ‘รัก’ จะเรียน คือให้มีความรู้สึกเป็นบวก(+)ที่จะเรียน, อย่าไปเริ่มเรียนกับเรื่องที่เรารู้สึกชังหรือเซ็ง คือมีความรู้สึกเป็นลบ(-), หรือแม้เริ่มเรียนกับเรื่องที่รู้สึกเฉย ๆ ก็ไม่ควร ทุกท่านคงเคยเห็นแม่อุ้มลูกตัวเล็ก ๆ เวลาไปไหนมาไหน ถามว่าหนักไหม? ตอบได้เลยว่าหนัก! ยิ่งอุ้มนานยิ่งหนักมาก หนักแล้วทำไมยังอุ้มอยู่ได้ล่ะ? อุ้มอยู่ได้ก็เพราะรัก! ถึงหนักก็ไม่เคยคิดจะโยนทิ้ง ล้าแขนนักก็วางพักสักครู่ หายล้าก็อุ้มใหม่ได้
...นี่คือการเปรียบเทียบให้ท่านยอมลงทุนหาเรื่องที่รักเป็นวัตถุดิบในการศึกษาภาษาอังกฤษ เพราะว่าเป็นธรรมดาอยู่เองที่เมื่อศึกษาไปนาน ๆ เราจะเหนื่อยหรือเมื่อย แต่เพราะ ‘รัก’ เราจะ ‘ทนได้’ และไม่หยุดพักนานเกินไป เราทนได้โดยไม่ต้อง ‘ทนทุกข์’ เพราะเรารักที่จะเรียน เหมือนกับที่เราทนอุ้มลูกของเราได้โดยไม่ต้องทนทุกข์ ... เพราะรัก รักคือการทนได้โดยไม่รู้สึกทนทุกข์ เพราะฉะนั้น ขอให้ท่านหาให้พบเรื่องที่ท่านรักจะเรียน และท่านจะทนเรียนไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่รู้สึกทนทุกข์ ขอให้เริ่มอย่างนี้ดีกว่าครับ ]
3. ท่านสามารถฝึกได้ในทุกทักษะกับหนังสือชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการฟัง, การอ่าน, การพูด(ออกเสียงตามที่ได้ฟัง), และการเขียน(ตามที่ได้ฟัง แล้วเอาไปเทียบกับ text ว่าเขียนถูกไหม) หรือจะพูดสรุป/เขียนสรุปด้วยสำนวนภาษาของตัวเองก็ได้ และในขณะที่ท่านฝึกฟัง –พูด – อ่าน – เขียนนี้ ท่านก็จะได้ทั้ง vocabulary และ grammar ไปโดยไม่รู้ตัว
4. หนังสือชุดนี้ให้ทั้งความเพลินเพลินและความรู้ ไม่ใช่ได้แต่การฝึกทักษะภาษาอังกฤษ เพราะเนื้อเรื่องมีหลากหลายให้ท่านเลือก
เอาละครับ เชิญเข้าไปศึกษา audio book ชุดที่ 2 นี้ได้เลยครับ จะดาวน์โหลดเก็บไว้ศึกษาคราวหน้าโดยไม่ต้องต่อเน็ต ก็ทำได้ตามสะดวกครับ
(ชอบใจเล่มไหน ก็ดับเบิ้ลคลิกที่รูปหนังสือเล่มนั้น)
หนังสือที่มีให้คลิกฟังเสียงอ่านพร้อมดูภาพประกอบ ผมเคยนำมาเสนอให้ท่านดาวน์โหลดมาชุดหนึ่งแล้ว ยี่ห้อ SCOTT FORESMAN
ที่ลิงค์นี้: [1056] ด/ล 'audio & picture book' หลายร้อยเล่ม
วันนี้ผมมีมาเสนออีก 1 ชุด ยี่ห้อ HARCOURT มีคุณภาพไม่แพ้กัน
สาเหตุที่ผมนำหนังสือประเภทนี้มาเสนอท่านผู้อ่านก็เพราะว่า
1. มีความยากง่ายหลายระดับให้เลือกตามความเหมาะสมกับทักษะพื้นฐานของเรา ตั้งแต่ระดับ อนุบาลหรือ kindergarten, Grade 1, 2, 3, 4, 5 และ 6
[ นี่เป็นเกรดทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนฝรั่ง เราคนไทยไม่ต้องไปสนใจเรื่อง grade หรอกครับ ถ้าเข้าไปอ่านหรือฟังแล้ว เห็นว่าตัวเองน่าจะเหมาะสมกับเกรดไหนก็ฝึกกับเกรดนั้นแหละครับ มันจะเป็นเกรดอนุบาลต่ำสุด หรือ grade 6 สูงสุดก็ช่างมันเถอะครับ ]
2. มีเนื้อเรื่องหลากหลายให้เราเลือกฝึกตรงตามรสนิยม มีทั้งที่เป็น story เรื่องเล่า, สารคดี เรื่องท่องเที่ยว วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ ฯลฯ
[ ผมขอแนะนำว่า ให้ท่านยอมเสียเวลาหาให้พบเรื่องที่ท่าน ‘รัก’ จะเรียน คือให้มีความรู้สึกเป็นบวก(+)ที่จะเรียน, อย่าไปเริ่มเรียนกับเรื่องที่เรารู้สึกชังหรือเซ็ง คือมีความรู้สึกเป็นลบ(-), หรือแม้เริ่มเรียนกับเรื่องที่รู้สึกเฉย ๆ ก็ไม่ควร ทุกท่านคงเคยเห็นแม่อุ้มลูกตัวเล็ก ๆ เวลาไปไหนมาไหน ถามว่าหนักไหม? ตอบได้เลยว่าหนัก! ยิ่งอุ้มนานยิ่งหนักมาก หนักแล้วทำไมยังอุ้มอยู่ได้ล่ะ? อุ้มอยู่ได้ก็เพราะรัก! ถึงหนักก็ไม่เคยคิดจะโยนทิ้ง ล้าแขนนักก็วางพักสักครู่ หายล้าก็อุ้มใหม่ได้
...นี่คือการเปรียบเทียบให้ท่านยอมลงทุนหาเรื่องที่รักเป็นวัตถุดิบในการศึกษาภาษาอังกฤษ เพราะว่าเป็นธรรมดาอยู่เองที่เมื่อศึกษาไปนาน ๆ เราจะเหนื่อยหรือเมื่อย แต่เพราะ ‘รัก’ เราจะ ‘ทนได้’ และไม่หยุดพักนานเกินไป เราทนได้โดยไม่ต้อง ‘ทนทุกข์’ เพราะเรารักที่จะเรียน เหมือนกับที่เราทนอุ้มลูกของเราได้โดยไม่ต้องทนทุกข์ ... เพราะรัก รักคือการทนได้โดยไม่รู้สึกทนทุกข์ เพราะฉะนั้น ขอให้ท่านหาให้พบเรื่องที่ท่านรักจะเรียน และท่านจะทนเรียนไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่รู้สึกทนทุกข์ ขอให้เริ่มอย่างนี้ดีกว่าครับ ]
3. ท่านสามารถฝึกได้ในทุกทักษะกับหนังสือชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการฟัง, การอ่าน, การพูด(ออกเสียงตามที่ได้ฟัง), และการเขียน(ตามที่ได้ฟัง แล้วเอาไปเทียบกับ text ว่าเขียนถูกไหม) หรือจะพูดสรุป/เขียนสรุปด้วยสำนวนภาษาของตัวเองก็ได้ และในขณะที่ท่านฝึกฟัง –พูด – อ่าน – เขียนนี้ ท่านก็จะได้ทั้ง vocabulary และ grammar ไปโดยไม่รู้ตัว
4. หนังสือชุดนี้ให้ทั้งความเพลินเพลินและความรู้ ไม่ใช่ได้แต่การฝึกทักษะภาษาอังกฤษ เพราะเนื้อเรื่องมีหลากหลายให้ท่านเลือก
เอาละครับ เชิญเข้าไปศึกษา audio book ชุดที่ 2 นี้ได้เลยครับ จะดาวน์โหลดเก็บไว้ศึกษาคราวหน้าโดยไม่ต้องต่อเน็ต ก็ทำได้ตามสะดวกครับ
(ชอบใจเล่มไหน ก็ดับเบิ้ลคลิกที่รูปหนังสือเล่มนั้น)
*********
เท่าที่ผ่านมา บางท่านเจอปัญหาฟังเสียงไม่ได้ วิธีแก้ปัญหาที่เคยใช้ได้ผลก็คือ ขอให้ท่านมีโปรแกรม RealPlayer และ Foxit Reader ลงไว้ในเครื่อง แม้ว่าจะมีโปรแกรมอ่านไฟล์ pdf อื่น ๆ ลงไว้แล้วก็ตาม, [ถ้าเปิดไฟล์ pdf ด้วยโปรแกรมอื่นแล้วฟังเสียงไม่ได้ ขอให้ลองเปิดด้วย Foxit Reader อาจจะใช้ได้ผล]
ดาวน์โหลดโปรแกรม Real Playerคลิกที่นี่ หรือ คลิกที่นี่
ดาวน์โหลดโปรแกรม Foxit Reader คลิกที่นี่
HARCOURT Leveled Readers grade 1
HARCOURT Leveled Readers Grade 2
HARCOURT Leveled Readers Grade 3
HARCOURT Leveled Readers Grade 4
HARCOURT Leveled Readers Grade 5
HARCOURT Leveled Readers Grade 6
สำหรับท่านที่สามารถดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ได้ไว ๆ ข้างล่างนี้คือลิงค์ให้ท่านคลิกดาวน์โหลด
HARCOURT Leveled Readers
HARCOURT Leveled Readers Grade 2
HARCOURT Leveled Readers Grade 3
HARCOURT Leveled Readers Grade 4
HARCOURT Leveled Readers Grade 5
HARCOURT Leveled Readers Grade 6
สำหรับท่านที่สามารถดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ได้ไว ๆ ข้างล่างนี้คือลิงค์ให้ท่านคลิกดาวน์โหลด
HARCOURT Leveled Readers
[เมื่อดาวน์โหลดเสร็จ ตอนจะแตกไฟล์ ให้ใส่ code englishtips.org]
HARCOURT – Leveled Readers (Kindergarten)
HARCOURT – Leveled Readers (Grade 1)
HARCOURT – Leveled Readers (Grade 2)
HARCOURT – Leveled Readers (Grade 3)
HARCOURT – Leveled Readers (Grade 4)
HARCOURT – Leveled Readers (Grade 5)
HARCOURT – Leveled Readers (Grade 6)
อ่านคำแนะนำเพิ่มเติมในการดาวน์โหลดได้ที่ลิงค์นี้
[1014]ขุมทรัพย์ให้ท่านดาวน์โหลดไฟล์เรียนภาษาอังกฤษ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
HARCOURT – Leveled Readers (Kindergarten)
HARCOURT – Leveled Readers (Grade 1)
HARCOURT – Leveled Readers (Grade 2)
HARCOURT – Leveled Readers (Grade 3)
HARCOURT – Leveled Readers (Grade 4)
HARCOURT – Leveled Readers (Grade 5)
HARCOURT – Leveled Readers (Grade 6)
อ่านคำแนะนำเพิ่มเติมในการดาวน์โหลดได้ที่ลิงค์นี้
[1014]ขุมทรัพย์ให้ท่านดาวน์โหลดไฟล์เรียนภาษาอังกฤษ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
[1070] เรียนภาษาอังกฤษอย่างคน ‘หูหนวก – เป็นใบ้’
สวัสดีครับ
หัวข้อที่ตั้งไว้ คือ เรียนอังกฤษอย่างคน ‘หูหนวก – เป็นใบ้’ มันเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง ๆ กับผมและเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน น้อง ๆ รุ่นเยาว์สมัยนี้คงจะดีกว่าผม และวันนี้ผมอยากจะเล่าประสบการณ์ของตัวเองเผื่อบางคนที่เป็นอย่างผมจะได้ยั้งตัวทัน
เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้วตอนที่ผมเริ่มเรียนภาษาอังกฤษในชั้น ป. 1 และหลังจากนั้นจนกระทั่งในมหาวิทยาลัย รวมประมาณ 16 - 17 ปี เวลาทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียนที่อุทิศให้แก่วิชาภาษาอังกฤษ ส่วนมากที่สุดผมจะหมดไปกับการอ่าน และเพื่อช่วยให้อ่านรู้เรื่อง ครูก็จะสอนแกรมมาร์ และสอนศัพท์ พอรู้ทั้งแกรมมาร์และศัพท์ก็ไปฝึกอ่านและตีความเนื้อหาเอาเอง, และเมื่อต้องทำข้อสอบวิชา reading comprehension หรือ grammar หรือ vocabulary ผมก็มักจะได้คะแนนค่อนข้างดี และ ณ วันที่ผมจบมหาวิทยาลัย ผมก็อ่าน Bangkok Post และ The Nation ได้รู้เรื่องพอ ๆ กับอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ถ้าถามว่าแล้วอาจารย์เขาไม่สอนเรื่อง listening, speaking หรือ writing บ้างหรือ? ขอตอบว่า มีสอนครับ แต่น้อย! และข้อสอบที่วัดเรื่อง การฟัง – การพูด – การเขียน ก็มีน้อยเช่นกัน ถ้าพูดว่าในช่วงนั้นผมเก่งภาษาอังกฤษ พูดอย่างนี้คงไม่ถูกต้อง ต้องพูดให้เจาะจงว่า ผมอาจจะอ่านภาษาอังกฤษพอรู้เรื่อง แต่ฟัง – พูด – และเขียน ไม่ได้เรื่องเลยครับ หรือได้น้อยมาก ๆ
ณ วันนี้เมื่อมองย้อนหลังไปก็ได้สำนึกว่า ผมใช้ชีวิตในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยศึกษาภาษาอังกฤษอย่างคนหูหนวกและเป็นใบ้ ทั้ง ๆ ที่ผมได้ยินและพูดได้ ทำไมถึงพูดเช่นนี้ ก็มันจริง ๆ นี่ครับ ผมขอเปรียบเทียบกับเด็กเล็ก ๆ ที่เพิ่งหัดพูด ซึ่งจะมี 3 ขั้นตอนอย่างนี้
-ฟังเขาพูด
-พูดตามเขา
-พูดได้เอง
และก็จะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เป็นวงกลมที่หมุนเวียนไปไม่รู้จบ คือ
-หูมีความชำนาญในการฟังมากขึ้น
-ปากมีความชำนาญในการขยับพูดตามเขามากขึ้น
-พูดได้อย่างใจคิดมากขึ้น
แต่จะทำได้ดังว่านี้มันขึ้นอยู่กับสิ่งเดียว คือ หูต้องไม่หนวก เพราะถ้าหูหนวกก็จะไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูด และก็ไม่รู้จะพูดตามเขาได้ยังไง และจะลงท้ายด้วยการพูดไม่ได้ ซึ่ง ก็คือ “เป็นใบ้”
แล้วคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ล่ะ เป็นคน “หูหนวก – เป็นใบ้” หรือเปล่า ตอบว่าไม่ แต่ทำไมยังฟังไม่รู้เรื่องและพูดไม่ได้ เรื่องนี้ตอบง่ายมาก คือ
-แม้ได้ยินเสียง แต่ไม่ใช่เสียงภาษาอังกฤษ เมื่อมาฟังภาษาอังกฤษตอนโต จึงเป็นคนหูหนวกทางภาษาอังกฤษ
-แม้พูดได้ แต่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ เมื่อต้องพูดภาษาอังกฤษตอนโต จึงพูดไม่ได้ ไม่ว่าจะพูดตามเขา หรือพูดด้วยตัวเอง จึงเป็นคนใบ้ทางภาษาอังกฤษ
ผมเองและเพื่อน ๆ อีกหลายคนเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กอย่างคนที่อยู่ในโลกเงียบ คือแทบไม่เคยได้ยินเสียงใครพูดภาษาอังกฤษเลย หรือได้ยินน้อยมาก ก็เลยเป็นคนหูหนวกและเป็นใบ้ทางภาษาอังกฤษด้วยประการฉะนี้
และก็ถึงวันที่ผมได้งานที่จำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษ ผมถึงได้ตระหนักว่า “โรค” “หูหนวก” และ “เป็นใบ้” นี้ต้องเยียวยารักษาไปพร้อมกันทั้ง 2 อย่าง แต่ถ้าก้มลงไปมองให้ชิด ๆ แล้วก็จะเห็นว่า ถ้าได้แก้อาการหูหนวกก่อน อาการเป็นใบ้ก็จะรักษาได้ไม่ยาก เพราะคนเรานั้นย่อมพูดได้ตามที่ได้ยิน ถ้าไม่ได้ยินก็ย่อมพูดไม่ได้ เหมือนคนใบ้ที่พูดไม่ได้เพราะหูหนวกไม่เคยได้ยินคนอื่นพูด
เรื่องของเรื่องก็คือว่า ในช่วงกว่า 2 ปีที่ผมนั่งเขียนบล็อกนี้ หลายครั้งที่ผมได้รับคำถามคล้าย ๆ กันว่า ทำยังไงจึงจะพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง ๆ, ให้ผมแนะนำโรงเรียนสอนสนทนาภาษาอังกฤษ หรือคำถามอื่นในทำนองนี้ ดูเหมือนหลายท่านต้องการรักษาโรค “เป็นใบ้” มากกว่าหรือก่อนโรค “หูหนวก” หรืออาจจะไม่ได้คิดถึงโรคหูหนวกทางภาษาด้วยซ้ำไป
สิ่งที่ผมขอเสนอความเห็นเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้มีดังนี้ครับ
1. โรคหูหนวกควรรักษาก่อนหรือพร้อมกับโรคเป็นใบ้ เพราะสาเหตุจริง ๆ ของการเป็นใบ้ก็คือเราหูหนวก ถ้าหูไม่หนวกเราก็ไม่เป็นใบ้ ที่เป็นใบ้ไม่ใช่เพราะลิ้นพิการ แต่เป็นเพราะไม่มีโอกาสฝึกลิ้นให้เปล่งเสียงตามที่หูได้ยิน(เพราะหูไม่ได้ยินมาตั้งแต่เกิด) เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการพูดภาษาอังกฤษให้ได้ ก็ต้องฝึกฟังก่อนพูดหรือฝึกฟังไปพร้อม ๆกับพูด อย่าลืมว่าตามธรรมชาตินั้นเราพูดได้ตามที่เราได้ยิน ถ้าเราได้ยินการออกเสียงที่ถูกต้องเราก็จะพูดได้ถูกต้อง ถ้าไม่ค่อยได้ยินหรือได้ยินการออกเสียงหรือสำเนียงผิด ๆ ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่เราจะพูดไม่ได้หรือพูดได้อย่างผิด ๆ
2. ถ้าท่านไปเรียนกับครูต่างชาติต้องระวังนิดนึงนะครับ เพราะถ้าไม่ใช่ native speaker บางทีท่านอาจจะได้สำเนียงเพี้ยน ๆ กลับมา ไม่ใช่สำเนียงอังกฤษหรือสำเนียงอเมริกันที่เป็นสากล ในเรื่องนี้ การหาฟัง mp3 หรือ CD ที่เป็นสำเนียงสากลในตลาดเมืองไทย หรือในเว็บ http://www.e4thai.com/ นี้ ดูจะทำได้ง่ายกว่า
3. โรคหูหนวกในการฟังภาษาอังกฤษเป็น “โรคเรื้อรัง” ของคนไทยส่วนใหญ่ ถ้าท่านเหมือนผมที่เป็นโรคนี้ด้วย ก็อย่าท้อเลยครับ อดทนรักษาไปเรื่อย ๆ เถอะครับ เพราะโรคนี้เป็นมานานก็คงต้องใช้เวลานานหน่อยในการรักษา แต่ผมขอรับรองว่าอาการจะค่อย ๆ ทุเลาและหายไปในที่สุด ผมเองมาเริ่มรักษาโรคนี้ตอนอายุเยอะแล้วยังค่อยยังชั่วเลยครับ ถ้าท่านผู้อ่านอายุน้อยกว่าผมก็ต้องหายเร็วกว่าผมแน่ ๆ
4. หลายท่านถามผมว่า ภาษาอังกฤษอ่อนมาก ๆ จะเริ่มต้นฝึกยังไง ถ้าสิ่งที่ท่านต้องการคือ พูดได้ – พูดเป็น – พูดเก่ง ก็ให้ลุยฝึกในเรื่องนี้เลย โดยฝึก
[1]-ฟังเขาพูด
[2]-พูดตามเขา
[3]-พูดอย่างที่อยากพูด ถ้าความอยากพูดเป็นคล้าย ๆ เสลดที่จุกอยู่ที่คอ ขอร้องเถอะครับ อย่ากลืนเสลดลงคอ ให้ถ่มออกไปเป็นคำพูดดังใจให้ได้ เสลดมันอาจจะมีสีน่ารังเกียจ คือพูดผิด ๆ ถูก ๆก็ช่างมันเถอะครับ เราถ่มออกไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันก็หมดไปเองแหละครับ แต่ถ้าขืนกลืนเสลดทุกครั้งที่อยากถ่ม มันไม่ไปรวมอยู่ในท้องแน่นแย่หรือครับ โอ๊ย! ไม่อยากพูด!
