วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

[2394] บทสนทนาของสามมหาเทพเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ




วันนี้องค์พระพิฆเนศซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งปัญญาท่านรู้สึกหงุดหงิด   เพราะท่านได้ยินนักศึกษาที่นำดอกไม้มาบูชาท่านเอาแต่บนบานขอให้สอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษ ท่านสงสัยว่าทำไมภาษาอังกฤษมันยากนักขนาดไหนเชียว พวกเอ็งถึงสอบกันไม่ค่อยผ่าน หรือผ่านก็ได้เกรดแย่  คิดดังนั้นแล้ว ท่านก็เหาะจากย่านที่ท่านอยู่คือท่าช้างไปหาพระพรหมที่สี่แยกราชประสงค์ เมื่อเจอหน้ากันก็บ่นเชิงต่อว่าพระพรหมว่า ตอนที่สร้างคนไทยทำไมไม่ใส่เซลล์ที่ใช้ศึกษาภาษาอังกฤษลงไปในสมองเยอะ ๆ หน่อย คนไทยจะได้ไม่แย่ด้านภาษาอังกฤษจนท่านต้องทนฟังเสียงบ่นอยู่ทุกวัน



พระพรหมถูกต่อว่าเช่นนี้ก็ตอบว่า เซลล์เรื่องภาษาท่านก็ใส่ไปให้มากอยู่นะ  แต่ขืนอธิบายมากก็จะหาว่าแก้ตัว เลยปรึกษาพระพิฆเนศว่า ไหน ๆ ทั้งสองเทพก็เดินทางจากอินเดียมาอยู่ที่ประเทศสยามจนถึงประเทศไทยนี่ก็หลายปีแล้ว จะทำยังไงดีที่พอจะช่วยเด็กไทยวัยเยาว์และคนไทยวัยสูงได้บ้าง  ทั้งสองเทพจึงปรึกษากันอยู่พักใหญ่ก็ได้ข้อสรุปว่า จะหาตัวช่วยให้คนที่ต้องการเก่งภาษาอังกฤษ  แต่ต้องเป็นการช่วยเหลืออย่างมีเงื่อนไข ขืนให้ฟรี ๆ จะผิดมติสวรรค์



โครงการช่วยประชาของสองเทพนี้มีใจความที่สำคัญ คือ ใครที่ต้องการเข้าร่วมโครงการนี้ ท่านมีของให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ คือ
Option ที่ 1.ทักษะภาษาอังกฤษ – คนที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับ 2 ทักษะในทันที คือ
หนึ่ง - ทักษะในการอ่านภาษาอังกฤษ จะสามารถอ่าน Bangkok Post ได้รู้เรื่องพอ  ๆ กับอ่าน นสพ.ไทยรัฐ
สอง – ทักษะในการฟังภาษาอังกฤษ จะสามารถฟังข่าว CNN ได้รู้เรื่องพอ  ๆ กับดูละครหลังข่าวภาคค่ำ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่รวมทักษะในการพูด (speaking skill) และเขียน (writing skill) ที่ต้องไปฝึกเพิ่มเติมเอาเองจาก reading skill และ listening skill ที่ได้รับแจกจากโครงการนี้ ถ้าขี้เกียจไม่ยอมไปฝึกเพิ่ม ก้อนทักษะอ่านและฟังที่ได้รับไปนี้จะค่อย ๆ ระเหยไปทีละน้อย และหมดไปในที่สุด
นี่คือ option แรกของโครงการช่วยประชาโดยมหาเทพทั้งสองนี้

Option ที่ 2. เงินสดจำนวน 300,000 บาท ใครเลือก option นี้ก็เข้าคิวมาเซ็นชื่อรับเงินไปได้เลย แต่มีเงื่อนไขว่า ถ้าเลือก option นี้ ทักษะภาษาอังกฤษที่มีอยู่เท่าใดในขณะนี้ ก็จะมีเท่านั้นไปทั้งชีวิต ไม่สามารถเขยิบให้สูงขึ้นได้แม้แต่มิลเดียว ส่วนเงิน 300,000 บาทนี้ จะเอาไปซื้อ smartphone, ipad, iphone หรืออะไรก็ตามใจเถอะ หรือจะเอาไปลงทุนทำอะไรตามใจท่านเช่นกัน  แต่ขอให้สำนึกไว้ว่า ในอนาคตไม่ว่าจะเรียนต่อ ไปเที่ยว ทำงาน หาความรู้ คบหาผู้คน ฯลฯ โดยมีการใช้ภาษาอังกฤษเข้ามากี่ยวข้อง ก็ให้ใช้เท่าที่ตัวเองมีอยู่แค่นี้แหละ เพราะความเก่งภาษาอังกฤษจะแกร็นอยู่แค่นี้ไม่โตขึ้นอีกแล้ว

