สวัสดีครับ
หัวข้อที่ตั้งไว้ คือ เรียนอังกฤษอย่างคน ‘หูหนวก – เป็นใบ้’ มันเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง ๆ กับผมและเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน น้อง ๆ รุ่นเยาว์สมัยนี้คงจะดีกว่าผม และวันนี้ผมอยากจะเล่าประสบการณ์ของตัวเองเผื่อบางคนที่เป็นอย่างผมจะได้ยั้งตัวทัน
เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้วตอนที่ผมเริ่มเรียนภาษาอังกฤษในชั้น ป. 1 และหลังจากนั้นจนกระทั่งในมหาวิทยาลัย รวมประมาณ 16 - 17 ปี เวลาทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียนที่อุทิศให้แก่วิชาภาษาอังกฤษ ส่วนมากที่สุดผมจะหมดไปกับการอ่าน และเพื่อช่วยให้อ่านรู้เรื่อง ครูก็จะสอนแกรมมาร์ และสอนศัพท์ พอรู้ทั้งแกรมมาร์และศัพท์ก็ไปฝึกอ่านและตีความเนื้อหาเอาเอง, และเมื่อต้องทำข้อสอบวิชา reading comprehension หรือ grammar หรือ vocabulary ผมก็มักจะได้คะแนนค่อนข้างดี และ ณ วันที่ผมจบมหาวิทยาลัย ผมก็อ่าน Bangkok Post และ The Nation ได้รู้เรื่องพอ ๆ กับอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ถ้าถามว่าแล้วอาจารย์เขาไม่สอนเรื่อง listening, speaking หรือ writing บ้างหรือ? ขอตอบว่า มีสอนครับ แต่น้อย! และข้อสอบที่วัดเรื่อง การฟัง – การพูด – การเขียน ก็มีน้อยเช่นกัน ถ้าพูดว่าในช่วงนั้นผมเก่งภาษาอังกฤษ พูดอย่างนี้คงไม่ถูกต้อง ต้องพูดให้เจาะจงว่า ผมอาจจะอ่านภาษาอังกฤษพอรู้เรื่อง แต่ฟัง – พูด – และเขียน ไม่ได้เรื่องเลยครับ หรือได้น้อยมาก ๆ
ณ วันนี้เมื่อมองย้อนหลังไปก็ได้สำนึกว่า ผมใช้ชีวิตในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยศึกษาภาษาอังกฤษอย่างคนหูหนวกและเป็นใบ้ ทั้ง ๆ ที่ผมได้ยินและพูดได้ ทำไมถึงพูดเช่นนี้ ก็มันจริง ๆ นี่ครับ ผมขอเปรียบเทียบกับเด็กเล็ก ๆ ที่เพิ่งหัดพูด ซึ่งจะมี 3 ขั้นตอนอย่างนี้
-ฟังเขาพูด
-พูดตามเขา
-พูดได้เอง
และก็จะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เป็นวงกลมที่หมุนเวียนไปไม่รู้จบ คือ
-หูมีความชำนาญในการฟังมากขึ้น
-ปากมีความชำนาญในการขยับพูดตามเขามากขึ้น
-พูดได้อย่างใจคิดมากขึ้น
แต่จะทำได้ดังว่านี้มันขึ้นอยู่กับสิ่งเดียว คือ หูต้องไม่หนวก เพราะถ้าหูหนวกก็จะไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูด และก็ไม่รู้จะพูดตามเขาได้ยังไง และจะลงท้ายด้วยการพูดไม่ได้ ซึ่ง ก็คือ “เป็นใบ้”
แล้วคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ล่ะ เป็นคน “หูหนวก – เป็นใบ้” หรือเปล่า ตอบว่าไม่ แต่ทำไมยังฟังไม่รู้เรื่องและพูดไม่ได้ เรื่องนี้ตอบง่ายมาก คือ