และขอย้ำอีกครั้งว่า การฝึกฟังและก็พูดออกมาโดยการ
1)พูดออกเสียงตามที่ได้ยิน mp3หรือ CD หรือ
2) การอ่านออกเสียงดัง ๆ ชัด ๆ
แม้มันจะไม่ได้โชว์ว่าเราพูดเก่ง แต่มันก็เป็นขั้นตอนการฝึกที่จำเป็นครับ เพราะใน 3 ขั้นตอนนี้ คือ [1]-ฟังเขาพูด [2]-พูดตามเขา และ [3]-พูดอย่างที่อยากพูด แม้เราเสียเงินไปเรียนตามโรงเรียนสอนภาษา เราก็ต้องฝึกอย่างนี้อยู่ดี แต่ถ้าเราไม่มีเวลาหรือไม่มีเงินที่จะไปเรียน เราฝึกเองอยู่กับบ้านก็ได้ครับ และผมอยากจะบอกว่า ถ้าเราตั้งใจและเอาจริง ผลลัพธ์อาจจะดีกว่าไปเรียนที่โรงเรียนด้วยซ้ำ เพราะท่านลองคิดดูซีครับ ถ้าเราไปเรียนที่โรงเรียน และต้องเรียนเป็นกลุ่มร่วมกับคนอื่น อาจจะเกิดปัญหาเรียนตามเขาไม่ทัน หรือต้องเรียนรอเขา ซึ่งไม่ดีทั้งนั้น ครั้นจะเรียนคอร์สส่วนตัว หรือ private course ก็ต้องจ่ายแพงเกินไป และการเรียน course เดียวก็ไม่ได้ผลซะด้วย ต้องเรียนต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ผมไม่อยากให้ท่านเสียเวลาและเงินตรามากปานนั้น
เอาอย่างนี้ไหมครับ ท่านเรียนด้วยตัวเองนี่แหละ หรือจะเสียเวลาไปเรียนกับเขาสัก 1 – 2 course ก็พอ แล้วก็มาเรียน ‘private course’ ที่ท่านจัดให้ตัวเอง เลือกหนังสือ, แบบฝึกหัด, mp3, วีดิโอ, ฯลฯ จากบล็อกนี้ก็ได้ซึ่งมีมากมายให้ท่านเลือกฝึก คือ ข้อ [1]-ฝึกฟังเขาพูด และ ข้อ [2]-ฝึกพูดตามเขา ไปเรื่อย ๆ ความสำเร็จก็จะอยู่กับท่านมากขึ้นเรื่อย ๆ
คำถามสุดท้ายที่ท่านอาจจะถามผมด้วยความไม่แน่ใจ ก็คือ ถ้าไม่ได้ฝึกพูดกับคนจริง ๆ เมื่อถึงเวลาเจอคนต่างชาติ เราจะถึงข้อ “[3]-พูดอย่างที่อยากพูด” ได้จริงหรือ? ผมขอรับรองว่า อย่ากังวลเลยครับ เพราะถ้าท่านฝึกข้อ [1] และข้อ [2] มาแล้ว มาถึงข้อ [3] ก็ไม่ใช่เรื่องที่ฝึกยาก เพราะการได้ฝึกฟังเขาพูดและพูดตามเขามาก่อนจะช่วยให้การฝึกพูดอย่างที่อยากพูดไม่เพี้ยน ผมเคยแนะนำเรื่องนี้ไว้บ้างแล้วที่ลิงค์นี้ [199] วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษโดยไม่มีครูสอน
สิ่งสุดท้ายที่ผมขอพูดในวันนี้ก็คือ ไม่ว่าจะเป็น class study คือเรียนกับครู หรือ self-study คือเรียนด้วยตัวเอง ทั้ง 2 study นี้ก็เป็นเพียง study, ยังไม่ใช่ของจริงซะทีเดียว ท่านต้องหาให้เจอของจริง เช่น อาสาเข้าไปพูดกับคนต่างชาติที่เข้ามาติดต่องาน หรือเตรียมประโยคที่คาดว่าต้องใช้เมื่อถูกคนต่างชาติถามเส้นทาง หรือ ตั้งแผงเล็ก ๆ ขายของที่ระลึกในย่านที่คนต่างชาติมักเดินเที่ยว จะได้มีโอกาสพูดภาษาอังกฤษชวนเขาซื้อของหรือเลยไปถึงเรื่องอื่น ๆ ที่อาจมีโอกาส, หรือ ถ้าท่านอยู่ต่างจังหวัด อาจฝึกเป็น ‘ไกด์สมัครเล่น’ พูดแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในชุมชนของท่านโดยไม่คิด service charge หรือเรื่องอื่น ๆ อีกเยอะแยะครับถ้าท่านต้องการหาโอกาสที่จะ “[3]-พูดอย่างที่อยากพูด” ให้ได้จริง ๆ ซึ่งเป็นของจริงมากกว่าโรงเรียนสอนภาษาราคาแพงที่ท่านต้องจ่ายเงินซะอีก
ผมปรารถนาอย่างยิ่งครับที่จะเห็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ มีความสุข และอยากจะให้ทักษะภาษาอังกฤษที่ท่านสะสมขึ้นมาเองช่วยนำท่านไปสู่ความสุขนี้ ไม่มากก็น้อย ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน
ด้วยความรักครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
หัวข้อที่ตั้งไว้ คือ เรียนอังกฤษอย่างคน ‘หูหนวก – เป็นใบ้’ มันเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง ๆ กับผมและเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน น้อง ๆ รุ่นเยาว์สมัยนี้คงจะดีกว่าผม และวันนี้ผมอยากจะเล่าประสบการณ์ของตัวเองเผื่อบางคนที่เป็นอย่างผมจะได้ยั้งตัวทัน
เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้วตอนที่ผมเริ่มเรียนภาษาอังกฤษในชั้น ป. 1 และหลังจากนั้นจนกระทั่งในมหาวิทยาลัย รวมประมาณ 16 - 17 ปี เวลาทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียนที่อุทิศให้แก่วิชาภาษาอังกฤษ ส่วนมากที่สุดผมจะหมดไปกับการอ่าน และเพื่อช่วยให้อ่านรู้เรื่อง ครูก็จะสอนแกรมมาร์ และสอนศัพท์ พอรู้ทั้งแกรมมาร์และศัพท์ก็ไปฝึกอ่านและตีความเนื้อหาเอาเอง, และเมื่อต้องทำข้อสอบวิชา reading comprehension หรือ grammar หรือ vocabulary ผมก็มักจะได้คะแนนค่อนข้างดี และ ณ วันที่ผมจบมหาวิทยาลัย ผมก็อ่าน Bangkok Post และ The Nation ได้รู้เรื่องพอ ๆ กับอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ถ้าถามว่าแล้วอาจารย์เขาไม่สอนเรื่อง listening, speaking หรือ writing บ้างหรือ? ขอตอบว่า มีสอนครับ แต่น้อย! และข้อสอบที่วัดเรื่อง การฟัง – การพูด – การเขียน ก็มีน้อยเช่นกัน ถ้าพูดว่าในช่วงนั้นผมเก่งภาษาอังกฤษ พูดอย่างนี้คงไม่ถูกต้อง ต้องพูดให้เจาะจงว่า ผมอาจจะอ่านภาษาอังกฤษพอรู้เรื่อง แต่ฟัง – พูด – และเขียน ไม่ได้เรื่องเลยครับ หรือได้น้อยมาก ๆ
ณ วันนี้เมื่อมองย้อนหลังไปก็ได้สำนึกว่า ผมใช้ชีวิตในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยศึกษาภาษาอังกฤษอย่างคนหูหนวกและเป็นใบ้ ทั้ง ๆ ที่ผมได้ยินและพูดได้ ทำไมถึงพูดเช่นนี้ ก็มันจริง ๆ นี่ครับ ผมขอเปรียบเทียบกับเด็กเล็ก ๆ ที่เพิ่งหัดพูด ซึ่งจะมี 3 ขั้นตอนอย่างนี้
-ฟังเขาพูด
-พูดตามเขา
-พูดได้เอง
และก็จะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เป็นวงกลมที่หมุนเวียนไปไม่รู้จบ คือ
-หูมีความชำนาญในการฟังมากขึ้น
-ปากมีความชำนาญในการขยับพูดตามเขามากขึ้น
-พูดได้อย่างใจคิดมากขึ้น
แต่จะทำได้ดังว่านี้มันขึ้นอยู่กับสิ่งเดียว คือ หูต้องไม่หนวก เพราะถ้าหูหนวกก็จะไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูด และก็ไม่รู้จะพูดตามเขาได้ยังไง และจะลงท้ายด้วยการพูดไม่ได้ ซึ่ง ก็คือ “เป็นใบ้”
แล้วคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ล่ะ เป็นคน “หูหนวก – เป็นใบ้” หรือเปล่า ตอบว่าไม่ แต่ทำไมยังฟังไม่รู้เรื่องและพูดไม่ได้ เรื่องนี้ตอบง่ายมาก คือ
-แม้ได้ยินเสียง แต่ไม่ใช่เสียงภาษาอังกฤษ เมื่อมาฟังภาษาอังกฤษตอนโต จึงเป็นคนหูหนวกทางภาษาอังกฤษ
-แม้พูดได้ แต่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ เมื่อต้องพูดภาษาอังกฤษตอนโต จึงพูดไม่ได้ ไม่ว่าจะพูดตามเขา หรือพูดด้วยตัวเอง จึงเป็นคนใบ้ทางภาษาอังกฤษ
ผมเองและเพื่อน ๆ อีกหลายคนเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กอย่างคนที่อยู่ในโลกเงียบ คือแทบไม่เคยได้ยินเสียงใครพูดภาษาอังกฤษเลย หรือได้ยินน้อยมาก ก็เลยเป็นคนหูหนวกและเป็นใบ้ทางภาษาอังกฤษด้วยประการฉะนี้
และก็ถึงวันที่ผมได้งานที่จำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษ ผมถึงได้ตระหนักว่า “โรค” “หูหนวก” และ “เป็นใบ้” นี้ต้องเยียวยารักษาไปพร้อมกันทั้ง 2 อย่าง แต่ถ้าก้มลงไปมองให้ชิด ๆ แล้วก็จะเห็นว่า ถ้าได้แก้อาการหูหนวกก่อน อาการเป็นใบ้ก็จะรักษาได้ไม่ยาก เพราะคนเรานั้นย่อมพูดได้ตามที่ได้ยิน ถ้าไม่ได้ยินก็ย่อมพูดไม่ได้ เหมือนคนใบ้ที่พูดไม่ได้เพราะหูหนวกไม่เคยได้ยินคนอื่นพูด
เรื่องของเรื่องก็คือว่า ในช่วงกว่า 2 ปีที่ผมนั่งเขียนบล็อกนี้ หลายครั้งที่ผมได้รับคำถามคล้าย ๆ กันว่า ทำยังไงจึงจะพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง ๆ, ให้ผมแนะนำโรงเรียนสอนสนทนาภาษาอังกฤษ หรือคำถามอื่นในทำนองนี้ ดูเหมือนหลายท่านต้องการรักษาโรค “เป็นใบ้” มากกว่าหรือก่อนโรค “หูหนวก” หรืออาจจะไม่ได้คิดถึงโรคหูหนวกทางภาษาด้วยซ้ำไป
สิ่งที่ผมขอเสนอความเห็นเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้มีดังนี้ครับ
1. โรคหูหนวกควรรักษาก่อนหรือพร้อมกับโรคเป็นใบ้ เพราะสาเหตุจริง ๆ ของการเป็นใบ้ก็คือเราหูหนวก ถ้าหูไม่หนวกเราก็ไม่เป็นใบ้ ที่เป็นใบ้ไม่ใช่เพราะลิ้นพิการ แต่เป็นเพราะไม่มีโอกาสฝึกลิ้นให้เปล่งเสียงตามที่หูได้ยิน(เพราะหูไม่ได้ยินมาตั้งแต่เกิด) เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการพูดภาษาอังกฤษให้ได้ ก็ต้องฝึกฟังก่อนพูดหรือฝึกฟังไปพร้อม ๆกับพูด อย่าลืมว่าตามธรรมชาตินั้นเราพูดได้ตามที่เราได้ยิน ถ้าเราได้ยินการออกเสียงที่ถูกต้องเราก็จะพูดได้ถูกต้อง ถ้าไม่ค่อยได้ยินหรือได้ยินการออกเสียงหรือสำเนียงผิด ๆ ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่เราจะพูดไม่ได้หรือพูดได้อย่างผิด ๆ
2. ถ้าท่านไปเรียนกับครูต่างชาติต้องระวังนิดนึงนะครับ เพราะถ้าไม่ใช่ native speaker บางทีท่านอาจจะได้สำเนียงเพี้ยน ๆ กลับมา ไม่ใช่สำเนียงอังกฤษหรือสำเนียงอเมริกันที่เป็นสากล ในเรื่องนี้ การหาฟัง mp3 หรือ CD ที่เป็นสำเนียงสากลในตลาดเมืองไทย หรือในเว็บ http://www.e4thai.com/ นี้ ดูจะทำได้ง่ายกว่า
3. โรคหูหนวกในการฟังภาษาอังกฤษเป็น “โรคเรื้อรัง” ของคนไทยส่วนใหญ่ ถ้าท่านเหมือนผมที่เป็นโรคนี้ด้วย ก็อย่าท้อเลยครับ อดทนรักษาไปเรื่อย ๆ เถอะครับ เพราะโรคนี้เป็นมานานก็คงต้องใช้เวลานานหน่อยในการรักษา แต่ผมขอรับรองว่าอาการจะค่อย ๆ ทุเลาและหายไปในที่สุด ผมเองมาเริ่มรักษาโรคนี้ตอนอายุเยอะแล้วยังค่อยยังชั่วเลยครับ ถ้าท่านผู้อ่านอายุน้อยกว่าผมก็ต้องหายเร็วกว่าผมแน่ ๆ
4. หลายท่านถามผมว่า ภาษาอังกฤษอ่อนมาก ๆ จะเริ่มต้นฝึกยังไง ถ้าสิ่งที่ท่านต้องการคือ พูดได้ – พูดเป็น – พูดเก่ง ก็ให้ลุยฝึกในเรื่องนี้เลย โดยฝึก
[1]-ฟังเขาพูด
[2]-พูดตามเขา
[3]-พูดอย่างที่อยากพูด ถ้าความอยากพูดเป็นคล้าย ๆ เสลดที่จุกอยู่ที่คอ ขอร้องเถอะครับ อย่ากลืนเสลดลงคอ ให้ถ่มออกไปเป็นคำพูดดังใจให้ได้ เสลดมันอาจจะมีสีน่ารังเกียจ คือพูดผิด ๆ ถูก ๆก็ช่างมันเถอะครับ เราถ่มออกไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันก็หมดไปเองแหละครับ แต่ถ้าขืนกลืนเสลดทุกครั้งที่อยากถ่ม มันไม่ไปรวมอยู่ในท้องแน่นแย่หรือครับ โอ๊ย! ไม่อยากพูด!
และขอย้ำอีกครั้งว่า การฝึกฟังและก็พูดออกมาโดยการ
1)พูดออกเสียงตามที่ได้ยิน mp3หรือ CD หรือ
2) การอ่านออกเสียงดัง ๆ ชัด ๆ
แม้มันจะไม่ได้โชว์ว่าเราพูดเก่ง แต่มันก็เป็นขั้นตอนการฝึกที่จำเป็นครับ เพราะใน 3 ขั้นตอนนี้ คือ [1]-ฟังเขาพูด [2]-พูดตามเขา และ [3]-พูดอย่างที่อยากพูด แม้เราเสียเงินไปเรียนตามโรงเรียนสอนภาษา เราก็ต้องฝึกอย่างนี้อยู่ดี แต่ถ้าเราไม่มีเวลาหรือไม่มีเงินที่จะไปเรียน เราฝึกเองอยู่กับบ้านก็ได้ครับ และผมอยากจะบอกว่า ถ้าเราตั้งใจและเอาจริง ผลลัพธ์อาจจะดีกว่าไปเรียนที่โรงเรียนด้วยซ้ำ เพราะท่านลองคิดดูซีครับ ถ้าเราไปเรียนที่โรงเรียน และต้องเรียนเป็นกลุ่มร่วมกับคนอื่น อาจจะเกิดปัญหาเรียนตามเขาไม่ทัน หรือต้องเรียนรอเขา ซึ่งไม่ดีทั้งนั้น ครั้นจะเรียนคอร์สส่วนตัว หรือ private course ก็ต้องจ่ายแพงเกินไป และการเรียน course เดียวก็ไม่ได้ผลซะด้วย ต้องเรียนต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ผมไม่อยากให้ท่านเสียเวลาและเงินตรามากปานนั้น
เอาอย่างนี้ไหมครับ ท่านเรียนด้วยตัวเองนี่แหละ หรือจะเสียเวลาไปเรียนกับเขาสัก 1 – 2 course ก็พอ แล้วก็มาเรียน ‘private course’ ที่ท่านจัดให้ตัวเอง เลือกหนังสือ, แบบฝึกหัด, mp3, วีดิโอ, ฯลฯ จากบล็อกนี้ก็ได้ซึ่งมีมากมายให้ท่านเลือกฝึก คือ ข้อ [1]-ฝึกฟังเขาพูด และ ข้อ [2]-ฝึกพูดตามเขา ไปเรื่อย ๆ ความสำเร็จก็จะอยู่กับท่านมากขึ้นเรื่อย ๆ
คำถามสุดท้ายที่ท่านอาจจะถามผมด้วยความไม่แน่ใจ ก็คือ ถ้าไม่ได้ฝึกพูดกับคนจริง ๆ เมื่อถึงเวลาเจอคนต่างชาติ เราจะถึงข้อ “[3]-พูดอย่างที่อยากพูด” ได้จริงหรือ? ผมขอรับรองว่า อย่ากังวลเลยครับ เพราะถ้าท่านฝึกข้อ [1] และข้อ [2] มาแล้ว มาถึงข้อ [3] ก็ไม่ใช่เรื่องที่ฝึกยาก เพราะการได้ฝึกฟังเขาพูดและพูดตามเขามาก่อนจะช่วยให้การฝึกพูดอย่างที่อยากพูดไม่เพี้ยน ผมเคยแนะนำเรื่องนี้ไว้บ้างแล้วที่ลิงค์นี้ [199] วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษโดยไม่มีครูสอน
สิ่งสุดท้ายที่ผมขอพูดในวันนี้ก็คือ ไม่ว่าจะเป็น class study คือเรียนกับครู หรือ self-study คือเรียนด้วยตัวเอง ทั้ง 2 study นี้ก็เป็นเพียง study, ยังไม่ใช่ของจริงซะทีเดียว ท่านต้องหาให้เจอของจริง เช่น อาสาเข้าไปพูดกับคนต่างชาติที่เข้ามาติดต่องาน หรือเตรียมประโยคที่คาดว่าต้องใช้เมื่อถูกคนต่างชาติถามเส้นทาง หรือ ตั้งแผงเล็ก ๆ ขายของที่ระลึกในย่านที่คนต่างชาติมักเดินเที่ยว จะได้มีโอกาสพูดภาษาอังกฤษชวนเขาซื้อของหรือเลยไปถึงเรื่องอื่น ๆ ที่อาจมีโอกาส, หรือ ถ้าท่านอยู่ต่างจังหวัด อาจฝึกเป็น ‘ไกด์สมัครเล่น’ พูดแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในชุมชนของท่านโดยไม่คิด service charge หรือเรื่องอื่น ๆ อีกเยอะแยะครับถ้าท่านต้องการหาโอกาสที่จะ “[3]-พูดอย่างที่อยากพูด” ให้ได้จริง ๆ ซึ่งเป็นของจริงมากกว่าโรงเรียนสอนภาษาราคาแพงที่ท่านต้องจ่ายเงินซะอีก
ผมปรารถนาอย่างยิ่งครับที่จะเห็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ มีความสุข และอยากจะให้ทักษะภาษาอังกฤษที่ท่านสะสมขึ้นมาเองช่วยนำท่านไปสู่ความสุขนี้ ไม่มากก็น้อย ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน
ด้วยความรักครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
[1069] “17 Rules for Excellent English”
สวัสดีครับ
มีบทความชื้นหนึ่ง ชื่อ “17 Rules for Excellent English” ผู้เขียนชื่อ Mehdi Shahmirzaie เข้าใจว่าเป็นชาวอิหร่านและเขียนบทความชิ้นนี้ให้คนอิหร่านอ่าน โดยเขาบอกว่า เขาอ่านบทความมาเกือบ 40 บทความ และได้ประมวลเป็น “กฎ 17 ข้อในการเรียนและพูดภาษาอังกฤษให้ดีขึ้น เร็วขึ้น และง่ายขึ้น” (17 rules to learn and speak English better, faster, and more easily) บทความนี้มีความยาว 6 หน้า แนะนำวิธีทั้ง 3 ทางในการพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง คือ
1.ทางใจ เช่น จะต้องคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร มีทัศนคติอย่างไร ที่จะช่วยให้เราพูดอังกฤษเก่ง ๆ
2.ทางกาย เช่น ต้องจัดการตัวเอง สิ่งแวดล้อม และนิสัยของตัวเองอย่างไรที่จะช่วยให้พูดอังกฤษเก่ง ๆ
และ
3.ทางวาจา เช่น จะต้องฝึกด้วยวิธีใดบ้างที่จะช่วยให้เราพูดอังกฤษเก่ง ๆ
ผมอ่านบทความนี้จบแล้ว และก็เห็นว่าเป็นคำแนะนำในการฝึกพูดที่เข้าท่าทีเดียว สำหรับคนชาติไหนก็ได้ที่ต้องการฝึกพูดภาษาอังกฤษ ถ้าทำตามต้องสามารถ speak English better, faster, and more easily แน่ ๆ คำแนะนำทั้ง 17 ข้อมีดังนี้ครับ
กฎข้อที่ 1: หาให้พบแรงจูงใจและความต้องการของตัวเอง
กฎข้อที่ 2:ตระหนักว่าภาษาอังกฤษเป็นเรื่องง่าย
กฎข้อที่ 3:ตระหนักว่าคุณเองก็เก่งอังกฤษได้
กฎข้อที่ 4:ศึกษาและทบทวนวลี ไม่ใช่คำเป็นคำ ๆ
กฎข้อที่ 5:เลิกเรียนแกรมมาร์
กฎข้อที่ 6:กฎที่สำคัญที่สุด ต้องฝึกฟังก่อน
กฎข้อที่ 7:พูดออกไปไม่ต้องกลัว
กฎข้อที่ 8:พูดให้ได้มากที่สุด
กฎข้อที่ 9:เรียนช้า ๆ ให้ลึก ถึงจะดีที่สุด
กฎข้อที่ 10:มองเห็นตัวเองในอนาคต
กฎข้อที่ 11:ใช้ทรัพยากรที่มีให้ครบทุกอย่าง
กฎข้อที่ 12:แวดล้อมตัวเองด้วยภาษาอังกฤษ
กฎข้อที่ 13:อัดเสียงพูดของตัวเองเพื่อฟัง
กฎข้อที่ 14:ลืมเรื่องเขียนไปเลย
กฎข้อที่ 15:ทบทวน! ทบทวน! และ ทบทวน!