ทั้งสองเทพเห็นดีเห็นงามชื่นชมโสมนัสกับโครงการมหาเทพอุปถัมภ์ที่ช่วยกันคิดขึ้น  และกะว่าพรุ่งนี้จะไปตั้งโต๊ะอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากกระทรวงศึกษาธิการแถวถนนราชดำเนิน

ขณะที่เทพพระพิฆเนศกำลังจะลาเทพพระพรหมกลับบ้าน เสียงมือถือก็ดังขึ้น พอรับสายจึงรู้ว่าที่โทรมาเป็นเพื่อนเทพชื่อพระวิษณุ  ท่านโทรมาอวดว่าเมื่อคืนนี้สามารถประดิษฐ์โทรศัพท์มือถือส่งกลิ่นได้สำเร็จ จะเป็นกลิ่นอาหาร กลิ่นดอกไม้ กลิ่นตัว กลิ่นเหงื่อไคล ฯลฯ ส่งได้ทั้งนั้น  ทั้งสองเทพพิฆเนศและพระพรหมต่างก็ชื่นชมอนุโมทนากับเทพวิษณุในความสามารถ go galaxy ของท่าน  แล้วก็โอดครวญให้ฟังว่า อยากจะทำโครงการมหาเทพอุปถัมภ์ช่วยคนไทย แต่ก็มีเงื่อนไขเพื่อไม่ให้ฝืนมติสวรรค์ จึงกังวลว่า ไม่ว่าคนจะเลือก option 1 หรือ option 2 ถ้าเกิดตอนหลังไม่ชอบใจขึ้นมาเทพก็จะถูกด่า  ปวงประชาจะหาว่าเทพรังแกเขียนโครงการหมกเม็ด

เทพวิษณุได้ฟังแล้วก็หัวเราะลั่น  พูดออกมาดัง ๆ ราวกับขบขัน 2 เทพนี่ว่าโบราณเต็มประดา เพราะไอ้ skill ทั้ง 4 ที่กังวลกันนักหนานี้ เป็นเรื่องกล้วย ๆ สำหรับ God of ไอที – go galaxy อย่างท่าน  แล้วก็อธิบายว่า อีกไม่กี่วัน ท่านจะออก gadget of English language ที่ช่วยให้คนที่สุด ๆ 4 อย่างเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ คือ เบื่อสุด ๆ, ขี้เกียจสุด ๆ, เรียนอย่างฟุ้งซ่านสุด ๆ, และไม่สนใจสุด ๆ, ได้มีทักษะภาษาอังกฤษอย่างรวดเร็วที่สุด โดยไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่ขยับนิ้วก้อย  แล้วท่านก็บรรยายสเป๊กส์ gadget ที่ท่านเพิ่งประดิษฐ์ขึ้น ดังนี้
Gadget ตัวที่ 1 ช่วยในการฟัง – มีรูปร่างคล้าย ๆ headphone แต่ทำเล็ก ๆ น่ารักมาก พอครอบไว้ที่หู ใครจะพูดภาษาอังกฤษมาด้วยสำเนียงไหนมันจะช่วยแปลเป็นภาษาไทยฟังได้รู้เรื่องหมด
Gadget ตัวที่ 2 ช่วยในการพูด – รูปร่างคล้าย ๆ small talk มีปุ่มให้ปรับหลาย channel ถ้าปรับเป็นช่อง English ก็จะมี channel ย่อยให้เลือกว่า จะเอา accent อะไร เช่น American English, British English, Indian English, Thai English และอีกหลาย accent ให้เลือก วิธีใช้ก็ง่ายมาก เพียงพูดเป็นภาษาไทยออกมา gadget ตัวนี้จะดูดเสียงภาษาไทยเข้าไปหมด และเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษให้พูดออกมาใน accent ที่เลือก channel ไว้
Gadget ตัวที่ 3 ช่วยในการอ่าน เป็นแผ่นบางเฉียบขนาด pocket book แทบไม่มีน้ำหนักเลย พอนำไปทาบที่ภาษาอังกฤษมันก็จะแปลเป็นภาษาไทยที่อ่านได้รู้เรื่องสุด ๆ ถ้าภาษาอังกฤษเป็น poetry มันก็แปลเป็นโคลงกลอนให้ด้วย เยี่ยมมาก ๆ
Gadget ตัวที่ 4 ตัวสุดท้ายช่วยในการเขียน เทพวิษณุคุยอย่างเสียงดังว่า คุณภาพการแปลดีกว่า Google Translate มากมายนัก เพราะได้สตีฟ จอบส์ ซึ่งตอนนี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นเทพบนสวรรค์ให้เกียรติเป็นที่ปรึกษา จึงประดิษฐ์ gadget ตัวนี้ออกมาได้ก่อนตัวอื่นด้วยซ้ำ

