สวัสดีครับ
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรัก
ถ้าจำไม่ผิด ผมรู้จักคำว่า ‘วาเลนไทน์’ ตอนอยู่ชั้น ม.ศ.3 จำได้ว่าวันนั้นครูประจำชั้นผู้ชายซึ่งสอนวิชาคณิตศาสตร์ด้วย ถามนักเรียนในห้องว่า “ใครรู้ไหมว่าวันวาเลนไทน์คือวันอะไร?” หลายคนตอบอย่างฉะฉานและถูกต้อง ครูเลยยิงคำถามที่สอง “วา-เล็น-ทาย สะกดยังไง?” รู้สึกว่าจะไม่มีคำตอบที่ฉะฉานเหมือนคำถามแรก ก็ตอนนั้นเราเพิ่งจะ import เทศกาลนี้มาจากฝรั่งได้ไม่กี่วัน หลาย ๆ คนจึงไม่แน่ใจว่า ‘ไท’ นี่มัน น หนูการันต์ หรือ ล ลิง การันต์ และก็ไม่รู้ด้วยว่าภาษาอังกฤษเขียนว่า valentine
แต่ชั่วพริบตาเดียว ‘วาเลนไทน์’ ก็เป็นที่รู้จักของทุกคนในเมืองไทยโดยเฉพาะคนที่รู้จัก ‘ความรัก’ และอะไรต่ออะไรอีกหลายอย่างก็ตามมา เช่น ดอกกุหลาบสีแดง การ์ดรูปหัวใจ และอื่น ๆ
วันวาเลนไทน์ปีนี้ ผมขออนุญาตคุยเรื่องความรักหน่อยนะครับ
คำถามแรก “ความรักคืออะไร?” พอขึ้นอย่างนี้ปั๊บ ประกายกวีในใจผู้คนดูเหมือนจะ spark ขึ้นมาทันที และไม่ใช่กวีธรรมดาสามัญซะด้วย แต่เป็นกวีรัก ดูเหมือนทุกคนจะมีบทนิยามของความรักด้วยกันทั้งนั้น อีกทั้งรู้สึกว่าบทนิยามของตนนี้ perfect ที่สุดเพราะผ่านการเก็บ-กัก-กลั่น-กรอง จนเหลือแต่แก่น ออกมาเป็นสัจกวีที่แสนจะไพเราะ
หรือถ้าท่านเข้าไปที่ http://www.google.com/ และพิมพ์ค้นหาหัวข้อ "ความรัก คือ…" ก็จะได้คำตอบถึง 4,260 หน้า คลิกดู
ลองคลิกอ่านชิมตัวอย่างความรัก สัก 4 หน้าข้างล่างนี้ดูก่อนก็ได้ครับ
หน้า 1 หน้า 2 หน้า 3 หน้า 4
หรือถ้าค้นเป็นภาษาอังกฤษ “love is…” ก็จะเป็นหัวข้อของคำตอบถึง1,760,000 หน้า คลิกดู
พูดง่าย ๆ อีกทีก็คือ ใคร ๆ ก็รู้จักและสนใจความรัก
คำถามต่อไปก็คือ แล้วคนเราส่วนใหญ่มีความรู้สึกอย่างไรต่อความรัก เหตุผลง่าย ๆ ที่ผมถามคำถามนี้ก็คือ ผมแน่ใจว่าคนเรามีความรู้สึกนึกคิดที่ต่างกันเกี่ยวกับความรัก
ผมขอยกตัวอย่างง่าย ๆ แล้วกันครับ ตั้งแต่วัยรุ่นมาแล้ว ผมได้ยินคำพูดว่า ‘ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์’ พอโตขึ้นจึงได้รู้ว่า คำรักวรรคนี้มาจากคำของพระพุทธเจ้าที่เขียนไว้ในพระไตรปิฎก วรรคเต็ม คือ
ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีโศก
ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีภัย
เมื่อไม่มีความรักเสียแล้ว
โศก ภัย ก็ไม่มี
หรือจะอ่านภาษาอังกฤษก็ได้ครับ
From love springs grief,
From love springs fear;
For him who is free from love
There is neither grief nor fear.