กฎข้อที่ 16:เรียนวันละน้อย อย่างฉลาด ไม่ต้องหักโหม
กฎข้อที่ 17:เวลาซื้อหนังสือ หรือ CD, ต้องระวังหน่อย
ผมขอชวนให้ท่านเข้าไปอ่านบทความของเขาด้วยตัวเอง เพราะจะได้รายละเอียด ได้อารมณ์ และเห็นจริงเห็นจังมากกว่าอ่านเพียงหัวข้อ ดาวน์โหลดบทความ คลิกที่นี่ครับ
ก่อนจบผมขออนุญาตอ้างคำพระสักนิดนะครับ ท่านบอกว่าในการศึกษาธรรมะเพื่อความสุขของชีวิตนั้น เราต้องมีทั้งปริยัติ, ปฏิบัติ, และปฏิเวธ
ปริยัติ ก็คือ รู้ว่าเราจะต้องปฏิบัติอย่างไร หรือไม่ควรปฏิบัติอย่างไร ทางกาย ทางวาจา ทางใจ
ปฏิบัติ ก็คือ ลงมือทำหรืองดกระทำ ตามปริยัติที่เรารู้แล้ว
ปฏิเวธ ก็คือ ได้รับผลจากปริยัติที่รู้แล้ว - จากปฏิบัติที่ทำแล้ว เป็นความสำเร็จ แล้วก็ดูต่อไปว่า เราจะปรับปรุงปริยัติคือความรู้ทางทฤษฎี และปรับปรุงการปฏิบัติที่ผ่านมาของเราอย่างไรบ้าง จึงจะทำให้ได้รับปฏิเวธซึ่งเป็นความสำเร็จที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ผมเห็นว่าการฝึกพูดภาษาอังกฤษก็เหมือนกันแหละครับ ต้องมีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ คือต้องรู้วิธีฝึก - ฝึกตามวิธีที่รู้ - ได้รับผลแล้วทบทวนปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้เลยครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
มีบทความชื้นหนึ่ง ชื่อ “17 Rules for Excellent English” ผู้เขียนชื่อ Mehdi Shahmirzaie เข้าใจว่าเป็นชาวอิหร่านและเขียนบทความชิ้นนี้ให้คนอิหร่านอ่าน โดยเขาบอกว่า เขาอ่านบทความมาเกือบ 40 บทความ และได้ประมวลเป็น “กฎ 17 ข้อในการเรียนและพูดภาษาอังกฤษให้ดีขึ้น เร็วขึ้น และง่ายขึ้น” (17 rules to learn and speak English better, faster, and more easily) บทความนี้มีความยาว 6 หน้า แนะนำวิธีทั้ง 3 ทางในการพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง คือ
1.ทางใจ เช่น จะต้องคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร มีทัศนคติอย่างไร ที่จะช่วยให้เราพูดอังกฤษเก่ง ๆ
2.ทางกาย เช่น ต้องจัดการตัวเอง สิ่งแวดล้อม และนิสัยของตัวเองอย่างไรที่จะช่วยให้พูดอังกฤษเก่ง ๆ
และ
3.ทางวาจา เช่น จะต้องฝึกด้วยวิธีใดบ้างที่จะช่วยให้เราพูดอังกฤษเก่ง ๆ
ผมอ่านบทความนี้จบแล้ว และก็เห็นว่าเป็นคำแนะนำในการฝึกพูดที่เข้าท่าทีเดียว สำหรับคนชาติไหนก็ได้ที่ต้องการฝึกพูดภาษาอังกฤษ ถ้าทำตามต้องสามารถ speak English better, faster, and more easily แน่ ๆ คำแนะนำทั้ง 17 ข้อมีดังนี้ครับ
กฎข้อที่ 1: หาให้พบแรงจูงใจและความต้องการของตัวเอง
กฎข้อที่ 2:ตระหนักว่าภาษาอังกฤษเป็นเรื่องง่าย
กฎข้อที่ 3:ตระหนักว่าคุณเองก็เก่งอังกฤษได้
กฎข้อที่ 4:ศึกษาและทบทวนวลี ไม่ใช่คำเป็นคำ ๆ
กฎข้อที่ 5:เลิกเรียนแกรมมาร์
กฎข้อที่ 6:กฎที่สำคัญที่สุด ต้องฝึกฟังก่อน
กฎข้อที่ 7:พูดออกไปไม่ต้องกลัว
กฎข้อที่ 8:พูดให้ได้มากที่สุด
กฎข้อที่ 9:เรียนช้า ๆ ให้ลึก ถึงจะดีที่สุด
กฎข้อที่ 10:มองเห็นตัวเองในอนาคต
กฎข้อที่ 11:ใช้ทรัพยากรที่มีให้ครบทุกอย่าง
กฎข้อที่ 12:แวดล้อมตัวเองด้วยภาษาอังกฤษ
กฎข้อที่ 13:อัดเสียงพูดของตัวเองเพื่อฟัง
กฎข้อที่ 14:ลืมเรื่องเขียนไปเลย
กฎข้อที่ 15:ทบทวน! ทบทวน! และ ทบทวน!
กฎข้อที่ 16:เรียนวันละน้อย อย่างฉลาด ไม่ต้องหักโหม
กฎข้อที่ 17:เวลาซื้อหนังสือ หรือ CD, ต้องระวังหน่อย
ผมขอชวนให้ท่านเข้าไปอ่านบทความของเขาด้วยตัวเอง เพราะจะได้รายละเอียด ได้อารมณ์ และเห็นจริงเห็นจังมากกว่าอ่านเพียงหัวข้อ ดาวน์โหลดบทความ คลิกที่นี่ครับ
ก่อนจบผมขออนุญาตอ้างคำพระสักนิดนะครับ ท่านบอกว่าในการศึกษาธรรมะเพื่อความสุขของชีวิตนั้น เราต้องมีทั้งปริยัติ, ปฏิบัติ, และปฏิเวธ
ปริยัติ ก็คือ รู้ว่าเราจะต้องปฏิบัติอย่างไร หรือไม่ควรปฏิบัติอย่างไร ทางกาย ทางวาจา ทางใจ
ปฏิบัติ ก็คือ ลงมือทำหรืองดกระทำ ตามปริยัติที่เรารู้แล้ว
ปฏิเวธ ก็คือ ได้รับผลจากปริยัติที่รู้แล้ว - จากปฏิบัติที่ทำแล้ว เป็นความสำเร็จ แล้วก็ดูต่อไปว่า เราจะปรับปรุงปริยัติคือความรู้ทางทฤษฎี และปรับปรุงการปฏิบัติที่ผ่านมาของเราอย่างไรบ้าง จึงจะทำให้ได้รับปฏิเวธซึ่งเป็นความสำเร็จที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ผมเห็นว่าการฝึกพูดภาษาอังกฤษก็เหมือนกันแหละครับ ต้องมีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ คือต้องรู้วิธีฝึก - ฝึกตามวิธีที่รู้ - ได้รับผลแล้วทบทวนปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้เลยครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
[1068] เรียนภาษา-หาทุกอย่าง–ได้ทางเน็ต (มีวิธีครับ!!)
สวัสดีครับ
ไฟล์ต่าง ๆ ที่ผมนำมาให้ท่านดาวน์โหลดในบล็อกนี้ ในตอนแรก ๆ ผมนำไปฝากไว้ที่ server ของที่ทำงาน และตอนหลังนำไปฝากไว้ที่ http://www.4shared.com/ ส่วนแหล่งที่มาของไฟล์เหล่านี้ก็มีหลายแหล่ง ที่ใหญ่ ๆ และผมใช้บริการบ่อยก็เช่น 5 เว็บข้างล่างนี้ ซึ่งมีสารพัดสิ่งให้ค้นหาตรงตามชื่อเรื่องที่ผมตั้งไว้จริง ๆ คือ “เรียนภาษา - หาทุกอย่าง – ได้ทางเน็ต” คือมีทั้งหนังสือ, CD, mp3, video, program, ภาพ ฯลฯ ให้ดาวน์โหลดได้มากมายมหาศาลไม่รู้จักหมดสิ้น
[1] http://obama-omama.blogspot.com/
แนะนำไว้บ้างแล้วที่ [1039] แนะนำบล็อก obama-omama.blogspot.com
[2] http://englishtips.org/ (ใช้ code englishtips.org เพื่อแตกไฟบ์ zip ที่ดาวน์โหลดเสร็จแล้ว)
แนะนำไว้บ้างแล้วที่ [1014]ขุมทรัพย์ให้ท่านดาวน์โหลดไฟล์เรียนภาษาอังกฤษ
[3] http://www.4shared.com/
[4] http://www.youtube.com/
แนะนำไว้บ้างแล้วที่ [968]ดาวน์โหลดวีดิโอจากเน็ต & TV โดยใช้ RealPlayer
[5] http://www.scribd.com/
ผมเชื่อว่าในอนาคตผมคงจะหามาเพิ่มได้อีก หรือมีท่านผู้อ่านแนะนำมาเรื่อย ๆ
แต่เรื่องของเรื่องก็คือว่า ไฟล์ที่ผมนำเอามาแนะนำ ก็คือไฟล์ที่ผมเห็นว่าคุณภาพดีมีประโยชน์และผมชอบ แต่ในความเป็นจริงมันอาจจะไม่ใช่ไฟล์ที่เป็นประโยชน์สูง
สุดสำหรับท่าน หรือไม่ใช่ไฟล์ที่ท่านจะพอใจมากที่สุด เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือ ท่านน่าจะตะลุยเข้าไปดูเอง และเลือกดาวน์โหลดไฟล์ที่โดนใจท่าน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ไฟล์ที่โดนใจผม และผมก็เลยไม่ได้เลือกเอามาเสนอท่าน
ก่อนที่ท่านจะเข้าไปใน 5 เว็บข้างต้น มีบางเรื่องที่ผมขอแนะนำเพื่อใช้ประโยชน์จากเว็บเหล่านี้ ดังนี้
1. การที่ท่านจะดาวน์โหลดไฟล์ได้เร็วหรือช้า ก็ขึ้นอยู่กับกำลังของเครื่องคอมฯและอินเตอร์เน็ตที่ท่านใช้ ถ้าคอมฯแรงไม่ดีและเน็ตความเร็วต่ำ ก็จะดาวน์โหลดได้ไม่สมใจ หรือดาวน์โหลดไม่ได้เอาเลย หรือบางกรณี server ที่ทำงานของท่านเขาอาจจะตั้งค่าอะไรป้องกันไว้ ทำให้ท่านดาวน์โหลดโปรแกรมหรือไฟล์บางอย่างจากเน็ตไม่ได้ อย่างนี้ท่านก็ต้องไปดาวน์โหลดที่บ้านแหละครับ แต่ถ้าพบปัญหาข้างต้นที่บ้านคือคอมฯหรืออินเตอร์เน็ตแรงน้อย ก็ต้องถึงเวลาที่ท่านจะต้องพิจารณาว่า จะคุ้มไหมที่จะลงทุนทางการศึกษาโดยการเสียเงิน upgrade หรือซื้อคอมฯใหม่ หรือติดตั้งอินเตอร์เน็ตที่ความเร็วสูงขึ้น
2. ท่านอาจจะต้องสมัครเป็นสมาชิก (sign up หรือ register) เสียก่อนจึงจะมีสิทธิ log in เพื่อใช้บริการของเว็บ ถ้าไม่สมัครก็อดใช้บริการของเว็บ และ ถ้าเว็บเหล่านี้เอาไฟล์ที่เขาจะแจก ไปฝากไว้ที่เว็บอื่น ๆ แล้วเขาก็ให้ลิงค์เพื่อที่เราจะสามารถตามไปดาวน์โหลดที่นั่น เราก็ต้องไปสมัครเป็นสมาชิกเว็บที่ฝากไฟล์นั้นด้วยเช่นกัน จึงจะสามารถดาวน์โหลดไฟล์ที่ต้องการได้ (ถ้าท่านไม่ log in ก่อน, เว็บ englishtips.org และอีกหลาย ๆ เว็บจะไม่ยอมโชว์ลิงค์ดาวน์โหลดให้ท่านเห็น, หรือถ้าโชว์ก็ไม่สามารถดาวน์โหลดได้, แต่เว็บ 4shared และ YouTube ใจดี ให้ดาวน์โหลดแม้ไม่ได้ Log in )
-ในเรื่องลงทะเบียนนี้ ผมขอเสนอว่า ให้ท่านใช้ 3 อย่างนี้ชุดเดียวกันทุกครั้งที่พิมพ์ข้อความเพื่อ sign up หรือ register เพื่อใช้บริการไม่ว่าที่เว็บใดก็ตาม คือ 1.อีเมล (อาจจะสมัครอีเมลขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะก็ได้, จะได้ไม่ซ้ำกับอีเมลส่วนตัวที่เราใช้อยู่ประจำ) 2.user name (ตั้งขึ้นมาที่กะว่า ไม่ซ้ำกับใครอื่นในโลกนี้) และ 3. Password (ตั้งขึ้นมาใหม่นะครับ, ไม่ใช่ password ที่ใช้เปิดอีเมล), เมื่อ sign up เรียบร้อยแล้วก็ไปเปิดอีเมลที่ให้ไว้ตอน sign up, ตามปกติเว็บที่เราสมัครเขาจะมีอีเมลอัตโนมัติไปถึงเรา เพื่อให้เราคลิกยืนยันการสมัคร, พอคลิกแล้วก็เป็นอันว่าการสมัครเสร็จสิ้นสมบูรณ์, หลังจากนี้ก็ให้คลิกที่ Log in ที่เว็บและใช้ username และ password กรอก, แล้ว Enter เป็นอันว่าเสร็จพิธีในการเข้าไปใช้งานในฐานะสมาชิกของเขา, และท่านน่าจะจดไว้ในที่ใดที่หนึ่งว่า ท่านสมัครเป็นสมาชิกเว็บอะไรบ้าง โดยทั่วไปเขามักมีข้อกำหนดให้เราต้อง Log in อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งมิฉะนั้นการเป็นสมาชิกจะ expire หรือหมดอายุ, ส่วน username และ password ไม่ต้องจำเพราะเราใช้ชุดเดียวกันทุกครั้งที่สมัคร
3. โปรแกรมที่ต้องใช้บ่อยที่สุด มี 2 โปรแกรม คือ
3.1 โปรแกรมขยายไฟล์ เพราะไฟล์ที่เขาให้เราดาวน์โหลดนี้มักเป็นไฟล์ที่บีบอัด เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่คอมฯของเราต้องติดตั้งโปรแกรมที่สามารถ ขยายได้ทั้ง winzip และ winrar เช่น WinRAR 3.90 beta 2, 7-Zip 4.65 เป็นต้น
3.2 โปรแกรมอ่านหนังสือที่เป็นไฟล์ pdf เช่น Adobe Reader 9.1, Foxit Reader 3.0 build 1506 เป็นต้น
4. ที่เว็บเหล่านี้มักจะมี menu โชว์ให้เห็นว่ามีประเภทหรือชื่อเรื่องอะไรให้ท่านดาวน์โหลดบ้าง และแทบทุกเว็บจะมีช่อง search ให้ท่านพิมพ์ค้นหาเรื่องที่ต้องการ ให้ท่านพิมพ์ key word ลงไปเพียง 1 – 2 คำก็พอ ยกเว้นชื่อเรื่องที่ท่านจำได้แน่นอนหรือต้องการหาอย่างเจาะลง ก็พิมพ์ชื่อเต็มลงไปเลย
5. ทั้ง 4 เว็บที่ผมแนะนำข้างต้น หรือเว็บดีอื่น ๆที่มีบริการให้ดาวน์โหลดสื่อการเรียนภาษาอังกฤษ เมื่อเจอเว็บใดที่เห็นว่าเข้าท่าเข้าทาง ก็น่าจะใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับมันสักพักหนึ่ง ให้รู้ว่าเนื้อในของมันมีอะไรให้เราบ้าง ในอนาคตเมื่อต้องการอะไรจะได้นึกออกว่าแหล่งที่จะไปหาอยู่ที่ไหน
มันมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมขอแนะนำท่านเป็นพิเศษ คือ มีโปรแกรมฟรี ชื่อ FreeRapid Download, โปรแกรมนี้สามารถดาวน์โหลดไฟล์นับไม่ถ้วนจากเว็บข้างบนที่ผมแนะนำ คือ
http://obama-omama.blogspot.com/
http://englishtips.org/
http://www.4shared.com/
http://www.youtube.com/
ซึ่งตามธรรมดาท่านจะต้องคลิกดาวน์โหลดทีละไฟล์ ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าท่านใช้โปรแกรม FreeRapid Download ท่านเพียงแค่ทำตามขั้นตอนง่าย ๆ ข้างล่างนี้ FreeRapid ก็จะดาวน์โหลดไฟล์ให้ท่านไปเรื่อย ๆ ท่านอาจจะเปิดคอมฯตอนเช้าทิ้งไว้ถึงเย็น หรือเปิดคอมฯทิ้งไว้ทั้งคืน พอได้เวลาก็ไปดูที่คอมฯ ท่านจะพบว่าท่านได้ไฟล์มามากมายดังที่ตั้งใจไว้โดยที่ไม่ต้องไปนั่งคุมที่เครื่องคอมฯให้เสียเวลา
วิธีการก็ง่าย ๆ อย่างนี้ครับ
1. ดาวน์โหลดไฟล์ FreeRapid Downloader คลิกที่นี่
http://www.4shared.com/file/107639143/166fa213/FreeRapid-082.html
หรือลิงค์นี้
http://www.4shared.com/file/118892222/a82d05fd/FreeRapid-081.html
2. กระจายไฟล์ zip, คลิกเข้าไปในโฟลเดอร์, คลิกที่ไฟล์ frd ที่มีรูปลูกศรหัวชี้ลง
3. ไปที่เว็บที่ท่านต้องการ, เมื่อต้องการดาวน์โหลดลิงค์ใดก็ highlight ลิงค์นั้น, copy หรือ กด Control+C ,ท่านสามารถ highlight และ copy ครั้งละหลาย ๆ ลิงค์ก็ได้, (ถ้าเป็น YouTube, ลิงค์ในที่นี้ ก็คือ URL ขณะที่วีดิโอ YouTube กำลัง play นั่นแหละครับ)
4. หลังจาก copy แล้ว, ลิงค์นั้นจะไปปรากฏในหน้าต่างของโปรแกรม FreeRapid Downloader ที่ท่านเปิดไว้,
5. คลิกที่ … ท้ายบรรทัด Save To เพื่อหาที่ save ไฟล์
6. คลิก Start ที่แถบล่างของหน้าต่าง FreeRapid Downloader
7. โปรแกรม FreeRapid Downloader จะดาวน์โหลดไฟล์ให้ท่านไปเรื่อย ๆ, ถ้าท่านต้องการเปลี่ยนลำดับการดาวน์โหลด ก็ให้คลิกที่ไฟล์นั้น และคลิก Top, Up, Down, Bottom ที่ menu bar ตามต้องการ
8. ขณะที่โปรแกรมกำลังดาวน์โหลด อาจมีเสียงเบา ๆ ให้ได้ยิน และบางลิงค์มีข้อความ ERROR, ท่านอาจจะทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่ต้องไปสนใจมัน เพราะมันอาจจะเป็นสิงค์ตาย ดาวน์โหลดไม่ได้, หรือถ้าลิงค์นี้ไม่ได้ตายจริง ๆ เดี๋ยวมันอาจจะดาวน์โหลดต่อของมันได้เอง, หรือท่านอาจจะคลิกขวาที่ลิงค์นั้น และคลิกซ้าย Resume หรือ Validate ก็ได้
9. ท่านสามารถ shut down เครื่องคอมฯ เวลาใดก็ได้, เมื่อเปิดเครื่องคอมฯขึ้นมาใหม่ ก็ให้ไปที่โฟลเดอร์โปรแกรม FreeRapid Downloader และคลิกที่ไฟล์ frd ที่มีรูปลูกศรหัวชี้ลง, โปรแกรมก็จะดาวน์โหลดต่อจากที่ค้างไว้จนจบ
10. ถ้าไม่ต้องการดาวน์โหลดลิงค์ใด ก็คลิกขวาที่ลิงค์นั้น, วางที่ Remove, และคลิกซ้าย Remove selected downloads
ขอรับรองว่าด้วยโปรแกรมนี้ ท่านจะสามารถดาวน์โหลดไฟล์ได้อย่างมากมายมหาศาลจากเว็บขนาดมหึมา 4 เว็บดังกล่าว
ถ้าต้องการทราบว่ามีลิงค์จากเว็บใดบ้างที่ยอมให้โปรแกรม FreeRapid Downloader ดาวน์โหลด คลิกที่นี่ครับ
http://wordrider.net/freerapid/
และเลื่อนไปจนถึงบรรทัด Currently supported services are:
ที่คุยมาทั้งหมดวันนี้ ผมอยากให้ท่านทดลองเล่นดูสักพัก พอทำเป็นแล้ว วันหลังค่อยกลับมาใช้งานก็ได้ แต่ถ้าทำไม่เป็นก็จะพลาดโอกาสเข้าชมขุมทรัพย์ที่มีค่ามหาศาลนี้
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
ไฟล์ต่าง ๆ ที่ผมนำมาให้ท่านดาวน์โหลดในบล็อกนี้ ในตอนแรก ๆ ผมนำไปฝากไว้ที่ server ของที่ทำงาน และตอนหลังนำไปฝากไว้ที่ http://www.4shared.com/ ส่วนแหล่งที่มาของไฟล์เหล่านี้ก็มีหลายแหล่ง ที่ใหญ่ ๆ และผมใช้บริการบ่อยก็เช่น 5 เว็บข้างล่างนี้ ซึ่งมีสารพัดสิ่งให้ค้นหาตรงตามชื่อเรื่องที่ผมตั้งไว้จริง ๆ คือ “เรียนภาษา - หาทุกอย่าง – ได้ทางเน็ต” คือมีทั้งหนังสือ, CD, mp3, video, program, ภาพ ฯลฯ ให้ดาวน์โหลดได้มากมายมหาศาลไม่รู้จักหมดสิ้น
[1] http://obama-omama.blogspot.com/
แนะนำไว้บ้างแล้วที่ [1039] แนะนำบล็อก obama-omama.blogspot.com
[2] http://englishtips.org/ (ใช้ code englishtips.org เพื่อแตกไฟบ์ zip ที่ดาวน์โหลดเสร็จแล้ว)
แนะนำไว้บ้างแล้วที่ [1014]ขุมทรัพย์ให้ท่านดาวน์โหลดไฟล์เรียนภาษาอังกฤษ
[3] http://www.4shared.com/
[4] http://www.youtube.com/
แนะนำไว้บ้างแล้วที่ [968]ดาวน์โหลดวีดิโอจากเน็ต & TV โดยใช้ RealPlayer
[5] http://www.scribd.com/
ผมเชื่อว่าในอนาคตผมคงจะหามาเพิ่มได้อีก หรือมีท่านผู้อ่านแนะนำมาเรื่อย ๆ
แต่เรื่องของเรื่องก็คือว่า ไฟล์ที่ผมนำเอามาแนะนำ ก็คือไฟล์ที่ผมเห็นว่าคุณภาพดีมีประโยชน์และผมชอบ แต่ในความเป็นจริงมันอาจจะไม่ใช่ไฟล์ที่เป็นประโยชน์สูง
สุดสำหรับท่าน หรือไม่ใช่ไฟล์ที่ท่านจะพอใจมากที่สุด เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือ ท่านน่าจะตะลุยเข้าไปดูเอง และเลือกดาวน์โหลดไฟล์ที่โดนใจท่าน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ไฟล์ที่โดนใจผม และผมก็เลยไม่ได้เลือกเอามาเสนอท่าน
ก่อนที่ท่านจะเข้าไปใน 5 เว็บข้างต้น มีบางเรื่องที่ผมขอแนะนำเพื่อใช้ประโยชน์จากเว็บเหล่านี้ ดังนี้
1. การที่ท่านจะดาวน์โหลดไฟล์ได้เร็วหรือช้า ก็ขึ้นอยู่กับกำลังของเครื่องคอมฯและอินเตอร์เน็ตที่ท่านใช้ ถ้าคอมฯแรงไม่ดีและเน็ตความเร็วต่ำ ก็จะดาวน์โหลดได้ไม่สมใจ หรือดาวน์โหลดไม่ได้เอาเลย หรือบางกรณี server ที่ทำงานของท่านเขาอาจจะตั้งค่าอะไรป้องกันไว้ ทำให้ท่านดาวน์โหลดโปรแกรมหรือไฟล์บางอย่างจากเน็ตไม่ได้ อย่างนี้ท่านก็ต้องไปดาวน์โหลดที่บ้านแหละครับ แต่ถ้าพบปัญหาข้างต้นที่บ้านคือคอมฯหรืออินเตอร์เน็ตแรงน้อย ก็ต้องถึงเวลาที่ท่านจะต้องพิจารณาว่า จะคุ้มไหมที่จะลงทุนทางการศึกษาโดยการเสียเงิน upgrade หรือซื้อคอมฯใหม่ หรือติดตั้งอินเตอร์เน็ตที่ความเร็วสูงขึ้น