ทั้งเทพพิฆเนศและเทพพระพรหมฟังอย่างตะลึง ปากอ้า ตาค้าง และถามออกไปว่า แล้วไอ้ gadget พวกนี้จะไปหาซื้อได้ที่ไหนล่ะ?

เสียดายครับ ผมตื่นซะก่อน เลยไม่ทันได้ฟัง เก็บคำตอบมาให้ท่านผู้อ่านไม่ได้

พิพัฒน์

6 ความคิดเห็น:

James B กล่าวว่า...

Gadget 1 ผมจะเอาไว้ที่หูซ้าย
Gadget 2 เอาไว้หูขวา

ถ้าทำเป็นแว่นตาได้คงจะดีมากๆ
Gadget 1,2 เป็นขาแว่นซ้ายขวา
Gadget 3 ทำเป็นเลนส์

pipat - blogger กล่าวว่า...

ได้ครับ เดี๋ยวผมจะโทรบอกเทพวิษณุให้วาคุณ James B แนะนำอย่างนี้ - พิพัฒน์

วัชรเมธน์ ชิษณุคุปต์ ศรีเนธิโรทัย กล่าวว่า...

นี่ฝันจริงหรือฝันเล่น ครับ

ผมถามตัวเองเกี่ยวกับสองอัปชั่นของโครงการ ไม่น่าเชื่อว่าผมไม่เลือกเอาเงิน

แสดงว่าในความรู้สึกลึกๆของผม ภาษาอังกฤษมีค่ามากว่าเงินแสน

pipat - blogger กล่าวว่า...

คุณวัชรเมธน์ครับ
เรื่องนี้เป็นความคิดที่ผ่านเข้ามาในสมองอย่างรวดเร็วเย็นวานนี้ หลังจากที่ผมคุยกับคุณตอนกลางวัน ผมรีบขึ้นมานั่งที่หน้าคอมฯเพื่อพิมพ์เพราะกลัวลืม และก็จบเรื่องเล่าในเวลาอันรวดเร็ว

ผมอยากให้คนไทยเลือก option 1 มากกว่า option 2 เพราะประโยชน์มันมากมายกว่ากันมหาศาล รวมทั้งประโยชน์ด้านการเงินด้วยแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้ดิดถึงเรื่องเงินก็ตาม

เรื่องนี้ผมเขียนเล่น ๆ แต่ผมหมายใจจะสื่อความอะไรบางอย่างจริง ๆ

พิพัฒน์

noon กล่าวว่า...

อ่านจบแล้วอดยิ้มไม่ได้เลยค่ะ ขอเลือก option1 ด้วยค่ะ แค่ได้ reading และ listening skill ก็วิเศษสุดๆ แล้ว แต่ Gadget นี่น่าสนใจไม่น้อยเลย เคยคิดเหมือนกันว่าในอนาคตอยากให้มีการผลิตเครื่องอย่างนี้ได้จริงๆ (ตอนท้อๆ กับภาษาอังกฤษน่ะค่ะ)

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณอาจารย์ที่เล่านิทานให้ฟัง ทำให้ได้คิดค่ะ ในใจคือเลือก option 1 ค่ะ
อ่านแล้วเพลินดีค่ะ ได้ข้อคิดด้วย :D
อาจารย์พิพัฒน์อย่าืลืมมาเล่าให้ฟังต่อนะคะ^^