[ที่มา]
อ่านไปอ่านมาทำให้รู้สึกว่า ความรักกลายเป็นผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์ ทำให้ผู้คนมีทุกข์ ความรักนี่แย่จริง ๆ
ในช่วงที่อยู่มหาวิทยาลัยผมได้อ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลของคริสต์ และก็พบบทที่ลือลั่นที่สุดเกี่ยวกับความรัก คือ โครินทร์ บทที่13 ซึ่งว่าไว้ดังนี้
แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาของมนุษย์ก็ดี และภาษาของทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง
If I make use of the tongues of men and of angels, and have not love, I am like sounding brass, or a loud-tongued bell.
แม้ข้าพเจ้ามีของประทานแห่งการพยากรณ์ และเข้าใจในความลึกลับทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้ข้าพเจ้ามีความเชื่อทั้งหมดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย
And if I have a prophet's power, and have knowledge of all secret things; and if I have all faith, by which mountains may be moved from their place, but have not love, I am nothing.
แม้ข้าพเจ้ามอบของสารพัดเพื่อเลี้ยงคนยากจน และแม้ข้าพเจ้ายอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่
And if I give all my goods to the poor, and if I give my body to be burned, but have not love, it is of no profit to me.
ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ความรักไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง
Love is never tired of waiting; love is kind; love has no envy; love has no high opinion of itself, love has no pride;
ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้คำพยากรณ์ก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาต่างๆนั้นก็จะมีเวลาเลิกไป แม้ความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป
Though the prophet's word may come to an end, tongues come to nothing, and knowledge have no more value, love has no end.
ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ ความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด
But now we still have faith, hope, love, these three; and the greatest of these is love.
[ที่มา ภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ ]
อ่านแล้วรู้สึกว่า ภาษาในไบเบิ้ลจะมีความเป็นกวีนิพนธ์มากกว่าพระไตรปิฎกหลายเท่า อ่านแล้วรู้สึกมีความหวังและชื่นใจ ชื่นใจแล้วยังไงต่อไปล่ะ เอ! ไม่รู้เหมือนกันครับ
ผมเดาเอาว่า ไอ้ความรักนี่มันก็คงจะสุข ๆ ทุกข์ ๆ ปน ๆ กันอย่างนี้แหละครับ แต่จะพูดอะไรก็ต้องมีหลักฐานเดี๋ยวจะหาว่าพูดเลื่อนลอย ผมก็เลยวานให้พี่กูเกิ้ล http://www.google.com/ ช่วยหาหน่อยซิว่า เมื่อพูดถึง ‘ความรัก’ หรือ ‘love’ ผู้คนโยงมันเข้ากับ ‘ความสุข’- happiness หรือ ‘ความทุกข์’ – suffering มากกว่ากัน ผลการวิจัยฉับพลันครั้งนี้พบว่า
- เมื่อพูดถึงความรัก ผู้คนนึกถึงความสุข ประมาณ 84,000 หน้า คลิก และนึกถึงความทุกข์ 5,500 หน้า
คลิก
- หรืออีกทีหนึ่ง เมื่อพูดถึง love ผู้คนนึกถึง happiness 82,000 หน้า คลิก และนึกถึง suffering ประมาณ 4,000 หน้า คลิก
สรุปก็คือ เมื่อพูดถึงความรัก ผู้คนมักจะนึกถึงความสุขมากกว่าความทุกข์
สิ่งที่ผมจะถามต่อไปก็คือ ทำไมความรักจึงต้องมีปนกันทั้งสุขและทุกข์ เคยอ่านกลอนบทหนึ่งเขาพูดถึงความรักไว้ว่า
ความรัก...