2. ท่านอาจจะต้องสมัครเป็นสมาชิก (sign up หรือ register) เสียก่อนจึงจะมีสิทธิ log in เพื่อใช้บริการของเว็บ ถ้าไม่สมัครก็อดใช้บริการของเว็บ และ ถ้าเว็บเหล่านี้เอาไฟล์ที่เขาจะแจก ไปฝากไว้ที่เว็บอื่น ๆ แล้วเขาก็ให้ลิงค์เพื่อที่เราจะสามารถตามไปดาวน์โหลดที่นั่น เราก็ต้องไปสมัครเป็นสมาชิกเว็บที่ฝากไฟล์นั้นด้วยเช่นกัน จึงจะสามารถดาวน์โหลดไฟล์ที่ต้องการได้ (ถ้าท่านไม่ log in ก่อน, เว็บ englishtips.org และอีกหลาย ๆ เว็บจะไม่ยอมโชว์ลิงค์ดาวน์โหลดให้ท่านเห็น, หรือถ้าโชว์ก็ไม่สามารถดาวน์โหลดได้, แต่เว็บ 4shared และ YouTube ใจดี ให้ดาวน์โหลดแม้ไม่ได้ Log in )
-ในเรื่องลงทะเบียนนี้ ผมขอเสนอว่า ให้ท่านใช้ 3 อย่างนี้ชุดเดียวกันทุกครั้งที่พิมพ์ข้อความเพื่อ sign up หรือ register เพื่อใช้บริการไม่ว่าที่เว็บใดก็ตาม คือ 1.อีเมล (อาจจะสมัครอีเมลขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะก็ได้, จะได้ไม่ซ้ำกับอีเมลส่วนตัวที่เราใช้อยู่ประจำ) 2.user name (ตั้งขึ้นมาที่กะว่า ไม่ซ้ำกับใครอื่นในโลกนี้) และ 3. Password (ตั้งขึ้นมาใหม่นะครับ, ไม่ใช่ password ที่ใช้เปิดอีเมล), เมื่อ sign up เรียบร้อยแล้วก็ไปเปิดอีเมลที่ให้ไว้ตอน sign up, ตามปกติเว็บที่เราสมัครเขาจะมีอีเมลอัตโนมัติไปถึงเรา เพื่อให้เราคลิกยืนยันการสมัคร, พอคลิกแล้วก็เป็นอันว่าการสมัครเสร็จสิ้นสมบูรณ์, หลังจากนี้ก็ให้คลิกที่ Log in ที่เว็บและใช้ username และ password กรอก, แล้ว Enter เป็นอันว่าเสร็จพิธีในการเข้าไปใช้งานในฐานะสมาชิกของเขา, และท่านน่าจะจดไว้ในที่ใดที่หนึ่งว่า ท่านสมัครเป็นสมาชิกเว็บอะไรบ้าง โดยทั่วไปเขามักมีข้อกำหนดให้เราต้อง Log in อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งมิฉะนั้นการเป็นสมาชิกจะ expire หรือหมดอายุ, ส่วน username และ password ไม่ต้องจำเพราะเราใช้ชุดเดียวกันทุกครั้งที่สมัคร
3. โปรแกรมที่ต้องใช้บ่อยที่สุด มี 2 โปรแกรม คือ
3.1 โปรแกรมขยายไฟล์ เพราะไฟล์ที่เขาให้เราดาวน์โหลดนี้มักเป็นไฟล์ที่บีบอัด เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่คอมฯของเราต้องติดตั้งโปรแกรมที่สามารถ ขยายได้ทั้ง winzip และ winrar เช่น WinRAR 3.90 beta 2, 7-Zip 4.65 เป็นต้น
3.2 โปรแกรมอ่านหนังสือที่เป็นไฟล์ pdf เช่น Adobe Reader 9.1, Foxit Reader 3.0 build 1506 เป็นต้น
4. ที่เว็บเหล่านี้มักจะมี menu โชว์ให้เห็นว่ามีประเภทหรือชื่อเรื่องอะไรให้ท่านดาวน์โหลดบ้าง และแทบทุกเว็บจะมีช่อง search ให้ท่านพิมพ์ค้นหาเรื่องที่ต้องการ ให้ท่านพิมพ์ key word ลงไปเพียง 1 – 2 คำก็พอ ยกเว้นชื่อเรื่องที่ท่านจำได้แน่นอนหรือต้องการหาอย่างเจาะลง ก็พิมพ์ชื่อเต็มลงไปเลย
5. ทั้ง 4 เว็บที่ผมแนะนำข้างต้น หรือเว็บดีอื่น ๆที่มีบริการให้ดาวน์โหลดสื่อการเรียนภาษาอังกฤษ เมื่อเจอเว็บใดที่เห็นว่าเข้าท่าเข้าทาง ก็น่าจะใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับมันสักพักหนึ่ง ให้รู้ว่าเนื้อในของมันมีอะไรให้เราบ้าง ในอนาคตเมื่อต้องการอะไรจะได้นึกออกว่าแหล่งที่จะไปหาอยู่ที่ไหน
มันมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมขอแนะนำท่านเป็นพิเศษ คือ มีโปรแกรมฟรี ชื่อ FreeRapid Download, โปรแกรมนี้สามารถดาวน์โหลดไฟล์นับไม่ถ้วนจากเว็บข้างบนที่ผมแนะนำ คือ
http://obama-omama.blogspot.com/
http://englishtips.org/
http://www.4shared.com/
http://www.youtube.com/
ซึ่งตามธรรมดาท่านจะต้องคลิกดาวน์โหลดทีละไฟล์ ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าท่านใช้โปรแกรม FreeRapid Download ท่านเพียงแค่ทำตามขั้นตอนง่าย ๆ ข้างล่างนี้ FreeRapid ก็จะดาวน์โหลดไฟล์ให้ท่านไปเรื่อย ๆ ท่านอาจจะเปิดคอมฯตอนเช้าทิ้งไว้ถึงเย็น หรือเปิดคอมฯทิ้งไว้ทั้งคืน พอได้เวลาก็ไปดูที่คอมฯ ท่านจะพบว่าท่านได้ไฟล์มามากมายดังที่ตั้งใจไว้โดยที่ไม่ต้องไปนั่งคุมที่เครื่องคอมฯให้เสียเวลา
วิธีการก็ง่าย ๆ อย่างนี้ครับ
1. ดาวน์โหลดไฟล์ FreeRapid Downloader คลิกที่นี่
http://www.4shared.com/file/107639143/166fa213/FreeRapid-082.html
หรือลิงค์นี้
http://www.4shared.com/file/118892222/a82d05fd/FreeRapid-081.html
2. กระจายไฟล์ zip, คลิกเข้าไปในโฟลเดอร์, คลิกที่ไฟล์ frd ที่มีรูปลูกศรหัวชี้ลง
3. ไปที่เว็บที่ท่านต้องการ, เมื่อต้องการดาวน์โหลดลิงค์ใดก็ highlight ลิงค์นั้น, copy หรือ กด Control+C ,ท่านสามารถ highlight และ copy ครั้งละหลาย ๆ ลิงค์ก็ได้, (ถ้าเป็น YouTube, ลิงค์ในที่นี้ ก็คือ URL ขณะที่วีดิโอ YouTube กำลัง play นั่นแหละครับ)
4. หลังจาก copy แล้ว, ลิงค์นั้นจะไปปรากฏในหน้าต่างของโปรแกรม FreeRapid Downloader ที่ท่านเปิดไว้,
5. คลิกที่ … ท้ายบรรทัด Save To เพื่อหาที่ save ไฟล์
6. คลิก Start ที่แถบล่างของหน้าต่าง FreeRapid Downloader
7. โปรแกรม FreeRapid Downloader จะดาวน์โหลดไฟล์ให้ท่านไปเรื่อย ๆ, ถ้าท่านต้องการเปลี่ยนลำดับการดาวน์โหลด ก็ให้คลิกที่ไฟล์นั้น และคลิก Top, Up, Down, Bottom ที่ menu bar ตามต้องการ
8. ขณะที่โปรแกรมกำลังดาวน์โหลด อาจมีเสียงเบา ๆ ให้ได้ยิน และบางลิงค์มีข้อความ ERROR, ท่านอาจจะทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่ต้องไปสนใจมัน เพราะมันอาจจะเป็นสิงค์ตาย ดาวน์โหลดไม่ได้, หรือถ้าลิงค์นี้ไม่ได้ตายจริง ๆ เดี๋ยวมันอาจจะดาวน์โหลดต่อของมันได้เอง, หรือท่านอาจจะคลิกขวาที่ลิงค์นั้น และคลิกซ้าย Resume หรือ Validate ก็ได้
9. ท่านสามารถ shut down เครื่องคอมฯ เวลาใดก็ได้, เมื่อเปิดเครื่องคอมฯขึ้นมาใหม่ ก็ให้ไปที่โฟลเดอร์โปรแกรม FreeRapid Downloader และคลิกที่ไฟล์ frd ที่มีรูปลูกศรหัวชี้ลง, โปรแกรมก็จะดาวน์โหลดต่อจากที่ค้างไว้จนจบ
10. ถ้าไม่ต้องการดาวน์โหลดลิงค์ใด ก็คลิกขวาที่ลิงค์นั้น, วางที่ Remove, และคลิกซ้าย Remove selected downloads
ขอรับรองว่าด้วยโปรแกรมนี้ ท่านจะสามารถดาวน์โหลดไฟล์ได้อย่างมากมายมหาศาลจากเว็บขนาดมหึมา 4 เว็บดังกล่าว
ถ้าต้องการทราบว่ามีลิงค์จากเว็บใดบ้างที่ยอมให้โปรแกรม FreeRapid Downloader ดาวน์โหลด คลิกที่นี่ครับ
http://wordrider.net/freerapid/
และเลื่อนไปจนถึงบรรทัด Currently supported services are:
ที่คุยมาทั้งหมดวันนี้ ผมอยากให้ท่านทดลองเล่นดูสักพัก พอทำเป็นแล้ว วันหลังค่อยกลับมาใช้งานก็ได้ แต่ถ้าทำไม่เป็นก็จะพลาดโอกาสเข้าชมขุมทรัพย์ที่มีค่ามหาศาลนี้
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
[1067] ข้อสอบสำหรับท่านที่จะสอบ TOEIC
สวัสดีครับ
TOEIC ใช้วัดทักษะภาษาอังกฤษสำหรับคนที่จะทำงานในองค์กรที่ต้องพูดจาติดต่อด้วยภาษาอังกฤษ คำอธิบายสั้น ๆ ก็คือ
The Test of English for International Communication™ (TOEIC) is "an English language test designed specifically to measure the everyday English skills of people working in an international environment."
ข้อสอบ TOEIC มี 2 section ดังนี้
Section I: Listening: 45 นาที
Part 1: Photographs 20 items (4-choice)
Part 2: Question-Response 30 items (3-choice)
Part 3: Short Conversations 30 items (4-choice)
Part 4: Short Talks 20 items (4-choice)
Section II: Reading 75 นาที
Part 5: Incomplete Sentences 40 items (4-choice)
Part 6: Error Recognition 20 items (4-choice)
Part 7: Reading Comprehension 40 items (4-choice)
อ่านคำอธิบายลักษณะการสอบเพิ่มเติมได้ที่นี่
ลิงค์ 1 - ลิงค์ 2 - ลิงค์ 3 - ลิงค์ 4
มีเว็บอยู่ 2 เว็บที่มีหนังสือ และ MP3 มากมายมหาศาลให้ท่านเข้าไปดาวน์โหลดมาใช้ศึกษาเตรียมสอบ
- - เว็บที่ 1 4shared.com
- - เว็บที่ 2 http://englishtips.org/
พิมพ์ TOEIC ในช่อง Search
[อ่านคำแนะนำการใช้เว็บ คลิกที่นี่ ]
หรือจะไปซื้อที่ศูนย์หนังสือจุฬาก็ได้ครับ ดูรายการหนังสือเกี่ยวกับ TOEIC
คลิก 1 2 3 4 5
ผมเคยเขียนแนะนำการเตรียมตัวสอบ TOEIC ไว้บ้างแล้ว ที่ 3 หัวข้อนี้
[118]ดาวน์โหลดวีดิโอ Fun TOEIC Listening Practice
[297] เว็บสำหรับท่านที่กำลังเตรียมตัวสอบ TOEIC
[809]ช่วยผมด้วย-มีตำราภ.อังกฤษให้ดาวน์โหลดมากจนล้น
และวันนี้ผมมีอีก 2 เว็บที่ขอแนะนำเป็นพิเศษ ซึ่งมันตรงกับ part 5 กับ part 6 ใน Section Reading คือ
Part 5: Incomplete sentences ดาวน์โหลด
(มีข้อสอบ 100 ชุด ๆ ละ 10 ข้อ รวมทั้งสิ้น 1,000 ข้อ พร้อมเฉลย)
Part 6: Error Identification
ดาวน์โหลด หรือ ดาวน์โหลด
(มีข้อสอบ 115 ชุด ๆ ละ 10 ข้อ รวมทั้งสิ้น 1,150 ข้อ พร้อมเฉลย)
สำหรับท่านที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสาร แม้ว่าจะไม่ได้ไปสอบ TOEIC ผมเห็นว่าการ test ตัวเองกับ TOEIC นี่แหละครับเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มาก เพราะเราจะได้รู้ว่าเราอ่อนตรงไหน ควรต้องปรับปรุงตรงไหน และผมขอให้ข้อสังเกตว่า แม้ใน part 5 และ 6 ที่ผมนำมาแนะนำในวันนี้จะค่อนค้างเป็น grammar แต่ถ้าทำ test ไปเรื่อย ๆ มันก็จะได้ทุกทักษะแหละครับ คือได้ฝึกทั้ง grammar, reading, writing, vocabulary, speaking(ถ้าเราอ่านออกเสียงตามไปบ้าง), ส่วนในเรื่อง listening นั้น ถ้าเราติดตั้งโปรแกรมดิกชันนารี WordWeb และ copy ประโยคจากข้อสอบไป paste ลงในช่อง Search ของหน้าต่างโปรแกรมดิก WordWeb และคลิกรูปลำโพงก็จะมีเสียงอ่านให้เราฝึกฟังได้เช่นกัน
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
TOEIC ใช้วัดทักษะภาษาอังกฤษสำหรับคนที่จะทำงานในองค์กรที่ต้องพูดจาติดต่อด้วยภาษาอังกฤษ คำอธิบายสั้น ๆ ก็คือ
The Test of English for International Communication™ (TOEIC) is "an English language test designed specifically to measure the everyday English skills of people working in an international environment."
ข้อสอบ TOEIC มี 2 section ดังนี้
Section I: Listening: 45 นาที
Part 1: Photographs 20 items (4-choice)
Part 2: Question-Response 30 items (3-choice)
Part 3: Short Conversations 30 items (4-choice)
Part 4: Short Talks 20 items (4-choice)
Section II: Reading 75 นาที
Part 5: Incomplete Sentences 40 items (4-choice)
Part 6: Error Recognition 20 items (4-choice)
Part 7: Reading Comprehension 40 items (4-choice)
อ่านคำอธิบายลักษณะการสอบเพิ่มเติมได้ที่นี่
ลิงค์ 1 - ลิงค์ 2 - ลิงค์ 3 - ลิงค์ 4
มีเว็บอยู่ 2 เว็บที่มีหนังสือ และ MP3 มากมายมหาศาลให้ท่านเข้าไปดาวน์โหลดมาใช้ศึกษาเตรียมสอบ
- - เว็บที่ 1 4shared.com
- - เว็บที่ 2 http://englishtips.org/
พิมพ์ TOEIC ในช่อง Search
[อ่านคำแนะนำการใช้เว็บ คลิกที่นี่ ]
หรือจะไปซื้อที่ศูนย์หนังสือจุฬาก็ได้ครับ ดูรายการหนังสือเกี่ยวกับ TOEIC
คลิก 1 2 3 4 5
ผมเคยเขียนแนะนำการเตรียมตัวสอบ TOEIC ไว้บ้างแล้ว ที่ 3 หัวข้อนี้
[118]ดาวน์โหลดวีดิโอ Fun TOEIC Listening Practice
[297] เว็บสำหรับท่านที่กำลังเตรียมตัวสอบ TOEIC
[809]ช่วยผมด้วย-มีตำราภ.อังกฤษให้ดาวน์โหลดมากจนล้น
และวันนี้ผมมีอีก 2 เว็บที่ขอแนะนำเป็นพิเศษ ซึ่งมันตรงกับ part 5 กับ part 6 ใน Section Reading คือ
Part 5: Incomplete sentences ดาวน์โหลด
(มีข้อสอบ 100 ชุด ๆ ละ 10 ข้อ รวมทั้งสิ้น 1,000 ข้อ พร้อมเฉลย)
Part 6: Error Identification
ดาวน์โหลด หรือ ดาวน์โหลด
(มีข้อสอบ 115 ชุด ๆ ละ 10 ข้อ รวมทั้งสิ้น 1,150 ข้อ พร้อมเฉลย)
สำหรับท่านที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสาร แม้ว่าจะไม่ได้ไปสอบ TOEIC ผมเห็นว่าการ test ตัวเองกับ TOEIC นี่แหละครับเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มาก เพราะเราจะได้รู้ว่าเราอ่อนตรงไหน ควรต้องปรับปรุงตรงไหน และผมขอให้ข้อสังเกตว่า แม้ใน part 5 และ 6 ที่ผมนำมาแนะนำในวันนี้จะค่อนค้างเป็น grammar แต่ถ้าทำ test ไปเรื่อย ๆ มันก็จะได้ทุกทักษะแหละครับ คือได้ฝึกทั้ง grammar, reading, writing, vocabulary, speaking(ถ้าเราอ่านออกเสียงตามไปบ้าง), ส่วนในเรื่อง listening นั้น ถ้าเราติดตั้งโปรแกรมดิกชันนารี WordWeb และ copy ประโยคจากข้อสอบไป paste ลงในช่อง Search ของหน้าต่างโปรแกรมดิก WordWeb และคลิกรูปลำโพงก็จะมีเสียงอ่านให้เราฝึกฟังได้เช่นกัน
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
[1066]โปรแกรมFree Dict ที่ใช้งานโดยไม่ต้องติดตั้ง
*****
เพิ่ม 4 มิถุนายน 2552
Concise Oxford Dictionary 11th Edition Portable
สวัสดีครับ
มีเครื่องมือหลายอย่างที่ช่วยเหลือเราในการเรียนภาษาอังกฤษ หนึ่งในนี้ก็คือ dictionary
Dictionary นอกจากมีไว้เพื่อเปิดดูความหมายของศัพท์แล้ว ยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง ในบล็อก http://www.e4thai.com/ ได้รวบรวมสารพัดเรื่องเกี่ยวกับ dictionary ไว้ที่ลิงค์นี้
http://freeenglishstudy.blogspot.com/2007/05/dictionary.html
ผมได้แนะนำโปรแกรมฟรี หรือ freeware dictionary ไว้หลายโปรแกรม แต่อย่างหนึ่งที่ผมไม่เคยแนะนำมาก่อนเลย คือ freeware ที่ใช้งานโดยไม่ต้องติดตั้ง (install) คือท่านเพียงคลิกครั้งเดียวหรือไม่กี่ครั้งที่ไฟล์โปรแกรม ก็จะสามารถใช้งานได้เลย
บางท่านอาจจะถามว่าแล้วมันต่างกันอย่างไรกับโปรแกรมที่ต้องติดตั้ง ขอเรียนชี้แจงอย่างนี้ครับ
- โปรแกรมที่ programmer สร้างมาเพื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์นั้น ส่วนใหญ่จะต้องติดตั้งหรือ install ลงเครื่องคอมฯจึงจะใช้งานได้ ที่เราคุ้นเคยกันดีก็เช่น โปรแกรมระบบปฏิบัติการ หรือ OS เช่น Windows XP Vista, โปรแกรม MS office, โปรแกรมบีบ – ขยายไฟล์ เช่น Winzip Winrar, โปรแกรมกำจัดไวรัสซึ่งมีหลายยี่ห้อ, โปรแกรมดูหนังฟังเพลง, โปรแกรมเปิดไฟล์ pdf เป็นต้น คอมฯทุกตัวต้องติดตั้งโปรแกรมพื้นฐานพวกนี้ไว้
-แต่ก็มีบางโปรแกรมที่เขาให้เราเลือกว่า เราจะใช้งานแบบติดตั้งลงคอมฯ หรือไม่ต้องติดตั้งก็ได้ ซึ่งมีศัพท์เทคนิค คือ portable การไม่ต้องติดตั้งมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น
(1) ถ้าคอมฯ กำลังไม่สูง การติดตั้งโปรแกรมหลาย ๆ โปรแกรมจะทำให้เครื่องคอมฯทำงานหนัก และอาจจะอืด ช้า เมื่อใช้งาน และแม้ตอนหลังเราถอนการติดตั้ง หรือ uninstall แล้ว มันก็มักจะเหลือซากเกะกะทำให้เครื่องต้องทำงานหนักขึ้นไม่มากก็น้อย เพราะฉะนั้นถ้าโปรแกรมใดสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องติดตั้ง ก็ช่วยให้เครื่องคอมฯไม่ต้องทำงานหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องคอมฯที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง
(2) บางทีเราไปใช้เครื่องคอมฯของคนอื่น หรือเครื่องคอมฯสาธารณะ ถ้าจำเป็นต้องใช้โปรแกรมที่เขาไม่ได้ติดตั้งไว้ และเขาล็อกไมให้คนนอกไปติดตั้งโปรแกรมเพิ่ม หรือเป็นมารยาทที่เราไม่ควรไปลงโปรแกรมเพิ่ม ในกรณีเช่นนี้โปแกรม portable ซึ่งสามารถใช้งานโดยไม่ต้องติดตั้ง มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรม dictionary freeware ที่ผมขอนำมาแนะนำท่านในวันนี้แหละครับ ในเรื่องนี้ สำหรับท่านที่เรียนภาษาอังกฤษโดยใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ผมขอแนะนำให้ท่านซื้อ flash drive พกติดตัวไว้สัก 1 ตัว ขนาดอย่างน้อย 2 GB ขึ้นไปเดี๋ยวนี้ราคาก็ไม่แพง ไปเจอไฟล์ดี ๆ ก็จะได้ขอ save ไว้เลย หรือไปเจอเครื่องคอมฯสาธารณะก็สามารถเอา flash drive นี้เสียบและอ่านไฟล์ข้อความ ฟังไฟล์ mp3 หรือดูไฟล์วีดิโอได้ ซึ่งรวมถึงการใช้งานโปรแกรม dictionary freeware ที่ไม่ต้องติดตั้งนี้ด้วย
วันนี้ผมขอแนะนำ portable dictionary freeware 5 ยี่ห้อ
ผมขอรับประกันว่าคุณภาพของทุกโปรแกรมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง
ผมได้เขียนคำอธิบายและแสดงภาพการใช้งานโปรแกรมแบบ portable ไว้โดยละเอียดที่ลิงค์นี้ ขนาดประมาณ 8.3 MB อาจจะต้องใช้เวลาดาวน์โหลดนานหน่อย
http://www.4shared.com/file/107219655/2093194/PortableDictionary.html
แต่ถ้าท่านใดมีความรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ก็ไปที่ข้างล่างนี้ได้เลยครับ
[โปรแกรมที่ 1] Talking Dictionary English – Thai และ Thai – English
มีศัพท์เยอะทั้งอังกฤษและไทย ใช้ฐานข้อมูลของ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ NECTEC สามารถคลิกฟังเสียงศัพท์ภาษาอังกฤษได้
ดาวน์โหลดโปรแกรมที่ลิงค์นี้
http://www.4shared.com/file/107190845/da605b3a/Portable_En_-_Th_Talking_Dictionary.html
[โปรแกรมที่ 2] dictionary อังกฤษ – อังกฤษ WordWeb
ดาวน์โหลดโปรแกรมที่ลิงค์นี้
http://wordweb.info/free/
[โปรแกรมที่ 3 ] dictionary TheSage V1.4.0
ดาวน์โหลดโปรแกรมดิกที่ลิงค์นี้
http://www.sequencepublishing.com/cgi-bin/download.cgi?TheSage
แต่ถ้าท่านยังใช้ Windows 95, 98, Me, หรือ 2000 ต้องดาวน์โหลดดิกเวอร์ชั่นเก่า ที่ลิงค์นี้
http://www.sequencepublishing.com/cgi-bin/download.cgi?TheSage140
[โปรแกรมที่ 4] Yadabyte Dictionary
หน้าตาเว็บ: http://www.yadabyte.com/Yadabyte_Portables.php
คลิกที่ลิงค์เพื่อดาวน์โหลด
http://www.yadabyte.com/Yadabyte_Portables.php?download=57
[โปรแกรมที่ 5] Merriam – Webster’s Dictionary & Thesaurus (ขนาดใหญ่ถึง 124 MB)
ดาวน์โหลได้ที่หลายลิงค์ข้างล่างนี้
[ถ้าเป็นไฟล์ zip ตอนแตกไฟล์อาจจะต้องใส่ code ซึ่งก็ได้แก่ englishtips.org]
http://rapidshare.com/files/228752300/Merriam-Webster.rar
http://www.filefactory.com/file/a250c4/n/Merriam-Webster_rar
http://ifile.it/dl ต้อง Sign up ก่อน จึงจะสามารถ Log in เพื่อดาวน์โหลดได้
http://www.megaupload.com/?d=JRQJN6NW
http://d01.megashares.com/?d01=8d430de
http://netload.in/dateiaZBp9Qe9sE.htm
http://depositfiles.com/en/files/0jf23lmqd
http://www.files.to/get/661996/9exyto4cte
โปรแกรม dictionary portable ทั้ง 5 โปรแกรมที่ผมแนะนำในวันนี้ ผมขอแนะนำวิธีใช้ 2 วิธี
วิธีที่ 1: save ใส่ flash drive ของท่านไว้ทั้ง 5 โปรแกรมเลย จะเดินทางไปไหนก็ใช้งานได้สะดวก หรือจะให้เพื่อน save ต่อก็ทำได้ง่าย ๆ ได้บุญและได้ไมตรีอีกต่างหาก
วิธีที่ 2: วางไฟล์โปรแกรมไว้ที่ desktop เครื่องคอมฯที่ท่านใช้เป็นประจำ จะใช้งานโปรแกรมไหนก็คลิกใช้ได้ทันที วิธีการใช้งานที่ผมแนะนำ ถ้าไม่คุ้นเคยก็อาจจะรู้สึกว่ายุ่งยากลำบาก แต่ถ้าได้คลิกทำเองสัก 1-2 ครั้งก็จะคล่องไปเอง แต่ละโปรแกรมใช้เวลาไม่ถึง 20 วินาที สะดวกมากครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
เพิ่ม 4 มิถุนายน 2552
Concise Oxford Dictionary 11th Edition Portable
สวัสดีครับ
มีเครื่องมือหลายอย่างที่ช่วยเหลือเราในการเรียนภาษาอังกฤษ หนึ่งในนี้ก็คือ dictionary
Dictionary นอกจากมีไว้เพื่อเปิดดูความหมายของศัพท์แล้ว ยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง ในบล็อก http://www.e4thai.com/ ได้รวบรวมสารพัดเรื่องเกี่ยวกับ dictionary ไว้ที่ลิงค์นี้
http://freeenglishstudy.blogspot.com/2007/05/dictionary.html
ผมได้แนะนำโปรแกรมฟรี หรือ freeware dictionary ไว้หลายโปรแกรม แต่อย่างหนึ่งที่ผมไม่เคยแนะนำมาก่อนเลย คือ freeware ที่ใช้งานโดยไม่ต้องติดตั้ง (install) คือท่านเพียงคลิกครั้งเดียวหรือไม่กี่ครั้งที่ไฟล์โปรแกรม ก็จะสามารถใช้งานได้เลย
บางท่านอาจจะถามว่าแล้วมันต่างกันอย่างไรกับโปรแกรมที่ต้องติดตั้ง ขอเรียนชี้แจงอย่างนี้ครับ
- โปรแกรมที่ programmer สร้างมาเพื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์นั้น ส่วนใหญ่จะต้องติดตั้งหรือ install ลงเครื่องคอมฯจึงจะใช้งานได้ ที่เราคุ้นเคยกันดีก็เช่น โปรแกรมระบบปฏิบัติการ หรือ OS เช่น Windows XP Vista, โปรแกรม MS office, โปรแกรมบีบ – ขยายไฟล์ เช่น Winzip Winrar, โปรแกรมกำจัดไวรัสซึ่งมีหลายยี่ห้อ, โปรแกรมดูหนังฟังเพลง, โปรแกรมเปิดไฟล์ pdf เป็นต้น คอมฯทุกตัวต้องติดตั้งโปรแกรมพื้นฐานพวกนี้ไว้
-แต่ก็มีบางโปรแกรมที่เขาให้เราเลือกว่า เราจะใช้งานแบบติดตั้งลงคอมฯ หรือไม่ต้องติดตั้งก็ได้ ซึ่งมีศัพท์เทคนิค คือ portable การไม่ต้องติดตั้งมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น
(1) ถ้าคอมฯ กำลังไม่สูง การติดตั้งโปรแกรมหลาย ๆ โปรแกรมจะทำให้เครื่องคอมฯทำงานหนัก และอาจจะอืด ช้า เมื่อใช้งาน และแม้ตอนหลังเราถอนการติดตั้ง หรือ uninstall แล้ว มันก็มักจะเหลือซากเกะกะทำให้เครื่องต้องทำงานหนักขึ้นไม่มากก็น้อย เพราะฉะนั้นถ้าโปรแกรมใดสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องติดตั้ง ก็ช่วยให้เครื่องคอมฯไม่ต้องทำงานหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องคอมฯที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง
(2) บางทีเราไปใช้เครื่องคอมฯของคนอื่น หรือเครื่องคอมฯสาธารณะ ถ้าจำเป็นต้องใช้โปรแกรมที่เขาไม่ได้ติดตั้งไว้ และเขาล็อกไมให้คนนอกไปติดตั้งโปรแกรมเพิ่ม หรือเป็นมารยาทที่เราไม่ควรไปลงโปรแกรมเพิ่ม ในกรณีเช่นนี้โปแกรม portable ซึ่งสามารถใช้งานโดยไม่ต้องติดตั้ง มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรม dictionary freeware ที่ผมขอนำมาแนะนำท่านในวันนี้แหละครับ ในเรื่องนี้ สำหรับท่านที่เรียนภาษาอังกฤษโดยใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ผมขอแนะนำให้ท่านซื้อ flash drive พกติดตัวไว้สัก 1 ตัว ขนาดอย่างน้อย 2 GB ขึ้นไปเดี๋ยวนี้ราคาก็ไม่แพง ไปเจอไฟล์ดี ๆ ก็จะได้ขอ save ไว้เลย หรือไปเจอเครื่องคอมฯสาธารณะก็สามารถเอา flash drive นี้เสียบและอ่านไฟล์ข้อความ ฟังไฟล์ mp3 หรือดูไฟล์วีดิโอได้ ซึ่งรวมถึงการใช้งานโปรแกรม dictionary freeware ที่ไม่ต้องติดตั้งนี้ด้วย
วันนี้ผมขอแนะนำ portable dictionary freeware 5 ยี่ห้อ
ผมขอรับประกันว่าคุณภาพของทุกโปรแกรมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง
ผมได้เขียนคำอธิบายและแสดงภาพการใช้งานโปรแกรมแบบ portable ไว้โดยละเอียดที่ลิงค์นี้ ขนาดประมาณ 8.3 MB อาจจะต้องใช้เวลาดาวน์โหลดนานหน่อย
http://www.4shared.com/file/107219655/2093194/PortableDictionary.html
แต่ถ้าท่านใดมีความรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ก็ไปที่ข้างล่างนี้ได้เลยครับ
[โปรแกรมที่ 1] Talking Dictionary English – Thai และ Thai – English
มีศัพท์เยอะทั้งอังกฤษและไทย ใช้ฐานข้อมูลของ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ NECTEC สามารถคลิกฟังเสียงศัพท์ภาษาอังกฤษได้
ดาวน์โหลดโปรแกรมที่ลิงค์นี้
http://www.4shared.com/file/107190845/da605b3a/Portable_En_-_Th_Talking_Dictionary.html
[โปรแกรมที่ 2] dictionary อังกฤษ – อังกฤษ WordWeb
ดาวน์โหลดโปรแกรมที่ลิงค์นี้
http://wordweb.info/free/
[โปรแกรมที่ 3 ] dictionary TheSage V1.4.0
ดาวน์โหลดโปรแกรมดิกที่ลิงค์นี้
http://www.sequencepublishing.com/cgi-bin/download.cgi?TheSage
แต่ถ้าท่านยังใช้ Windows 95, 98, Me, หรือ 2000 ต้องดาวน์โหลดดิกเวอร์ชั่นเก่า ที่ลิงค์นี้
http://www.sequencepublishing.com/cgi-bin/download.cgi?TheSage140
[โปรแกรมที่ 4] Yadabyte Dictionary
หน้าตาเว็บ: http://www.yadabyte.com/Yadabyte_Portables.php
คลิกที่ลิงค์เพื่อดาวน์โหลด
http://www.yadabyte.com/Yadabyte_Portables.php?download=57
[โปรแกรมที่ 5] Merriam – Webster’s Dictionary & Thesaurus (ขนาดใหญ่ถึง 124 MB)
ดาวน์โหลได้ที่หลายลิงค์ข้างล่างนี้
[ถ้าเป็นไฟล์ zip ตอนแตกไฟล์อาจจะต้องใส่ code ซึ่งก็ได้แก่ englishtips.org]
http://rapidshare.com/files/228752300/Merriam-Webster.rar
http://www.filefactory.com/file/a250c4/n/Merriam-Webster_rar
http://ifile.it/dl ต้อง Sign up ก่อน จึงจะสามารถ Log in เพื่อดาวน์โหลดได้
http://www.megaupload.com/?d=JRQJN6NW
http://d01.megashares.com/?d01=8d430de
http://netload.in/dateiaZBp9Qe9sE.htm
http://depositfiles.com/en/files/0jf23lmqd
http://www.files.to/get/661996/9exyto4cte
โปรแกรม dictionary portable ทั้ง 5 โปรแกรมที่ผมแนะนำในวันนี้ ผมขอแนะนำวิธีใช้ 2 วิธี
วิธีที่ 1: save ใส่ flash drive ของท่านไว้ทั้ง 5 โปรแกรมเลย จะเดินทางไปไหนก็ใช้งานได้สะดวก หรือจะให้เพื่อน save ต่อก็ทำได้ง่าย ๆ ได้บุญและได้ไมตรีอีกต่างหาก
วิธีที่ 2: วางไฟล์โปรแกรมไว้ที่ desktop เครื่องคอมฯที่ท่านใช้เป็นประจำ จะใช้งานโปรแกรมไหนก็คลิกใช้ได้ทันที วิธีการใช้งานที่ผมแนะนำ ถ้าไม่คุ้นเคยก็อาจจะรู้สึกว่ายุ่งยากลำบาก แต่ถ้าได้คลิกทำเองสัก 1-2 ครั้งก็จะคล่องไปเอง แต่ละโปรแกรมใช้เวลาไม่ถึง 20 วินาที สะดวกมากครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
Labels:
ฉนืแรหำ
[1065] เรียนอังกฤษต้องมีอะไรบ้าง?
สวัสดีครับ
วันนี้กลับจากที่ทำงานถึงบ้านนั่งหน้าคอมฯกำลังจะเริ่มพิมพ์เรื่องที่ตั้งใจไว้แล้ว พลันเกิดความคิดแทรกเข้ามาว่า ในเว็บ http://www.e4thai.com/ นี้ก็มีวัตถุดิบมากพอสมควรให้ท่านนำเอาไปปรุงเป็นความรู้ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ แต่นอกจากวัตถุดิบซึ่งได้แก่ ไฟล์หนังสือหรือข้อความ, ไฟล์เสียง, ไฟล์ภาพ, ไฟล์ภาพเคลื่อนไหว, เกม, โปรแกรม และอื่น ๆ ที่เรารู้เห็นผ่านหน้าคอมฯ ผู้เรียนภาษาอังกฤษต้องมีอะไรอื่นอีกบ้างที่จะช่วยให้การเรียนเป็นไปอย่างได้ผล ผมขอเสนอว่าน่าจะมีสิ่งต่อไปนี้
เรียนภาษาอังกฤษต้องมี... ความรัก: ถ้าใจไม่รักที่จะเรียน หรือไม่สามารถทำใจให้รักที่จะเรียน ก็จะต้องทนเรียนและเป็นทุกข์
เรียนภาษาอังกฤษต้องมี... ความอดทน: เหมือนการก้าวเท้าเดินทางไกล ต่อให้เป็นเส้นทางที่พอใจจะเดิน เมื่อเดินนาน ๆ ก็ต้องเหนื่อยบ้างเป็นธรรมดา จึงต้องอดทน
เรียนภาษาอังกฤษต้องมี... ความขยัน: ขยันแปลว่าไม่หยุด เพราะถ้าหยุดพักนานเกินไป ความรัก ความอดทน และความเก่งที่ค่อย ๆ สะสมมาจะค่อย ๆ เลือนหายไป การจะกู้ให้ความเก่งคืนกลับมา คงต้องฮึดให้ความรักและความอดทนที่อ่อนแรงไปแล้วฟื้นตัวมาอีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะฉะนั้นขยันให้ต่อเนื่องไว้ดีกว่า
เรียนภาษาอังกฤษต้องมี... ความใจร้อน: ต้องวางเป้าหมายที่จะไปให้ถึง และให้ความรัก ความอดทน ความขยัน เป็นดั่งเชื้อเพลิงผลักเราให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างคนมีไฟ ถึงเป้าหมายอันเหมาะสมที่ตนเองวางไว้ หากไม่ตั้งเป้าหมายไว้ให้บรรลุ ก็จะเรียนอย่างเฉื่อยชาเพราะไม่ต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง
เรียนภาษาอังกฤษต้องมี... ความใจเย็น: มีภาษิตว่า 'อย่าอยู่อย่างอยาก' แต่การเรียนภาษาอังกฤษควรจะต้องมีความอยากอยู่บ้าง แต่ต้องเป็น 'ความอยากอย่างเยือกเย็น', เร่งรีบแต่ไม่รีบร้อน, และพอใจทุกครั้งในผลที่ได้รับหลังจากที่เราพยายามแล้ว ความใจเย็นจะทำให้เราเรียนได้ต่อเนื่องและยาวนาน เหมือนเครื่องยนต์ที่สภาพปกติไม่เกิดความร้อนสูงเกินไปก็จะใช้งานไปได้เรื่อย ๆ
เรียนภาษาอังกฤษต้องมี... สมาธิ: ขอให้ตั้งสมาธิน้อมใจไว้ที่ตาเมื่อฝึกอ่าน ไว้ที่หูเมื่อฝึกฟัง ไว้ที่ปากเมื่อฝึกพูด และไว้ที่มือเมื่อฝึกเขียน. หากสมาธิอ่อนแอ ตา หู ปาก และมือก็จะด้อยกำลังและเสื่อมสมรรถภาพไปโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น เวลาที่ศึกษาจะผ่านไปอย่างคุ้มค่าต้องบวกด้วยสมาธิ
เรียนภาษาอังกฤษต้องมี... แผนที่ดี: ต้องรู้ว่าเรามีจุดอ่อนตรงไหนที่จะทำให้การเรียนภาษาอังกฤษไม่ได้ผลดี เรามีจุดแข็งตรงไหนที่จะทำให้การเรียนสำเร็จ เราจะลดจุดอ่อนและเพิ่มจุดแข็งได้อย่างไร ฉะนั้น จึงต้องวางแผนให้ดีและทำตามแผนให้ได้
เรียนภาษาอังกฤษต้อง... เรียนรู้จากความผิด: คนที่กลัวทำผิด กลัวอ่านผิด พูดผิด เขียนผิด ก็จะไม่ได้อ่าน ไม่ได้พูด ไม่ได้เขียน และก็จะไม่เคยทำผิดเกี่ยวกับการอ่าน การพูด การเขียน แต่ในขณะเดียวกันก็จะไม่มีความผิดของตัวเองเป็นวัตถุดิบให้เรียนรู้ฝึกฝน ผลสุดท้ายก็คือ อ่านไม่เป็น พูดไม่เป็น เขียนไม่เป็น เพราะฉะนั้นขอให้กล้าฝึก ไม่กลัวทำผิด เรียนรู้จากความผิด และความผิดก็จะช่วยพาเราสู่ความสำเร็จ คนที่กลัวทำผิดก็ไม่ต่างจากคนที่กลัวประสบความสำเร็จทั้ง ๆ ที่อยากได้รับความสำเร็จ
เรียนภาษาอังกฤษต้อง... หาให้พบแง่มุมที่ทำให้เรียนแล้วมีความสุข: อาจจะเป็นเนื้อหาที่ศึกษาที่เราชอบ ความท้าทายในทักษะที่ฝึกฝน บรรยากาศในการศึกษา การสามารถใช้ทักษะที่ศึกษาทำสิ่งที่เรารักหรือหาความเพลิดเพลินให้แก่ตนเอง ฯลฯ นี่เป็นแง่มุมที่ต้องหาให้พบ เราอาจจะต้องออกแรง “หา” มัน เพราะมันมักจะไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากกิจกรรมเล็ก ๆ ที่เราทำแล้วได้รับความสุข
เรียนภาษาอังกฤษต้อง... หาให้พบประโยชน์ที่ได้จากการฝึกภาษา: กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ไม่ใช่สักแต่ว่าฝึกภาษาเพื่อให้ได้ฝึกภาษา แต่ต้องฝึกภาษาเพื่อให้ได้ใช้ภาษา จะต้องนำเอาทักษะจาก self – study หรือ class study ไปใช้ในโลกแห่งชีวิตจริงให้ได้ เช่น เพื่อการอ่านหาความรู้ ชมสารคดีหาความเพลิดเพลิน เพื่อการเขียนติดต่อกับเพื่อนต่างชาติหรือติดต่อทางการค้า เพื่อการพูดจาผูกมิตร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติแต่เราคงต้องพยายามทำให้มันเกิดขึ้นมา จากน้อยไปหามาก จากง่ายไปหายาก จากเรื่องเดียวไปหาหลาย ๆ เรื่อง จากการทำผิด ๆ ถูก ๆ และเชื่องช้าไปสู่ความคล่องแคล่วมากขึ้นและผิดพลาดน้อยลง ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากกิจกรรมเล็ก ๆ ที่เราทำแล้วได้รับประโยชน์
เรียนภาษาอังกฤษต้อง...ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น: ทักษะภาษาอังกฤษก็เหมือนทักษะอื่น ๆ ของคนเราซึ่งมาจากปัจจัยอย่างน้อย 3 อย่าง คือ พรสวรรค์ ความพยายาม และโอกาส ที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหรือเท่ากัน เมื่อเราเห็นว่าภาษาอังกฤษมีประโยชน์และเราพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะทำให้ตัวเองมีความสามารถด้านนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นให้รู้สึกเป็นทุกข์หรือลำพองใจ เพราะในคนร้อยคนที่พยายามอย่างเต็มที่เหมือน ๆ กัน ก็อาจจะเก่งไม่เท่ากันเพราะพรสวรรค์หรือโอกาสที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นขอให้พยายามอย่างเต็มที่แต่อย่าเป็นทุกข์ไปกับมัน คนจำนวนมากที่เรียนภาษาอังกฤษ เขาใช้ความพยายามไม่เต็มที่ แต่กลับปล่อยใจอย่างเต็มที่ให้พลอยทุกข์ไปกับผลลัพธ์ที่ไม่สมใจ นี่ไม่ใช่เพราะถูกภาษาอังกฤษกระทำให้เป็นทุกข์ แต่เป็นทุกข์เพราะกระทำตัวเองต่างหาก เราจึงต้องตั้งสติให้ดีเมื่อคลุกคลีกับภาษาอังกฤษ
และไม่ว่าท่านจะเก่งภาษาอังกฤษหรือไม่ก็ตาม ผมขออวยพรให้ทุกท่านมีชีวิตที่เป็นสุขและดีงามครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันนี้กลับจากที่ทำงานถึงบ้านนั่งหน้าคอมฯกำลังจะเริ่มพิมพ์เรื่องที่ตั้งใจไว้แล้ว พลันเกิดความคิดแทรกเข้ามาว่า ในเว็บ http://www.e4thai.com/ นี้ก็มีวัตถุดิบมากพอสมควรให้ท่านนำเอาไปปรุงเป็นความรู้ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ แต่นอกจากวัตถุดิบซึ่งได้แก่ ไฟล์หนังสือหรือข้อความ, ไฟล์เสียง, ไฟล์ภาพ, ไฟล์ภาพเคลื่อนไหว, เกม, โปรแกรม และอื่น ๆ ที่เรารู้เห็นผ่านหน้าคอมฯ ผู้เรียนภาษาอังกฤษต้องมีอะไรอื่นอีกบ้างที่จะช่วยให้การเรียนเป็นไปอย่างได้ผล ผมขอเสนอว่าน่าจะมีสิ่งต่อไปนี้
เรียนภาษาอังกฤษต้องมี... ความรัก: ถ้าใจไม่รักที่จะเรียน หรือไม่สามารถทำใจให้รักที่จะเรียน ก็จะต้องทนเรียนและเป็นทุกข์
เรียนภาษาอังกฤษต้องมี... ความอดทน: เหมือนการก้าวเท้าเดินทางไกล ต่อให้เป็นเส้นทางที่พอใจจะเดิน เมื่อเดินนาน ๆ ก็ต้องเหนื่อยบ้างเป็นธรรมดา จึงต้องอดทน
เรียนภาษาอังกฤษต้องมี... ความขยัน: ขยันแปลว่าไม่หยุด เพราะถ้าหยุดพักนานเกินไป ความรัก ความอดทน และความเก่งที่ค่อย ๆ สะสมมาจะค่อย ๆ เลือนหายไป การจะกู้ให้ความเก่งคืนกลับมา คงต้องฮึดให้ความรักและความอดทนที่อ่อนแรงไปแล้วฟื้นตัวมาอีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะฉะนั้นขยันให้ต่อเนื่องไว้ดีกว่า
เรียนภาษาอังกฤษต้องมี... ความใจร้อน: ต้องวางเป้าหมายที่จะไปให้ถึง และให้ความรัก ความอดทน ความขยัน เป็นดั่งเชื้อเพลิงผลักเราให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างคนมีไฟ ถึงเป้าหมายอันเหมาะสมที่ตนเองวางไว้ หากไม่ตั้งเป้าหมายไว้ให้บรรลุ ก็จะเรียนอย่างเฉื่อยชาเพราะไม่ต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง
เรียนภาษาอังกฤษต้องมี... ความใจเย็น: มีภาษิตว่า 'อย่าอยู่อย่างอยาก' แต่การเรียนภาษาอังกฤษควรจะต้องมีความอยากอยู่บ้าง แต่ต้องเป็น 'ความอยากอย่างเยือกเย็น', เร่งรีบแต่ไม่รีบร้อน, และพอใจทุกครั้งในผลที่ได้รับหลังจากที่เราพยายามแล้ว ความใจเย็นจะทำให้เราเรียนได้ต่อเนื่องและยาวนาน เหมือนเครื่องยนต์ที่สภาพปกติไม่เกิดความร้อนสูงเกินไปก็จะใช้งานไปได้เรื่อย ๆ