คือน้ำผึ้ง คือน้ำตา คือยาพิษ
คือหยาดน้ำ อมฤต อันชื่นชุ่ม
คือเกสร ดอกไม้ คือไฟรุม
คือความกลุ้ม ความฝัน นั่นแหละรัก
ท่านผู้อ่านลองนับตัวหนาสีแดงและสีดำดูซีครับ มีด้านความสุข 4 คำ คือ น้ำผึ้ง, หยาดน้ำอมฤต, เกสรดอกไม้, ความฝัน และด้านความทุกข์ 4 คำ คือ น้ำตา, ยาพิษ, ไฟรุม, ความกลุ้ม... เป็นอันว่าเท่ากันทั้ง 2 ด้าน
แต่บางครั้งบางคน กลับมองความรักเลวร้ายไปกว่านี้อีก คือเห็นว่าสิ่งที่ความรักมอบให้มีแต่ความทุกข์เพียงอย่างเดียว ท่านยังจำฉันท์บทนี้จากวรรณคดีไทยเรื่อง ‘มัทธนพาธา’ ได้หรือไม่ครับ
“"ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล อุปะสัคคะใดๆ
ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้
ก็โลดจากคอกไป บ่ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ่หวนคิดถึงเจ็บกาย”
‘มัทธนพาธา’ แปลว่า ความเดือดร้อนหรือเจ็บช้ำเพราะความรัก ครับ
คุยมาถึงบรรทัดนี้ ผมจึงขอให้ท่านผู้อ่านช่วยผมคิดด้วยว่า ให้ความรักมีแต่สุขอย่างเดียวไม่ได้หรือ? ทำไมต้องปนกับความทุกข์ หรือถึงขั้นมีแต่ความทุกข์ล้วน ๆ ทำไมต้องอย่างนั้นด้วย
ผมไม่ขอพูดถึงความรักระหว่างชายหญิงล่ะครับ เรื่องนี้อาจจะลึกซึ้งกว้างขวางเกินกว่าที่ประสบการณ์ของผมจะครอบคลุมไปถึงสิ่งที่หลายท่านประสบ ผมจะขอพูดเฉพาะความรักในการเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งก็คือเนื้อหาในบล็อกนี้
ผมเข้าใจเอาว่า แทบทุกท่านที่เข้ามาศึกษาหาความรู้เรื่องภาษาอังกฤษในบล็อกนี้ คงจะมี ‘ความรัก’ ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับมาก มากกว่า จนถึงมากที่สุด
แต่สำหรับบางท่าน ‘ความถนัด’ ที่จะเรียนให้ได้ผลดังใจ อาจจะอยู่ในระดับน้อย น้อยกว่า จนถึงน้อยที่สุด คือรู้สึกว่าตัวเองไม่ถนัดเอาเสียเลย
นอกไปจากนี้ ‘โอกาส’ ที่เปิดให้เราเรียนภาษาอังกฤษ ถ้าโชคร้าย อาจจะมีโอกาสน้อย น้อยกว่า จนถึงน้อยที่สุด
เมื่อ ‘ความรัก’ ที่จะเรียนภาษาอังกฤษมีเต็มเปี่ยม แต่ ‘ความถนัด’ จากตัวเรา และ ‘โอกาส’จากภายนอก ช่างไม่เอื้ออำนวยซะเลย ความรักที่จะเรียนภาษาอังกฤษในสถานการณ์เช่นนี้จึงกลายเป็นความทุกข์ เพราะเป็นความรักที่ไม่สมหวัง ไม่สมรัก แล้วเราจะทำอย่างไรกับความรักที่ทำให้เกิดความทุกข์เช่นนี้
ท่านผู้อ่านครับ ขออนุญาตให้ผมพูดอะไรสักนิดในฐานะคนทำบล็อกบริการท่าน
ผมต้องการให้ท่านผู้อ่านของผมทุกท่านเรียนภาษาอังกฤษด้วยความสุข ไม่ว่าท่านจะมีปัจจัยภายใน (คือความเก่งและความถนัด) และปัจจัยภายนอก (คือโอกาสที่เปิดให้ท่านได้เรียนภาษาอังกฤษ) มากน้อยเพียงใดก็ตาม ถ้าท่านพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แม้ผลการเรียนจะเป็นอย่างไร ก็อย่าปล่อยใจให้ทุกข์ไปกับมันเลยครับ เพราะใจที่เป็นทุกข์มักทำให้การเรียนไม่ค่อยได้ผล ทำให้ชีวิตขาดทุน