เรียนภาษาอังกฤษต้องมี... สมาธิ: ขอให้ตั้งสมาธิน้อมใจไว้ที่ตาเมื่อฝึกอ่าน ไว้ที่หูเมื่อฝึกฟัง ไว้ที่ปากเมื่อฝึกพูด และไว้ที่มือเมื่อฝึกเขียน. หากสมาธิอ่อนแอ ตา หู ปาก และมือก็จะด้อยกำลังและเสื่อมสมรรถภาพไปโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น เวลาที่ศึกษาจะผ่านไปอย่างคุ้มค่าต้องบวกด้วยสมาธิ
เรียนภาษาอังกฤษต้องมี... แผนที่ดี: ต้องรู้ว่าเรามีจุดอ่อนตรงไหนที่จะทำให้การเรียนภาษาอังกฤษไม่ได้ผลดี เรามีจุดแข็งตรงไหนที่จะทำให้การเรียนสำเร็จ เราจะลดจุดอ่อนและเพิ่มจุดแข็งได้อย่างไร ฉะนั้น จึงต้องวางแผนให้ดีและทำตามแผนให้ได้
เรียนภาษาอังกฤษต้อง... เรียนรู้จากความผิด: คนที่กลัวทำผิด กลัวอ่านผิด พูดผิด เขียนผิด ก็จะไม่ได้อ่าน ไม่ได้พูด ไม่ได้เขียน และก็จะไม่เคยทำผิดเกี่ยวกับการอ่าน การพูด การเขียน แต่ในขณะเดียวกันก็จะไม่มีความผิดของตัวเองเป็นวัตถุดิบให้เรียนรู้ฝึกฝน ผลสุดท้ายก็คือ อ่านไม่เป็น พูดไม่เป็น เขียนไม่เป็น เพราะฉะนั้นขอให้กล้าฝึก ไม่กลัวทำผิด เรียนรู้จากความผิด และความผิดก็จะช่วยพาเราสู่ความสำเร็จ คนที่กลัวทำผิดก็ไม่ต่างจากคนที่กลัวประสบความสำเร็จทั้ง ๆ ที่อยากได้รับความสำเร็จ
เรียนภาษาอังกฤษต้อง... หาให้พบแง่มุมที่ทำให้เรียนแล้วมีความสุข: อาจจะเป็นเนื้อหาที่ศึกษาที่เราชอบ ความท้าทายในทักษะที่ฝึกฝน บรรยากาศในการศึกษา การสามารถใช้ทักษะที่ศึกษาทำสิ่งที่เรารักหรือหาความเพลิดเพลินให้แก่ตนเอง ฯลฯ นี่เป็นแง่มุมที่ต้องหาให้พบ เราอาจจะต้องออกแรง “หา” มัน เพราะมันมักจะไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากกิจกรรมเล็ก ๆ ที่เราทำแล้วได้รับความสุข
เรียนภาษาอังกฤษต้อง... หาให้พบประโยชน์ที่ได้จากการฝึกภาษา: กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ไม่ใช่สักแต่ว่าฝึกภาษาเพื่อให้ได้ฝึกภาษา แต่ต้องฝึกภาษาเพื่อให้ได้ใช้ภาษา จะต้องนำเอาทักษะจาก self – study หรือ class study ไปใช้ในโลกแห่งชีวิตจริงให้ได้ เช่น เพื่อการอ่านหาความรู้ ชมสารคดีหาความเพลิดเพลิน เพื่อการเขียนติดต่อกับเพื่อนต่างชาติหรือติดต่อทางการค้า เพื่อการพูดจาผูกมิตร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติแต่เราคงต้องพยายามทำให้มันเกิดขึ้นมา จากน้อยไปหามาก จากง่ายไปหายาก จากเรื่องเดียวไปหาหลาย ๆ เรื่อง จากการทำผิด ๆ ถูก ๆ และเชื่องช้าไปสู่ความคล่องแคล่วมากขึ้นและผิดพลาดน้อยลง ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากกิจกรรมเล็ก ๆ ที่เราทำแล้วได้รับประโยชน์
เรียนภาษาอังกฤษต้อง...ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น: ทักษะภาษาอังกฤษก็เหมือนทักษะอื่น ๆ ของคนเราซึ่งมาจากปัจจัยอย่างน้อย 3 อย่าง คือ พรสวรรค์ ความพยายาม และโอกาส ที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหรือเท่ากัน เมื่อเราเห็นว่าภาษาอังกฤษมีประโยชน์และเราพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะทำให้ตัวเองมีความสามารถด้านนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นให้รู้สึกเป็นทุกข์หรือลำพองใจ เพราะในคนร้อยคนที่พยายามอย่างเต็มที่เหมือน ๆ กัน ก็อาจจะเก่งไม่เท่ากันเพราะพรสวรรค์หรือโอกาสที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นขอให้พยายามอย่างเต็มที่แต่อย่าเป็นทุกข์ไปกับมัน คนจำนวนมากที่เรียนภาษาอังกฤษ เขาใช้ความพยายามไม่เต็มที่ แต่กลับปล่อยใจอย่างเต็มที่ให้พลอยทุกข์ไปกับผลลัพธ์ที่ไม่สมใจ นี่ไม่ใช่เพราะถูกภาษาอังกฤษกระทำให้เป็นทุกข์ แต่เป็นทุกข์เพราะกระทำตัวเองต่างหาก เราจึงต้องตั้งสติให้ดีเมื่อคลุกคลีกับภาษาอังกฤษ
และไม่ว่าท่านจะเก่งภาษาอังกฤษหรือไม่ก็ตาม ผมขออวยพรให้ทุกท่านมีชีวิตที่เป็นสุขและดีงามครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
[1064]ฟังเพลงรัก The Promise ร้องโดย Tracy Chapman
สวัสดีครับ
เพื่อนของผมส่งเพลง The Promise ร้องโดย Tracy Chapman มาให้ เป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่น หายหนาว ลองคลิกฟังดูซีครับ
อ่านเนื้อร้องภาษาอังกฤษ
อ่านเนื้อเพลงแปลเป็นภาษาไทย ( มาจากลิงค์นี้ )
If you wait for me then I'll come for you หากเธอยังคอย ฉันจะมาหา
Although I've traveled far แม้จะไปไกลเพียงใดก็ตาม
I always hold a place for you in my heart ฉันยังคงเก็บที่ว่างในหัวใจให้เธออยู่
If you think of me, If you miss me once in a while หากเธอยังคิดถึง แม้จะนานๆครั้งThen I'll return to you ฉันจะกลับมาหาเธอ
I'll return and fill that space in your heart จะกลับมาเติมเต็มช่องว่างในหัวใจเธอ
Remembering ยังจำได้
Your touch สัมผัสของเธอ
Your kiss รสจุมพิต
Your warm embrace อ้อมกอดอันอบอุ่น
I'll find my way back to you ทำให้ฉันอยากจะกลับมา
If you'll be waiting หากเธอยังจะรอฉันอยู่
If you dream of me like I dream of you หากเธอฝัน เหมือนดั่งฉันฝันถึงเธอ
In a place that's warm and dark ณ ที่นั้นอบอุ่นและเงียบสงัด
In a place where I can feel the beating of your heart ที่ที่ฉันรู้สึกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจเธอ
Remembering นึกถึง
Your touch สัมผัสของเธอ
Your kiss จุมพิต
Your warm embrace อ้อมแขนแข็งแรง
I'll find my way back to you ฉันอยากกลับมาหาเธอ
If you'll be waiting ขอเพียงเธอยังรอฉัน
I've longed for you and I have desired ฉันโหยหา และปรารถนายิ่ง
To see your face your smile ที่จะได้เห็นหน้ายิ้มแย้มของเธอ
To be with you wherever you are ที่จะได้อยู่กับเธอทุกแห่งไป
Remembering เมื่อหวนคิดถึง
Your touch รสสัมผัส
Your kiss รอยจูบ
Your warm embrace ตระกองกอดที่มั่นคง
I'll find my way back to you ฉันจะกลับมาหา
Please say you'll be waiting โปรดบอกฉันนะว่า เธอจะรอ
Together again หากได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง
It would feel so good to be มันจะเป็นความสุขยิ่งนัก
In your arms ในอ้อมแขนเธอ
Where all my journeys end ในที่ซึ่งการเดินทางของฉันหยุดลง
If you can make a promise หากเธอสัญญากับฉัน
If it's one that you can keep, หากเธอจะรักษาสัญญานี้ได้
I vow to come for you ฉันก็ให้คำมั่นว่าจะมาหาเธอ
If you wait for me and say you'll hold หากเธอรอฉัน บอกฉันนะว่า เธอจะยังเก็บ
A place for me in your heart. ที่ในหัวใจเธอเอาไว้ให้ฉัน
และมีที่แปลเป็นบทกลอนด้วย คลิกที่นี่ครับ
คนที่ฟังเพลงนี้เขียนความรู้สึกทิ้งไว้หลายร้อยคน ลองอ่านดูซีครับ
ถ้าท่านชอบวีดิโอเพลงนี้และต้องการเก็บไว้ คลิกดาวน์โหลดได้เลยครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
เพื่อนของผมส่งเพลง The Promise ร้องโดย Tracy Chapman มาให้ เป็นเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่น หายหนาว ลองคลิกฟังดูซีครับ
อ่านเนื้อร้องภาษาอังกฤษ
อ่านเนื้อเพลงแปลเป็นภาษาไทย ( มาจากลิงค์นี้ )
If you wait for me then I'll come for you หากเธอยังคอย ฉันจะมาหา
Although I've traveled far แม้จะไปไกลเพียงใดก็ตาม
I always hold a place for you in my heart ฉันยังคงเก็บที่ว่างในหัวใจให้เธออยู่
If you think of me, If you miss me once in a while หากเธอยังคิดถึง แม้จะนานๆครั้งThen I'll return to you ฉันจะกลับมาหาเธอ
I'll return and fill that space in your heart จะกลับมาเติมเต็มช่องว่างในหัวใจเธอ
Remembering ยังจำได้
Your touch สัมผัสของเธอ
Your kiss รสจุมพิต
Your warm embrace อ้อมกอดอันอบอุ่น
I'll find my way back to you ทำให้ฉันอยากจะกลับมา
If you'll be waiting หากเธอยังจะรอฉันอยู่
If you dream of me like I dream of you หากเธอฝัน เหมือนดั่งฉันฝันถึงเธอ
In a place that's warm and dark ณ ที่นั้นอบอุ่นและเงียบสงัด
In a place where I can feel the beating of your heart ที่ที่ฉันรู้สึกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจเธอ
Remembering นึกถึง
Your touch สัมผัสของเธอ
Your kiss จุมพิต
Your warm embrace อ้อมแขนแข็งแรง
I'll find my way back to you ฉันอยากกลับมาหาเธอ
If you'll be waiting ขอเพียงเธอยังรอฉัน
I've longed for you and I have desired ฉันโหยหา และปรารถนายิ่ง
To see your face your smile ที่จะได้เห็นหน้ายิ้มแย้มของเธอ
To be with you wherever you are ที่จะได้อยู่กับเธอทุกแห่งไป
Remembering เมื่อหวนคิดถึง
Your touch รสสัมผัส
Your kiss รอยจูบ
Your warm embrace ตระกองกอดที่มั่นคง
I'll find my way back to you ฉันจะกลับมาหา
Please say you'll be waiting โปรดบอกฉันนะว่า เธอจะรอ
Together again หากได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง
It would feel so good to be มันจะเป็นความสุขยิ่งนัก
In your arms ในอ้อมแขนเธอ
Where all my journeys end ในที่ซึ่งการเดินทางของฉันหยุดลง
If you can make a promise หากเธอสัญญากับฉัน
If it's one that you can keep, หากเธอจะรักษาสัญญานี้ได้
I vow to come for you ฉันก็ให้คำมั่นว่าจะมาหาเธอ
If you wait for me and say you'll hold หากเธอรอฉัน บอกฉันนะว่า เธอจะยังเก็บ
A place for me in your heart. ที่ในหัวใจเธอเอาไว้ให้ฉัน
และมีที่แปลเป็นบทกลอนด้วย คลิกที่นี่ครับ
คนที่ฟังเพลงนี้เขียนความรู้สึกทิ้งไว้หลายร้อยคน ลองอ่านดูซีครับ
ถ้าท่านชอบวีดิโอเพลงนี้และต้องการเก็บไว้ คลิกดาวน์โหลดได้เลยครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
[1063] แนะนำเว็บไซต์ www.ภาษาอังกฤษออนไลน์.com
เว็บ www.ภาษาอังกฤษออนไลน์.com
ที่ผมขอแนะนำในวันนี้
น่าจะมีบางสิ่งสำหรับทุกคน และมีทุกสิ่งสำหรับบางคน ที่ต้องการฝึกภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง เมื่อท่านเข้าไปแล้ว มี 3 จุดให้ดู คือ
กลางหน้า มี เนื้อหาสาระบนเว็บไซต์
และที่คอลัมน์ขวามือ มี บทเรียนล่าสุด และ หมวดหมู่
กลางหน้า มี เนื้อหาสาระบนเว็บไซต์
และที่คอลัมน์ขวามือ มี บทเรียนล่าสุด และ หมวดหมู่
ซึ่งมี คำศัพท์พื้นฐานที่ควรจดจำให้ได้
เพราะเป็นคำศัพท์ที่ใช้บ่อย
เชิญเลือกของที่ท่านชอบในเว็บนี้ได้ตามสะดวกครับ
· หมวดหมู่
- English Lesson
- English Quiz
- ข้อสอบภาษาอังกฤษ
- คำศัพท์ภาษาอังกฤษ
- นิทานภาษาอังกฤษ
- บทความภาษาอังกฤษ
- บทสนทนาภาษาอังกฤษ
- ประโยคภาษาอังกฤษ
- ภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก
- วีดีโอภาษาอังกฤษ
- สาระน่ารู้
- เกมภาษาอังกฤษ
- เคล็ดลับน่ารู้
- เพลงภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก
- เรียนอังกฤษจากเพลง
- แผนการสอน
- ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
www.facebook.com/e4thai
www.facebook.com/EnglishforThai
e4thai@live.com
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
[1062] “ท่านชอบใจธรรมะของใคร?”
สวัสดีครับ
ถ้ามีใครพูดว่า “คนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยสนใจธรรมะกัน เอาแต่ทำมาหากิน และเที่ยวเล่นสนุกสนาน” ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับคำพูดนี้สักเท่าไรนัก ที่ไม่เห็นด้วยก็เพราะว่า คนเราไม่ว่าสมัยไหนต่างก็มีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมีความทุกข์ก็ต้องดิ้นรนหาทางดับทุกข์ไม่ว่าโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และความรู้และการปฏิบัติที่ทำให้ความทุกข์หมดไปนั้น ไม่ว่าภาษาสมัยใหม่จะเรียกมันว่า ความคิดเชิงบวก (positive thinking), จิตวิทยาในการใช้ชีวิต, หรืออะไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ถ้าคิดและทำอย่างถูกต้องแล้ว ก็ถือว่าเป็นธรรมะทั้งสิ้น
แต่ท่านสังเกตบ้างไหมครับว่า ทุกวันนี้เรามีแหล่งให้ศึกษาธรรมะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ เทป วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต และวัดหรือแหล่งปฏิบัติธรรมให้ผู้สนใจไปฝึกทำสมาธิวิปัสสนาก็มีไม่น้อย แต่ก็มีคนจำนวนมากไม่ได้รับประโยชน์จากแหล่งความรู้หรือแหล่งฝึกปฏิบัติธรรมเช่นนี้ เป็นเพราะอะไรครับ
คำตอบโดยประสบการณ์ส่วนตัวของผมก็คือ มันเหมือนกับคำพังเพยไทยที่ว่า “ลางเนื้อชอบลางยา” คือ เมื่อเราเป็นโรค ๆ หนึ่ง ยาขนานเดียวกันที่คนอื่นมากมายเขากินได้ผลแต่เรากินแล้วกลับไม่ได้ผล ในทำนองตรงกันข้าม ยาขนานที่เรากินได้ผลคนอื่นจำนวนมากอาจจะกินแล้วไม่ได้ผลเลย ข้อสรุปก็คือ โรคทางกายที่เราเป็นต้องรักษาด้วยยาที่ถูกกับโรคทางกายของเรา โรคทางใจคือความทุกข์ก็เช่นกัน ก็ต้องรักษาด้วยยาที่ถูกกับโรคทางใจของเรา เพราะฉะนั้นคนบางคนอาจจะเคยศึกษาธรรมะมาบ้าง และก็รู้สึกว่าไม่เห็นจะมีประโยชน์ต่อชีวิตจิตใจตรงไหนเลย นี่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ชอบธรรมะ แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้รับธรรมะที่ถูกกับใจของเขา และใจคนร้อยคนก็ร้อยใจ และในคน ๆ เดียวกันในร้อยวันอาจจะมีสภาพใจร้อยแบบ และธรรมะที่จะถูกฝาถูกตัวกับใจเขาในวันนั้นชั่วโมงนั้นจึงต้องเป็นธรรมะที่พอดิบพอดีกับใจของเขาในนาทีนั้นด้วย ถ้าเขาโชคดีได้พบธรรมะที่ “โดน” ใจในเวลาที่ใจเปิดรับธรรมะบทนั้น ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตบนเส้นทางแห่งธรรม อย่างนี้ถือว่าเขาทำบุญมาดีจึงพบธรรมะที่เป็นแสงสว่างนำทาง
ตั้งแต่วัยรุ่นมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ผมจะศึกษาธรรมะของหลายท่าน แต่ผมก็ชอบใจมาก ๆในธรรมะของ 2 ท่านเท่านั้น คือ ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุและหลวงพ่อชา และได้ข้อสรุปว่า ยาทางใจคือธรรมะของพระสุปฎิบัติทั้ง 2 รูปนี้รักษาโรคทางใจของผมได้ ผมได้แง่คิดมาตั้งแต่หนุ่มแล้วว่า คนเราควรจะแสวงหาธรรมะที่เหมาะสมกับชีวิตจิตใจของตัวเอง ถ้าไม่แสวงหาก็อาจจะไม่พบและพลาดจากธรรมะอันเป็นอัญมณีของชีวิตที่โลกนี้มีให้แก่ทุกคน แต่มันอาจจะเป็นโชคร้ายของสังคมนี้ก็ได้ที่เรามีธรรมะอยู่มากมาย แต่วัฒนธรรมที่กระตุ้นให้ผู้คนหาให้พบธรรมะที่ทั้ง “ถูกต้อง” และ “ถูกฝาถูกตัว” กับตัวเอง วัฒนธรรมเช่นนี้ยังไม่รุนแรงพอ คนในสังคมนี้จำนวนไม่น้อยจึงยังไม่ได้รับประโยชน์จากธรรมะเท่าที่ควร
ในประเทศอินเดียยุคสมัยที่พระพุทธเจ้ายังเดินเหินอยู่ที่นั่นเป็นยุคสมัยของการแสวงหา “โมกขธรรม” คือความหลุดพ้นทางจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้ามิใช่คน ๆ เดียวที่เป็น “ผู้แสวงหา” แต่มีคนร่วมสมัยอีกเยอะแยะที่เดินกระทบไหล่อยู่บนเส้นทางเดียวกัน หลายคนก็ “ค้นพบ” อะไรบางอย่างและเผยแพร่ “ข่าวประเสริฐ” ให้คนอื่นรู้ การสอนโดยครูและการเรียนโดยศิษย์ในเรื่องโมกขธรรม จึงเป็นวัฒนธรรมของสังคมอินเดียยุคนั้น ซึ่งผมเห็นว่าเป็นวัฒนธรรมที่ดีมาก ๆ เมื่อคนแปลกหน้ามาเจอกันและถามกันว่า “ท่านชอบใจธรรมะของใคร?” จึงเป็นเรื่องที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมแห่งการแสวงหาอย่างชัดเจน
และ ณ นาทีนี้ ที่ท่านผู้อ่านกำลังอ่านบรรทัดนี้ ถ้าผมถามท่านด้วยคำถามเดียวกันนี้ “ท่านชอบใจธรรมะของใคร?” ท่านจะตอบผมว่าอย่างไรครับ ถ้าท่านยังไม่มีคำตอบ หรือคำตอบยังไม่แน่ชัด วันนี้ผมได้รวบรวมธรรมะของสมณะผู้รู้ไว้มากมายพอสมควรที่ลิงค์ข้างล่างนี้
ผมขอตั้งจิตอธิษฐานว่า ด้วยใจที่เปิดรับ ท่านจะได้พบกับธรรมะของสมณะที่ท่านชอบใจ เป็นธรรมะที่ถูกต้องและถูกฝาถูกตัวกับท่าน
ขอให้ผมและท่านผู้อ่านทุกท่านได้เดินบนเส้นทางแห่งธรรม ที่มีพร้อมทั้งความดี ความงาม และความสุข ขอให้เราได้เดินไปด้วยกันนะครับ
ธรรมะภาษาไทย
อ่าน
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/monk-preach-index.htm
http://www.dhammajak.net/book/index.php
http://www.dhammajak.net/download/index.php (ดาวน์โหลด)
http://www.thawsischool.com/dhamma-ajarh.html
http://pirun.ku.ac.th/~fagisvtc/buddhism/nanasara/ajan/dharmatalk1.htm
http://www.dhammajak.net/directory/?c=8
http://www.luangphor.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=368371
ฟัง
http://www.fungdham.com/sound/sound.html
http://www.jozho.net/index.php?mo=3&art=200803
http://www.dhammajak.net/audio/dhamma/index.php
ธรรมะภาษาอังกฤษ
อ่าน
http://www.what-buddha-taught.net/index.htm
http://www.accesstoinsight.org/lib/thai/index.html (อาจารย์สายวัดป่่าของไทย)
http://www.accesstoinsight.org/index-author.html
ฟัง
http://www.kanlayanatam.com/vdo/Meditation1b.htm (video พระฝรั่งสอนทำสมาธิ)
http://www.accesstoinsight.org/outsources/audio.html
รวมเว็บธรรมะ
http://www.dhammajak.net/directory/index.php
พิพัฒน์
GemTripe@gmail.com
ถ้ามีใครพูดว่า “คนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยสนใจธรรมะกัน เอาแต่ทำมาหากิน และเที่ยวเล่นสนุกสนาน” ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับคำพูดนี้สักเท่าไรนัก ที่ไม่เห็นด้วยก็เพราะว่า คนเราไม่ว่าสมัยไหนต่างก็มีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมีความทุกข์ก็ต้องดิ้นรนหาทางดับทุกข์ไม่ว่าโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และความรู้และการปฏิบัติที่ทำให้ความทุกข์หมดไปนั้น ไม่ว่าภาษาสมัยใหม่จะเรียกมันว่า ความคิดเชิงบวก (positive thinking), จิตวิทยาในการใช้ชีวิต, หรืออะไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ถ้าคิดและทำอย่างถูกต้องแล้ว ก็ถือว่าเป็นธรรมะทั้งสิ้น
แต่ท่านสังเกตบ้างไหมครับว่า ทุกวันนี้เรามีแหล่งให้ศึกษาธรรมะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ เทป วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต และวัดหรือแหล่งปฏิบัติธรรมให้ผู้สนใจไปฝึกทำสมาธิวิปัสสนาก็มีไม่น้อย แต่ก็มีคนจำนวนมากไม่ได้รับประโยชน์จากแหล่งความรู้หรือแหล่งฝึกปฏิบัติธรรมเช่นนี้ เป็นเพราะอะไรครับ
คำตอบโดยประสบการณ์ส่วนตัวของผมก็คือ มันเหมือนกับคำพังเพยไทยที่ว่า “ลางเนื้อชอบลางยา” คือ เมื่อเราเป็นโรค ๆ หนึ่ง ยาขนานเดียวกันที่คนอื่นมากมายเขากินได้ผลแต่เรากินแล้วกลับไม่ได้ผล ในทำนองตรงกันข้าม ยาขนานที่เรากินได้ผลคนอื่นจำนวนมากอาจจะกินแล้วไม่ได้ผลเลย ข้อสรุปก็คือ โรคทางกายที่เราเป็นต้องรักษาด้วยยาที่ถูกกับโรคทางกายของเรา โรคทางใจคือความทุกข์ก็เช่นกัน ก็ต้องรักษาด้วยยาที่ถูกกับโรคทางใจของเรา เพราะฉะนั้นคนบางคนอาจจะเคยศึกษาธรรมะมาบ้าง และก็รู้สึกว่าไม่เห็นจะมีประโยชน์ต่อชีวิตจิตใจตรงไหนเลย นี่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ชอบธรรมะ แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้รับธรรมะที่ถูกกับใจของเขา และใจคนร้อยคนก็ร้อยใจ และในคน ๆ เดียวกันในร้อยวันอาจจะมีสภาพใจร้อยแบบ และธรรมะที่จะถูกฝาถูกตัวกับใจเขาในวันนั้นชั่วโมงนั้นจึงต้องเป็นธรรมะที่พอดิบพอดีกับใจของเขาในนาทีนั้นด้วย ถ้าเขาโชคดีได้พบธรรมะที่ “โดน” ใจในเวลาที่ใจเปิดรับธรรมะบทนั้น ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตบนเส้นทางแห่งธรรม อย่างนี้ถือว่าเขาทำบุญมาดีจึงพบธรรมะที่เป็นแสงสว่างนำทาง
ตั้งแต่วัยรุ่นมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ผมจะศึกษาธรรมะของหลายท่าน แต่ผมก็ชอบใจมาก ๆในธรรมะของ 2 ท่านเท่านั้น คือ ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุและหลวงพ่อชา และได้ข้อสรุปว่า ยาทางใจคือธรรมะของพระสุปฎิบัติทั้ง 2 รูปนี้รักษาโรคทางใจของผมได้ ผมได้แง่คิดมาตั้งแต่หนุ่มแล้วว่า คนเราควรจะแสวงหาธรรมะที่เหมาะสมกับชีวิตจิตใจของตัวเอง ถ้าไม่แสวงหาก็อาจจะไม่พบและพลาดจากธรรมะอันเป็นอัญมณีของชีวิตที่โลกนี้มีให้แก่ทุกคน แต่มันอาจจะเป็นโชคร้ายของสังคมนี้ก็ได้ที่เรามีธรรมะอยู่มากมาย แต่วัฒนธรรมที่กระตุ้นให้ผู้คนหาให้พบธรรมะที่ทั้ง “ถูกต้อง” และ “ถูกฝาถูกตัว” กับตัวเอง วัฒนธรรมเช่นนี้ยังไม่รุนแรงพอ คนในสังคมนี้จำนวนไม่น้อยจึงยังไม่ได้รับประโยชน์จากธรรมะเท่าที่ควร
ในประเทศอินเดียยุคสมัยที่พระพุทธเจ้ายังเดินเหินอยู่ที่นั่นเป็นยุคสมัยของการแสวงหา “โมกขธรรม” คือความหลุดพ้นทางจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้ามิใช่คน ๆ เดียวที่เป็น “ผู้แสวงหา” แต่มีคนร่วมสมัยอีกเยอะแยะที่เดินกระทบไหล่อยู่บนเส้นทางเดียวกัน หลายคนก็ “ค้นพบ” อะไรบางอย่างและเผยแพร่ “ข่าวประเสริฐ” ให้คนอื่นรู้ การสอนโดยครูและการเรียนโดยศิษย์ในเรื่องโมกขธรรม จึงเป็นวัฒนธรรมของสังคมอินเดียยุคนั้น ซึ่งผมเห็นว่าเป็นวัฒนธรรมที่ดีมาก ๆ เมื่อคนแปลกหน้ามาเจอกันและถามกันว่า “ท่านชอบใจธรรมะของใคร?” จึงเป็นเรื่องที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมแห่งการแสวงหาอย่างชัดเจน
และ ณ นาทีนี้ ที่ท่านผู้อ่านกำลังอ่านบรรทัดนี้ ถ้าผมถามท่านด้วยคำถามเดียวกันนี้ “ท่านชอบใจธรรมะของใคร?” ท่านจะตอบผมว่าอย่างไรครับ ถ้าท่านยังไม่มีคำตอบ หรือคำตอบยังไม่แน่ชัด วันนี้ผมได้รวบรวมธรรมะของสมณะผู้รู้ไว้มากมายพอสมควรที่ลิงค์ข้างล่างนี้
ผมขอตั้งจิตอธิษฐานว่า ด้วยใจที่เปิดรับ ท่านจะได้พบกับธรรมะของสมณะที่ท่านชอบใจ เป็นธรรมะที่ถูกต้องและถูกฝาถูกตัวกับท่าน
ขอให้ผมและท่านผู้อ่านทุกท่านได้เดินบนเส้นทางแห่งธรรม ที่มีพร้อมทั้งความดี ความงาม และความสุข ขอให้เราได้เดินไปด้วยกันนะครับ
ธรรมะภาษาไทย
อ่าน
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/monk-preach-index.htm
http://www.dhammajak.net/book/index.php
http://www.dhammajak.net/download/index.php (ดาวน์โหลด)
http://www.thawsischool.com/dhamma-ajarh.html
http://pirun.ku.ac.th/~fagisvtc/buddhism/nanasara/ajan/dharmatalk1.htm
http://www.dhammajak.net/directory/?c=8
http://www.luangphor.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=368371
ฟัง
http://www.fungdham.com/sound/sound.html
http://www.jozho.net/index.php?mo=3&art=200803
http://www.dhammajak.net/audio/dhamma/index.php
ธรรมะภาษาอังกฤษ
อ่าน
http://www.what-buddha-taught.net/index.htm
http://www.accesstoinsight.org/lib/thai/index.html (อาจารย์สายวัดป่่าของไทย)
http://www.accesstoinsight.org/index-author.html
ฟัง
http://www.kanlayanatam.com/vdo/Meditation1b.htm (video พระฝรั่งสอนทำสมาธิ)
http://www.accesstoinsight.org/outsources/audio.html
รวมเว็บธรรมะ
http://www.dhammajak.net/directory/index.php
พิพัฒน์
GemTripe@gmail.com
วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
[1061] อ่าน “สรุปข่าว” Bangkok Post และ The Nation
สวัสดีครับ
สำหรับท่านที่ไม่ค่อยมีเวลาอ่านข่าวโดยละเอียด, ต้องการอ่านเพียงสรุปข่าว สองลิงค์ข้างล่างนี้น่าจะเหมาะกับท่านนะครับ
[1] Bangkok Post
ย่อหน้าแรกของข่าวนั้น ภาษาหนังสือพิมพ์เรียกว่า lead ซึ่งจะสรุปเนื้อข่าวที่สำคัญไว้ สำหรับผู้อ่านที่ต้องการรู้เนื้อหาโดยสรุปก่อน หรือไม่มีเวลาอ่านข่าวโดยละเอียด
อ่านข่าวใต้หัวข้อ All Stories ไปตามลำดับ
First 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25
[2] The Nation
เป็น Breaking News สั้น ๆ
http://www.nationmultimedia.com/breakingnews/
http://www.ryt9.com/eng/
เทคนิค:
-การเปิดลิงค์ใน Window ใหม่: คลิกที่ลิงค์ข่าว พร้อมกับกด shift; หรือ คลิกขวาที่ลิงค์ และคลิกซ้ายที่ Open in New Window ( เมื่ออ่านจบแล้วก็ close ได้ทันทีเลย ไม่ต้องเสียเวลาคลิก Back เพื่อกลับมายังหน้าเดิม )
-การเปิดลิงค์ใน Tab ใหม่: คลิกที่ลิงค์ข่าว พร้อมกับกด Control; หรือ คลิกขวาที่ลิงค์ และคลิกซ้ายที่ Open in New Tab ( เมื่ออ่านจบแล้วและจะปิด ก็คลิกที่ X ที่ Tab ได้ทันทีเลย )
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
สำหรับท่านที่ไม่ค่อยมีเวลาอ่านข่าวโดยละเอียด, ต้องการอ่านเพียงสรุปข่าว สองลิงค์ข้างล่างนี้น่าจะเหมาะกับท่านนะครับ
[1] Bangkok Post
ย่อหน้าแรกของข่าวนั้น ภาษาหนังสือพิมพ์เรียกว่า lead ซึ่งจะสรุปเนื้อข่าวที่สำคัญไว้ สำหรับผู้อ่านที่ต้องการรู้เนื้อหาโดยสรุปก่อน หรือไม่มีเวลาอ่านข่าวโดยละเอียด
อ่านข่าวใต้หัวข้อ All Stories ไปตามลำดับ
First 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25
[2] The Nation
เป็น Breaking News สั้น ๆ
http://www.nationmultimedia.com/breakingnews/
http://www.ryt9.com/eng/
เทคนิค:
-การเปิดลิงค์ใน Window ใหม่: คลิกที่ลิงค์ข่าว พร้อมกับกด shift; หรือ คลิกขวาที่ลิงค์ และคลิกซ้ายที่ Open in New Window ( เมื่ออ่านจบแล้วก็ close ได้ทันทีเลย ไม่ต้องเสียเวลาคลิก Back เพื่อกลับมายังหน้าเดิม )
-การเปิดลิงค์ใน Tab ใหม่: คลิกที่ลิงค์ข่าว พร้อมกับกด Control; หรือ คลิกขวาที่ลิงค์ และคลิกซ้ายที่ Open in New Tab ( เมื่ออ่านจบแล้วและจะปิด ก็คลิกที่ X ที่ Tab ได้ทันทีเลย )
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
[1060] search engine ที่ใช้หาประโยคที่ต้องการฟัง
สวัสดีครับ
เมื่อเราเข้าเน็ตเราหาอะไรกันบ้าง ที่เราหาบ่อย ๆ ก็น่าจะเป็น หา text ที่ต้องการอ่าน, หาภาพที่ต้องการดู, หาวีดิโอและเสียงที่ต้องการฟัง โดยอาศัย search engine ซึ่งยี่ห้อที่ดังที่สุดก็คือ http://www.google.com/ และ web directory (ซึ่งยี่ห้อที่ดังที่สุดก็คือ http://www.yahoo.com/ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายยี่ห้อ คลิกดูได้ที่นี่ครับ
ในฐานนะคนที่ต้องการฝึกภาษาอังกฤษ เราต้องการฝึกทั้งอ่าน text, ทั้งฟัง audio, และทั้งชม video, สำหรับ text รู้สึกว่าจะเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายที่สุด เช่น เราต้องการ “อ่าน” ประโยค “คนที่รวยที่สุดในโลก” เราก็พิมพ์ใน Google "the richest man in the world" ก็จะพบว่ามีอยู่ประมาณ 277,000 หน้าเว็บที่มีประโยคนี้
คำถามของผมคือ ถ้าเราต้องการ “ฟัง” ประโยคเดียวกันนี้ด้วยหูของเราเอง เราจะหาได้อย่างไร และดูเหมือน Google หรือ Yahoo หรือยี่ห้ออื่น ๆ ก็หาให้เราไม่ได้ เพราะว่าแม้ search engine เหล่านี้จะมี video หรือ mp3ให้เราค้นหา แต่ “คำค้น” ที่เราพิมพ์ลงไปมันก็เพียงไปตรงกับชื่อเรื่องของไฟล์ หรือคลิป หรือ ย่อหน้าสรุปของไฟล์เท่านั้น search engine เหล่านี้ไม่สามารถตามเข้าไปดูว่าเสียงที่พูดใน audio หรือ video นั้นมีข้อความอย่างไรบ้าง และไฟล์ audio หรือ video เหล่านี้ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มี script ให้ search ค้นข้อความ
นี่หมายความว่าจะต้องมี search engine ชนิดพิเศษที่รวบรวมไฟล์ audio และ video ไว้ในฐานข้อมูลของเขา และมีโปรแกรมที่สามารถแปลงเสียงเป็น text, เมื่อเราพิมพ์คำค้นลงไป เมื่อไปตรงกับ text เหล่านี้ เขาก็จะดึงประโยคที่เราพิมพ์ค้นขึ้นมาให้เราฟัง เพราะอย่างที่บอกแล้ว ในกรณีนี้เราต้องการ “ฟัง”ประโยค, ไม่ใช่ต้องการ “อ่าน” ประโยค, เพราะถ้าต้องการอ่านประโยค เราให้ Google หาก็ได้
Search Engine ที่สามารถพิมพ์หาคำหรือประโยคที่เราต้องการฟังจากไฟล์ audio (mp3) หรือไฟล์ video ที่ผมหาพบและเห็นว่าคุณภาพดี คือ http://search.everyzing.com/ อีกเว็บหนึ่งคือ http://www.playaudiovideo.com/ ซึ่งหาสู้ search.everyzing.com ไม่ได้ แต่สะดวกที่จะ save ไฟล์ ทั้ง audio และ video
ผมเชื่อว่า search engine ในลักษณะนี้จะสนองความต้องการในการฝึกฟังภาษาของเราได้อย่างเจาะจงมากกว่าที่ search engine ทั่ว ๆ ไปจะบริการเราได้ ผมได้ทำคำชี้แจงวิธีการใช้งานไว้ที่ไฟล์ข้างล่างนี้ (ถ้าหน้าตาดูไม่ค่อยสวย และการอธิบายทำให้ท่านงุนงงไปบ้าง ต้องขอโทษด้วยครับ เพราะเพิ่งหัดทำฝีมือยังเตาะแตะมาก ) หวังว่าท่านผู้อ่านที่ต้องการพัฒนา listening skill คงจะพอใจไม่มากก็น้อย และหาพบสิ่งที่ต้องการฟังได้อย่างเจาะจงมากขึ้น
คำชี้แจงวิธีการใช้งาน search.everyzing.com คลิก
คำชี้แจงวิธีการใช้งาน playaudiovideo.com คลิก
แหล่งค้น: http://en.wikipedia.org/wiki/Audio_search_engine
แถม:
Search engine หาภาพ: http://www.picsearch.com/
Search Engine ที่แสดงภาพหน้าของเว็บด้วย: http://www.laplandtraveldirectory.com/
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
เมื่อเราเข้าเน็ตเราหาอะไรกันบ้าง ที่เราหาบ่อย ๆ ก็น่าจะเป็น หา text ที่ต้องการอ่าน, หาภาพที่ต้องการดู, หาวีดิโอและเสียงที่ต้องการฟัง โดยอาศัย search engine ซึ่งยี่ห้อที่ดังที่สุดก็คือ http://www.google.com/ และ web directory (ซึ่งยี่ห้อที่ดังที่สุดก็คือ http://www.yahoo.com/ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายยี่ห้อ คลิกดูได้ที่นี่ครับ
ในฐานนะคนที่ต้องการฝึกภาษาอังกฤษ เราต้องการฝึกทั้งอ่าน text, ทั้งฟัง audio, และทั้งชม video, สำหรับ text รู้สึกว่าจะเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายที่สุด เช่น เราต้องการ “อ่าน” ประโยค “คนที่รวยที่สุดในโลก” เราก็พิมพ์ใน Google "the richest man in the world" ก็จะพบว่ามีอยู่ประมาณ 277,000 หน้าเว็บที่มีประโยคนี้
คำถามของผมคือ ถ้าเราต้องการ “ฟัง” ประโยคเดียวกันนี้ด้วยหูของเราเอง เราจะหาได้อย่างไร และดูเหมือน Google หรือ Yahoo หรือยี่ห้ออื่น ๆ ก็หาให้เราไม่ได้ เพราะว่าแม้ search engine เหล่านี้จะมี video หรือ mp3ให้เราค้นหา แต่ “คำค้น” ที่เราพิมพ์ลงไปมันก็เพียงไปตรงกับชื่อเรื่องของไฟล์ หรือคลิป หรือ ย่อหน้าสรุปของไฟล์เท่านั้น search engine เหล่านี้ไม่สามารถตามเข้าไปดูว่าเสียงที่พูดใน audio หรือ video นั้นมีข้อความอย่างไรบ้าง และไฟล์ audio หรือ video เหล่านี้ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มี script ให้ search ค้นข้อความ
นี่หมายความว่าจะต้องมี search engine ชนิดพิเศษที่รวบรวมไฟล์ audio และ video ไว้ในฐานข้อมูลของเขา และมีโปรแกรมที่สามารถแปลงเสียงเป็น text, เมื่อเราพิมพ์คำค้นลงไป เมื่อไปตรงกับ text เหล่านี้ เขาก็จะดึงประโยคที่เราพิมพ์ค้นขึ้นมาให้เราฟัง เพราะอย่างที่บอกแล้ว ในกรณีนี้เราต้องการ “ฟัง”ประโยค, ไม่ใช่ต้องการ “อ่าน” ประโยค, เพราะถ้าต้องการอ่านประโยค เราให้ Google หาก็ได้
Search Engine ที่สามารถพิมพ์หาคำหรือประโยคที่เราต้องการฟังจากไฟล์ audio (mp3) หรือไฟล์ video ที่ผมหาพบและเห็นว่าคุณภาพดี คือ http://search.everyzing.com/ อีกเว็บหนึ่งคือ http://www.playaudiovideo.com/ ซึ่งหาสู้ search.everyzing.com ไม่ได้ แต่สะดวกที่จะ save ไฟล์ ทั้ง audio และ video
ผมเชื่อว่า search engine ในลักษณะนี้จะสนองความต้องการในการฝึกฟังภาษาของเราได้อย่างเจาะจงมากกว่าที่ search engine ทั่ว ๆ ไปจะบริการเราได้ ผมได้ทำคำชี้แจงวิธีการใช้งานไว้ที่ไฟล์ข้างล่างนี้ (ถ้าหน้าตาดูไม่ค่อยสวย และการอธิบายทำให้ท่านงุนงงไปบ้าง ต้องขอโทษด้วยครับ เพราะเพิ่งหัดทำฝีมือยังเตาะแตะมาก ) หวังว่าท่านผู้อ่านที่ต้องการพัฒนา listening skill คงจะพอใจไม่มากก็น้อย และหาพบสิ่งที่ต้องการฟังได้อย่างเจาะจงมากขึ้น
คำชี้แจงวิธีการใช้งาน search.everyzing.com คลิก
คำชี้แจงวิธีการใช้งาน playaudiovideo.com คลิก
แหล่งค้น: http://en.wikipedia.org/wiki/Audio_search_engine
แถม:
Search engine หาภาพ: http://www.picsearch.com/
Search Engine ที่แสดงภาพหน้าของเว็บด้วย: http://www.laplandtraveldirectory.com/
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
[1059 ] เว็บข้อสอบ Cloze Test สำหรับอาจารย์ครับ
สวัสดีครับ
เว็บข้อสอบ Cloze Test ข้างล่างนี้ อาจจะมีประโยชน์บ้างสำหรับท่านอาจารย์ที่ต้องออกข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษ
- หน้าภาษาไทย โดย Google Search
- หน้าภาษาอังกฤษ โดย Google Search
- จาก wikipedia.org - Cloze test
(ดูที่ใต้ External links)
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
เว็บข้อสอบ Cloze Test ข้างล่างนี้ อาจจะมีประโยชน์บ้างสำหรับท่านอาจารย์ที่ต้องออกข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษ
- หน้าภาษาไทย โดย Google Search
- หน้าภาษาอังกฤษ โดย Google Search
- จาก wikipedia.org - Cloze test
(ดูที่ใต้ External links)
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
[1058]อ่านเรื่องย่อ สารพัดหนังสือดังระดับโลกที่นี่ !