ความรักนั้นอยู่ในใจ แต่ใจคนดวงเดียวนี้มีอะไรอยู่ในนั้นมากมาย เมื่อท่านเรียนภาษาอังกฤษ ถ้าท่านมีโอกาสได้เรียนดังใจ และเมื่อเรียนแล้วก็เข้าใจได้ดังใจ เกิดความสุขอย่างรุนแรงขึ้นมาในใจ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกครับ เรียนไปเรื่อย ๆ อย่างสงบใจดีกว่า
ในทำนองตรงกันข้าม เมื่อท่านเรียนภาษาอังกฤษ แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนดังใจ หรือเมื่อเรียนแล้วก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ เกิดความทุกข์อย่างรุนแรงขึ้นมาในใจ ในกรณีนี้ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากอีกเช่นกันครับ เรียนไปเรื่อย ๆ อย่างสงบใจดีกว่า
ขอให้เรียนภาษาอังกฤษด้วยความรักเถอะครับ เพราะความรัก หรือ LOVE แปลว่า Let Our Violence End (ปล่อยให้ความรุนแรงในใจสิ้นไปเอง)
ความรุนแรงหรือ Violence นั้น ไม่ว่ารุนแรงด้วยความสุข หรือรุนแรงด้วยความทุกข์ เมื่อเกิดขึ้นมาในใจแล้ว ก็ปล่อยให้มันดับ หรือ End ไปเองเถอะครับ ขอให้เรียนภาษาอังกฤษด้วยใจที่สงบ ไม่ปล่อยให้ความรุนแรงของความสุขหรือความทุกข์มารบกวน
ปล่อยให้ (let) ความรุนแรงในใจของเรา (our violence) มันดับ (end)ไปเอง อย่าปล่อยให้ความรุนแรงในใจทำร้ายใจของท่านเอง ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงอันเกิดจากความเบื่อหน่าย ความใจร้อน ความวิตกกังวล ความกลัว ความประหม่า ความอาย ความท้อแท้ หดหู่ ความเกียจคร้าน ความซึมเซา ความดีใจลิงโลดที่ได้ดังใจ ฯลฯ ปล่อยให้ความรุนแรงในใจสิ้นไปเองเถอะครับ อย่าไปเหนี่ยวรั้งเก็บมันไว้เลย
ขอให้ทุกท่านเรียนภาษาอังกฤษด้วยความรัก (LOVE) อย่างนี้เถอะครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
5 ความคิดเห็น:
ผมรักพ่อ
ผมรักแม่
ผมรักภาษาไทย
ผมรักภาษาอังกฤษ
และ
ผมรักบล๊ิอกนี้ครับ
ขอบคุณค่ะ
we're friends.
ชอบกลอนที่อาจารย์ยกมาจังเลยค่ะ
ที่มีทุกข์ 4 สุข 4 มันเท่ากันจริงๆ
เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์สลับกันไปอย่างนี้
ความรักของพ่อแม่ยิ่งใหญ่ที่สุด จนหาที่เปรียบไม่ได้
และรักอาจารย์ที่คอยหาสิ่งดีๆมาให้ด้วยนะคะ...
ถึงแม้ท่านพยายามจะบอกว่า มีประสพการณ์น้อยในความรัก แต่ท่านก็กล่าวถึงความรักได้สละสลวย อ่านแล้วรู้สึกได้ถึงไออุ่นรัก
love is all around ^ ^
รักกันไว้นะคะคนไทย
แสดงความคิดเห็น