สวัสดีครับ
ผมเคยได้ยินคำพูดกึ่งสำนวนกำลังภายในว่า ‘อ่านหนังสือถึงหมื่นเล่มก็ไม่เท่าเดินทางเพียงพันลี้’ ดูเหมือนผู้พูดจะให้ความสำคัญแก่ประสบการณ์จริงของตัวเองมากกว่าประสบการณ์จริงที่อ่านเรื่องซึ่งคนอื่นเล่า เรื่องนี้ฟังเผิน ๆ ก็น่าจะเห็นด้วย แต่เมื่อคิดให้ลึกแล้วก็มีเรื่องที่ต้องพูดขยายความ ก็คือว่า ในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ถ้าเราจะมีชีวิตที่ดีเราต้องมีความรู้ที่ถูกต้องและเพียงพอ ความรู้เช่นนี้ได้มา 2 ทาง คือ จากประสบการณ์ตรงของตัวเอง และจากประสบการณ์อ้อมที่เป็นประสบการณ์ตรงของคนอื่น บางโอกาสความรู้ก็มาจากแหล่งแรก และบางโอกาสก็มาจากแหล่งหลัง แต่ไม่ว่าจะมาจากแหล่งไหนความรู้ก็มีประโยชน์ทั้งสิ้น ฉะนั้นเราจึงควรเปิดโอกาสให้ตัวเองได้รับความรู้จากทุกทางตามที่เหตุการณ์อำนวย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องพูดเสียใหม่ว่า ‘ได้อ่านหนังสือ 1 เล่ม, ได้เดินทาง 1 ลี้ ล้วนดีทั้งนั้น’
แต่ความจริงที่มองเห็นและเป็นอยู่ก็คือ คนไทยอ่านหนังสือน้อยเกินไป (ถ้าพูดว่าน้อยมากอาจจะฟังน่าเกลียด) ในหลายประเทศที่ผมเคยผ่านไป ที่เห็นง่าย ๆ ก็บนรถสาธารณะพบว่าจำนวนคนที่อ่านหนังสือแทนที่จะนั่งรถไปเฉย ๆ มีมากกว่าคนไทย และข่าวบ้านเราที่ได้ยินแต่ละครั้งก็เหมือน ๆ กันคือ
คนไทยอ่านหนังสือปีละประมาณ 10 บรรทัดเท่านั้นเอง
หลายปีที่แล้วสมัยที่ผมยังทำงานในหมู่บ้านต่างจังหวัดก็ได้เห็นว่า ข้าราชการหลายหน่วยงานที่ลงไปคลุกคลีกับประชาชนในพื้นที่เมื่อจะเผยแพร่ความรู้ที่เป็นประโยชน์ก็ต้องใช้วิธีพูดต่อหน้า หรือ face-to-face ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด การทำเอกสารแจกให้อ่านนั้นได้ผลน้อยเกินไป บางที่ชาวบ้านก็เอาเอกสารนั้นไปทำอย่างอื่น นี่ไม่ใช่เป็นความผิดของชาวบ้าน ก็เขาไม่ค่อยชอบอ่านนี่น่ะ และนิสัยไม่ค่อยชอบอ่านนี้ก็เป็นไปโดยทั่ว ผมรู้สึกเอาเองว่าแม้แต่นักศึกษามหาวิทยาลัยถ้าไม่ใช่หนังสือที่ต้องอ่านสอบก็อ่านน้อยเช่นกัน
พูดขี่ม้าเลียบค่ายมามากพอสมควรแล้ว ขอวกเข้าเรื่องที่เกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษในบล็อกนี้ล่ะครับ ผมกำลังจะบอกว่าคนไทยเราแม้ภาษาไทยเองยังอ่านน้อย และภาษาอังกฤษล่ะก็คงจะอ่านน้อยกว่าไปจนถึงน้อยที่สุด ถ้าเช่นนี้ก็คงจะพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้ยากเพราะเราไม่ชอบอ่าน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้ผมจะหาเรื่องมากมายมาบริการไว้ในบล็อกนี้ (รวมไว้ที่ลิงค์นี้ อ่าน ) ผมก็ไม่เคยรู้สึกตำหนิผู้ใดเลยที่ไม่อยากอ่านภาษาอังกฤษ ปัญหาเรื่องศัพท์และการตีความให้รู้เรื่องยังคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับหลายคน เป็นปัญหาใหญ่ที่ยากและทำให้คนระย่อท้อถอย เป็นเหมือนกันหมด ผมเองก็เป็น
หลายปีมาแล้วผมเคยได้ยินคนพูดว่า การอ่านนิยายภาษาอังกฤษช่วยพัฒนาทักษะได้ดีมาก ได้ทั้งศัพท์ สำนวน ในการบอกเล่าและสนทนา สามารถจดจำเอาไปดัดแปลงพูดและเขียนต่อได้ ผมได้ยินก็เห็นด้วยและคัดค้านในเวลาเดียวกัน เห็นด้วยก็เพราะมันจริง, คัดค้านก็เพราะมันทำไม่ได้จริง, มันยากเกินกว่าที่จะทำได้
แต่แล้วอุบัติเหตุก็เกิดขึ้น ผมบังเอิญได้ไปหยิบอ่านนิยายต้นฉบับภาษาอังกฤษของ Sidney Sheldon และก็ติดใจ หลังจากนั้นก็ตะลุยหาซื้อมาอ่านและอ่านจบทุกเล่ม ถามว่าอ่านรู้เรื่อง 100 % หรือเปล่า? ขอตอบว่าตอนแรกก็ไม่หรอกครับ แต่ผมก็ไม่รีบร้อนและไม่ใจร้อน พยายามอ่านไปด้วยใจรักและไม่บีบตัวเองให้อ่านรู้เรื่องรวดเดียวอย่างความเร็ว เมื่ออ่านจบเล่มแรกก็มีกำลังใจให้อ่านเล่มที่สอง
ผมมาถึงข้อสรุปว่า แต่ละท่านจะต้องลงทุนหาเรื่องที่รักจะอ่านให้พบซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นนิยาย อาจะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่รักจะอ่าน อ่านแล้วไม่รู้สึกต้องทนอ่าน ถ้าท่านถามว่าถ้าหาเรื่องเช่นนี้ไม่พบจะทำอย่างไร คำตอบก็คือ ขอให้ท่านย้อนกลับไปอ่านประโยคที่เป็นข้อสรุปของผมอีกครั้งหนึ่ง
และมาวันหนึ่งผมก็รู้จักอินเตอร์เน็ต มันทำให้ผมรู้สึกว่าบางครั้งผมถูกทับด้วยกองหนังสือ เรื่องนั้นก็น่าอ่าน เรื่องนี้ก็น่าอ่าน เรื่องโน้นก็น่าอ่าน ตายแล้วสิบชาติก็อ่านไม่หมด ทำให้รู้สึกต่อไปว่าคงไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกอย่างนี้ คนที่ชอบอ่านหนังสือก็คงรู้สึกคล้าย ๆ กัน แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ?
มีผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เป็นทั้งนักธุรกิจและนักวิชาการเล่าให้ฟังว่า ท่านกำหนดให้ตัวเองต้องอ่านหนังสือภาษาอังกฤษให้จบเดือนละอย่างน้อย 1 เล่ม และต้องทำให้ได้ วิธีการนี้น่าสนใจนะครับ เพราะถ้าหากไม่มีเป้าหมายที่ต้องบรรลุให้ถึง ความพยายามที่จะฟิตภาษาอังกฤษก็คงไปอย่างเฉื่อย ๆ และได้ผลช้า ที่ช้ามิใช่เพราะเครื่องจักรกำลังไม่ดี แต่เพราะเราใช้เครื่องจักรไม่เต็มกำลัง
ถ้าหากจะใช้วิธีนี้ก็ต้องดูว่า:
1. เราต้องหาให้พบเรื่องที่จะอ่าน พิจารณาและตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้วว่า เล่มนี้ – เรื่องนี้ – หรือลิงค์นี้แหละ ที่เราจะอ่านให้ตลอดรอดฝั่งภายในเดือนนี้
2. กำหนดปริมาณให้พอเหมาะว่า เมื่อคำนวณจากเวลาว่างที่เรามี, หรือเวลาว่างที่เราไม่มีแต่ทำให้มันมีขึ้นมาด้วยการไปลดกิจกรรมอย่างอื่นที่สำคัญน้อยกว่า, และก็คำนวณจากความขยันที่เรามี, หรือความขยันที่เราไม่ค่อยมีแต่ต้องทำให้มันมีขึ้นมาให้ได้ ดูให้ทั่วเช่นนี้และมองข้ามไปจนถึงสิ้นเดือน และตั้งเป้าไว้เลยว่าจะอ่านให้จบทั้งเล่มหรือต้องจบกี่หน้า เป็นเป้าที่ไม่มากและไม่น้อยเกินไป
3. ข้อสุดท้ายนี้สำคัญที่สุด คือไปให้ถึงเป้าที่ตั้งไว้ ถ้ารู้ว่าวันไหนจะไม่มีเวลาว่างอ่าน จะต้องอ่านกักตุนไว้ล่วงหน้าหรืออ่านชดเชยใช้หนี้ตามหลัง ทำยังไงก็ได้ที่ทำให้เมื่อถึงวันสิ้นเดือนเราอ่านได้ถึงหน้าที่เรา mark ไว้, ทำให้ bookmark มีความหมายจริง ๆ
ด้วยวิธีนี้ผมเชื่อว่า ทักษะภาษาอังกฤษของเราจะสูงขึ้น ผมว่ามันไม่ต่างจากการเดินขึ้นบันไดเพื่อขึ้นสู่ชั้นที่สูงขึ้น การเดินต้านแรงดึงดูดของโลกก็ต้องเหนื่อยหน่อยเป็นธรรมดา แต่เราก็จะสูงขึ้นแน่ ๆ
วิธีที่เล่ามานี้คือวิธีที่ผมใช้กับตัวเองมาเนิ่นนานจนถึงทุกวันนี้ ผมเชื่อว่าสำหรับทุกท่านที่ต้องการฝึกภาษาอังกฤษ ก็น่าจะใช้ได้ผลเช่นกัน
ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ผมเห็นว่าทันใจดีมากสำหรับท่านที่ต้องการรู้เนื้อเรื่องเร็ว ๆ แต่เรื่องที่ต้องอ่านมันมีมากเหลือเกิน คือมีหลายเว็บที่เขาจัดให้มีการสรุปหรือวิจารณ์เนื้อเรื่องหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือดัง ๆ ระดับโลก เมื่อเข้าไปในเว็บเหล่านี้แล้ว ท่านมีวิธี search อย่างน้อย 2 วิธี คือ
1. พิมพ์ชื่อหนังสือ (หรือชื่อผู้แต่ง) ลงในช่อง Search
2. ไล่ดูชื่อหนังสือที่เขาแสดงไว้ใน menu หรือหมวดหมู่ต่าง ๆ ของเว็บนั้น
Summary ดังกล่าวนี้ แต่ละเว็บมียาว-สั้น ละเอียดมาก-น้อยไม่เท่ากัน บางเว็บมีนักวิชาการประจำเป็นผู้สรุป บางเว็บก็เปิดโอกาให้ผู้อ่าน post ข้อสรุปหรือความคิดเห็นลงไปได้ การอ่าน summary แม้จะสูญเสียรายละเอียด เนื้อเรื่อง และรสชาติไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้เรารู้เนื้อหาของหลายเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ถ้าอ่านจบแล้วอยากจะรู้รายละเอียดและรับรสของต้นฉบับก็สามารถไปซื้อหาอ่านได้ และจะอ่านได้รู้เรื่องง่ายขึ้นเพราะรู้โครงเรื่องมาก่อนแล้ว
-http://www.wikisummaries.org/Main_Page (เว็บนี้น่าจะดีที่สุดครับ)
(อ่านเรื่องที่ย่อแล้ว คลิก)
-http://en.wikipedia.org/wiki/Main_Page
-http://www3.interscience.wiley.com/cgi-bin/home
-http://www.writinghelp-central.com/book-summary.html (สำหรับนักธุรกิจ, นักศึกษา, อื่นๆ)
-http://www.freebooknotes.com/
-http://www.shvoong.com/
-http://thebestnotes.com/
-http://www.books-summary.com/books-reviews/
-http://www.bookrags.com/
-http://www.pinkmonkey.com/index2.asp
ข้างล่างนี้ผมได้หา list หนังสือประเภทที่โฆษณาว่าเป็น best-seller หรือ must read และแม้ว่าเราก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อว่าเป็นหนังสือที่ดีอย่างที่เขาโฆษณา เพราะผู้รวบรวมอาจจะมีอคติอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่เป็นไรครับ ดูไปคร่าว ๆ ก็ได้
-List_of_best-selling_books
-wiki/1001_Books_You_Must_Read_Before_You_Die
-list/1001-books-you-must-read-you-die
-list/1001-books-you-must-read-you-die-6
-books/bestseller/
-1001 books you must read before you die
ระหว่างที่อยู่หน้าอินเตอร์เน็ตเพื่อเขียนเรื่องวันนี้ เจอเรื่องย่อของหนังสือ 3 เรื่องนี้ จะทิ้งก็เสียดายจึงขอนำมาฝากครับ
Harry Potter
Rashomon
World Is Flat
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านภาษาอังกฤษครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
ผมเคยได้ยินคำพูดกึ่งสำนวนกำลังภายในว่า ‘อ่านหนังสือถึงหมื่นเล่มก็ไม่เท่าเดินทางเพียงพันลี้’ ดูเหมือนผู้พูดจะให้ความสำคัญแก่ประสบการณ์จริงของตัวเองมากกว่าประสบการณ์จริงที่อ่านเรื่องซึ่งคนอื่นเล่า เรื่องนี้ฟังเผิน ๆ ก็น่าจะเห็นด้วย แต่เมื่อคิดให้ลึกแล้วก็มีเรื่องที่ต้องพูดขยายความ ก็คือว่า ในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ถ้าเราจะมีชีวิตที่ดีเราต้องมีความรู้ที่ถูกต้องและเพียงพอ ความรู้เช่นนี้ได้มา 2 ทาง คือ จากประสบการณ์ตรงของตัวเอง และจากประสบการณ์อ้อมที่เป็นประสบการณ์ตรงของคนอื่น บางโอกาสความรู้ก็มาจากแหล่งแรก และบางโอกาสก็มาจากแหล่งหลัง แต่ไม่ว่าจะมาจากแหล่งไหนความรู้ก็มีประโยชน์ทั้งสิ้น ฉะนั้นเราจึงควรเปิดโอกาสให้ตัวเองได้รับความรู้จากทุกทางตามที่เหตุการณ์อำนวย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องพูดเสียใหม่ว่า ‘ได้อ่านหนังสือ 1 เล่ม, ได้เดินทาง 1 ลี้ ล้วนดีทั้งนั้น’
แต่ความจริงที่มองเห็นและเป็นอยู่ก็คือ คนไทยอ่านหนังสือน้อยเกินไป (ถ้าพูดว่าน้อยมากอาจจะฟังน่าเกลียด) ในหลายประเทศที่ผมเคยผ่านไป ที่เห็นง่าย ๆ ก็บนรถสาธารณะพบว่าจำนวนคนที่อ่านหนังสือแทนที่จะนั่งรถไปเฉย ๆ มีมากกว่าคนไทย และข่าวบ้านเราที่ได้ยินแต่ละครั้งก็เหมือน ๆ กันคือ
คนไทยอ่านหนังสือปีละประมาณ 10 บรรทัดเท่านั้นเอง
หลายปีที่แล้วสมัยที่ผมยังทำงานในหมู่บ้านต่างจังหวัดก็ได้เห็นว่า ข้าราชการหลายหน่วยงานที่ลงไปคลุกคลีกับประชาชนในพื้นที่เมื่อจะเผยแพร่ความรู้ที่เป็นประโยชน์ก็ต้องใช้วิธีพูดต่อหน้า หรือ face-to-face ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด การทำเอกสารแจกให้อ่านนั้นได้ผลน้อยเกินไป บางที่ชาวบ้านก็เอาเอกสารนั้นไปทำอย่างอื่น นี่ไม่ใช่เป็นความผิดของชาวบ้าน ก็เขาไม่ค่อยชอบอ่านนี่น่ะ และนิสัยไม่ค่อยชอบอ่านนี้ก็เป็นไปโดยทั่ว ผมรู้สึกเอาเองว่าแม้แต่นักศึกษามหาวิทยาลัยถ้าไม่ใช่หนังสือที่ต้องอ่านสอบก็อ่านน้อยเช่นกัน
พูดขี่ม้าเลียบค่ายมามากพอสมควรแล้ว ขอวกเข้าเรื่องที่เกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษในบล็อกนี้ล่ะครับ ผมกำลังจะบอกว่าคนไทยเราแม้ภาษาไทยเองยังอ่านน้อย และภาษาอังกฤษล่ะก็คงจะอ่านน้อยกว่าไปจนถึงน้อยที่สุด ถ้าเช่นนี้ก็คงจะพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้ยากเพราะเราไม่ชอบอ่าน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้ผมจะหาเรื่องมากมายมาบริการไว้ในบล็อกนี้ (รวมไว้ที่ลิงค์นี้ อ่าน ) ผมก็ไม่เคยรู้สึกตำหนิผู้ใดเลยที่ไม่อยากอ่านภาษาอังกฤษ ปัญหาเรื่องศัพท์และการตีความให้รู้เรื่องยังคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับหลายคน เป็นปัญหาใหญ่ที่ยากและทำให้คนระย่อท้อถอย เป็นเหมือนกันหมด ผมเองก็เป็น
หลายปีมาแล้วผมเคยได้ยินคนพูดว่า การอ่านนิยายภาษาอังกฤษช่วยพัฒนาทักษะได้ดีมาก ได้ทั้งศัพท์ สำนวน ในการบอกเล่าและสนทนา สามารถจดจำเอาไปดัดแปลงพูดและเขียนต่อได้ ผมได้ยินก็เห็นด้วยและคัดค้านในเวลาเดียวกัน เห็นด้วยก็เพราะมันจริง, คัดค้านก็เพราะมันทำไม่ได้จริง, มันยากเกินกว่าที่จะทำได้
แต่แล้วอุบัติเหตุก็เกิดขึ้น ผมบังเอิญได้ไปหยิบอ่านนิยายต้นฉบับภาษาอังกฤษของ Sidney Sheldon และก็ติดใจ หลังจากนั้นก็ตะลุยหาซื้อมาอ่านและอ่านจบทุกเล่ม ถามว่าอ่านรู้เรื่อง 100 % หรือเปล่า? ขอตอบว่าตอนแรกก็ไม่หรอกครับ แต่ผมก็ไม่รีบร้อนและไม่ใจร้อน พยายามอ่านไปด้วยใจรักและไม่บีบตัวเองให้อ่านรู้เรื่องรวดเดียวอย่างความเร็ว เมื่ออ่านจบเล่มแรกก็มีกำลังใจให้อ่านเล่มที่สอง
ผมมาถึงข้อสรุปว่า แต่ละท่านจะต้องลงทุนหาเรื่องที่รักจะอ่านให้พบซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นนิยาย อาจะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่รักจะอ่าน อ่านแล้วไม่รู้สึกต้องทนอ่าน ถ้าท่านถามว่าถ้าหาเรื่องเช่นนี้ไม่พบจะทำอย่างไร คำตอบก็คือ ขอให้ท่านย้อนกลับไปอ่านประโยคที่เป็นข้อสรุปของผมอีกครั้งหนึ่ง
และมาวันหนึ่งผมก็รู้จักอินเตอร์เน็ต มันทำให้ผมรู้สึกว่าบางครั้งผมถูกทับด้วยกองหนังสือ เรื่องนั้นก็น่าอ่าน เรื่องนี้ก็น่าอ่าน เรื่องโน้นก็น่าอ่าน ตายแล้วสิบชาติก็อ่านไม่หมด ทำให้รู้สึกต่อไปว่าคงไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกอย่างนี้ คนที่ชอบอ่านหนังสือก็คงรู้สึกคล้าย ๆ กัน แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ?
มีผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เป็นทั้งนักธุรกิจและนักวิชาการเล่าให้ฟังว่า ท่านกำหนดให้ตัวเองต้องอ่านหนังสือภาษาอังกฤษให้จบเดือนละอย่างน้อย 1 เล่ม และต้องทำให้ได้ วิธีการนี้น่าสนใจนะครับ เพราะถ้าหากไม่มีเป้าหมายที่ต้องบรรลุให้ถึง ความพยายามที่จะฟิตภาษาอังกฤษก็คงไปอย่างเฉื่อย ๆ และได้ผลช้า ที่ช้ามิใช่เพราะเครื่องจักรกำลังไม่ดี แต่เพราะเราใช้เครื่องจักรไม่เต็มกำลัง
ถ้าหากจะใช้วิธีนี้ก็ต้องดูว่า:
1. เราต้องหาให้พบเรื่องที่จะอ่าน พิจารณาและตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้วว่า เล่มนี้ – เรื่องนี้ – หรือลิงค์นี้แหละ ที่เราจะอ่านให้ตลอดรอดฝั่งภายในเดือนนี้
2. กำหนดปริมาณให้พอเหมาะว่า เมื่อคำนวณจากเวลาว่างที่เรามี, หรือเวลาว่างที่เราไม่มีแต่ทำให้มันมีขึ้นมาด้วยการไปลดกิจกรรมอย่างอื่นที่สำคัญน้อยกว่า, และก็คำนวณจากความขยันที่เรามี, หรือความขยันที่เราไม่ค่อยมีแต่ต้องทำให้มันมีขึ้นมาให้ได้ ดูให้ทั่วเช่นนี้และมองข้ามไปจนถึงสิ้นเดือน และตั้งเป้าไว้เลยว่าจะอ่านให้จบทั้งเล่มหรือต้องจบกี่หน้า เป็นเป้าที่ไม่มากและไม่น้อยเกินไป
3. ข้อสุดท้ายนี้สำคัญที่สุด คือไปให้ถึงเป้าที่ตั้งไว้ ถ้ารู้ว่าวันไหนจะไม่มีเวลาว่างอ่าน จะต้องอ่านกักตุนไว้ล่วงหน้าหรืออ่านชดเชยใช้หนี้ตามหลัง ทำยังไงก็ได้ที่ทำให้เมื่อถึงวันสิ้นเดือนเราอ่านได้ถึงหน้าที่เรา mark ไว้, ทำให้ bookmark มีความหมายจริง ๆ
ด้วยวิธีนี้ผมเชื่อว่า ทักษะภาษาอังกฤษของเราจะสูงขึ้น ผมว่ามันไม่ต่างจากการเดินขึ้นบันไดเพื่อขึ้นสู่ชั้นที่สูงขึ้น การเดินต้านแรงดึงดูดของโลกก็ต้องเหนื่อยหน่อยเป็นธรรมดา แต่เราก็จะสูงขึ้นแน่ ๆ
วิธีที่เล่ามานี้คือวิธีที่ผมใช้กับตัวเองมาเนิ่นนานจนถึงทุกวันนี้ ผมเชื่อว่าสำหรับทุกท่านที่ต้องการฝึกภาษาอังกฤษ ก็น่าจะใช้ได้ผลเช่นกัน
ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ผมเห็นว่าทันใจดีมากสำหรับท่านที่ต้องการรู้เนื้อเรื่องเร็ว ๆ แต่เรื่องที่ต้องอ่านมันมีมากเหลือเกิน คือมีหลายเว็บที่เขาจัดให้มีการสรุปหรือวิจารณ์เนื้อเรื่องหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือดัง ๆ ระดับโลก เมื่อเข้าไปในเว็บเหล่านี้แล้ว ท่านมีวิธี search อย่างน้อย 2 วิธี คือ
1. พิมพ์ชื่อหนังสือ (หรือชื่อผู้แต่ง) ลงในช่อง Search
2. ไล่ดูชื่อหนังสือที่เขาแสดงไว้ใน menu หรือหมวดหมู่ต่าง ๆ ของเว็บนั้น
Summary ดังกล่าวนี้ แต่ละเว็บมียาว-สั้น ละเอียดมาก-น้อยไม่เท่ากัน บางเว็บมีนักวิชาการประจำเป็นผู้สรุป บางเว็บก็เปิดโอกาให้ผู้อ่าน post ข้อสรุปหรือความคิดเห็นลงไปได้ การอ่าน summary แม้จะสูญเสียรายละเอียด เนื้อเรื่อง และรสชาติไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้เรารู้เนื้อหาของหลายเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ถ้าอ่านจบแล้วอยากจะรู้รายละเอียดและรับรสของต้นฉบับก็สามารถไปซื้อหาอ่านได้ และจะอ่านได้รู้เรื่องง่ายขึ้นเพราะรู้โครงเรื่องมาก่อนแล้ว
-http://www.wikisummaries.org/Main_Page (เว็บนี้น่าจะดีที่สุดครับ)
(อ่านเรื่องที่ย่อแล้ว คลิก)
-http://en.wikipedia.org/wiki/Main_Page
-http://www3.interscience.wiley.com/cgi-bin/home
-http://www.writinghelp-central.com/book-summary.html (สำหรับนักธุรกิจ, นักศึกษา, อื่นๆ)
-http://www.freebooknotes.com/
-http://www.shvoong.com/
-http://thebestnotes.com/
-http://www.books-summary.com/books-reviews/
-http://www.bookrags.com/
-http://www.pinkmonkey.com/index2.asp
ข้างล่างนี้ผมได้หา list หนังสือประเภทที่โฆษณาว่าเป็น best-seller หรือ must read และแม้ว่าเราก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อว่าเป็นหนังสือที่ดีอย่างที่เขาโฆษณา เพราะผู้รวบรวมอาจจะมีอคติอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่เป็นไรครับ ดูไปคร่าว ๆ ก็ได้
-List_of_best-selling_books
-wiki/1001_Books_You_Must_Read_Before_You_Die
-list/1001-books-you-must-read-you-die
-list/1001-books-you-must-read-you-die-6
-books/bestseller/
-1001 books you must read before you die
ระหว่างที่อยู่หน้าอินเตอร์เน็ตเพื่อเขียนเรื่องวันนี้ เจอเรื่องย่อของหนังสือ 3 เรื่องนี้ จะทิ้งก็เสียดายจึงขอนำมาฝากครับ
Harry Potter
Rashomon
World Is Flat
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านภาษาอังกฤษครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)