-แม้ได้ยินเสียง แต่ไม่ใช่เสียงภาษาอังกฤษ เมื่อมาฟังภาษาอังกฤษตอนโต จึงเป็นคนหูหนวกทางภาษาอังกฤษ
-แม้พูดได้ แต่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ เมื่อต้องพูดภาษาอังกฤษตอนโต จึงพูดไม่ได้ ไม่ว่าจะพูดตามเขา หรือพูดด้วยตัวเอง จึงเป็นคนใบ้ทางภาษาอังกฤษ
ผมเองและเพื่อน ๆ อีกหลายคนเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กอย่างคนที่อยู่ในโลกเงียบ คือแทบไม่เคยได้ยินเสียงใครพูดภาษาอังกฤษเลย หรือได้ยินน้อยมาก ก็เลยเป็นคนหูหนวกและเป็นใบ้ทางภาษาอังกฤษด้วยประการฉะนี้
และก็ถึงวันที่ผมได้งานที่จำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษ ผมถึงได้ตระหนักว่า “โรค” “หูหนวก” และ “เป็นใบ้” นี้ต้องเยียวยารักษาไปพร้อมกันทั้ง 2 อย่าง แต่ถ้าก้มลงไปมองให้ชิด ๆ แล้วก็จะเห็นว่า ถ้าได้แก้อาการหูหนวกก่อน อาการเป็นใบ้ก็จะรักษาได้ไม่ยาก เพราะคนเรานั้นย่อมพูดได้ตามที่ได้ยิน ถ้าไม่ได้ยินก็ย่อมพูดไม่ได้ เหมือนคนใบ้ที่พูดไม่ได้เพราะหูหนวกไม่เคยได้ยินคนอื่นพูด
เรื่องของเรื่องก็คือว่า ในช่วงกว่า 2 ปีที่ผมนั่งเขียนบล็อกนี้ หลายครั้งที่ผมได้รับคำถามคล้าย ๆ กันว่า ทำยังไงจึงจะพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง ๆ, ให้ผมแนะนำโรงเรียนสอนสนทนาภาษาอังกฤษ หรือคำถามอื่นในทำนองนี้ ดูเหมือนหลายท่านต้องการรักษาโรค “เป็นใบ้” มากกว่าหรือก่อนโรค “หูหนวก” หรืออาจจะไม่ได้คิดถึงโรคหูหนวกทางภาษาด้วยซ้ำไป
สิ่งที่ผมขอเสนอความเห็นเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้มีดังนี้ครับ
1. โรคหูหนวกควรรักษาก่อนหรือพร้อมกับโรคเป็นใบ้ เพราะสาเหตุจริง ๆ ของการเป็นใบ้ก็คือเราหูหนวก ถ้าหูไม่หนวกเราก็ไม่เป็นใบ้ ที่เป็นใบ้ไม่ใช่เพราะลิ้นพิการ แต่เป็นเพราะไม่มีโอกาสฝึกลิ้นให้เปล่งเสียงตามที่หูได้ยิน(เพราะหูไม่ได้ยินมาตั้งแต่เกิด) เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการพูดภาษาอังกฤษให้ได้ ก็ต้องฝึกฟังก่อนพูดหรือฝึกฟังไปพร้อม ๆกับพูด อย่าลืมว่าตามธรรมชาตินั้นเราพูดได้ตามที่เราได้ยิน ถ้าเราได้ยินการออกเสียงที่ถูกต้องเราก็จะพูดได้ถูกต้อง ถ้าไม่ค่อยได้ยินหรือได้ยินการออกเสียงหรือสำเนียงผิด ๆ ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่เราจะพูดไม่ได้หรือพูดได้อย่างผิด ๆ
2. ถ้าท่านไปเรียนกับครูต่างชาติต้องระวังนิดนึงนะครับ เพราะถ้าไม่ใช่ native speaker บางทีท่านอาจจะได้สำเนียงเพี้ยน ๆ กลับมา ไม่ใช่สำเนียงอังกฤษหรือสำเนียงอเมริกันที่เป็นสากล ในเรื่องนี้ การหาฟัง mp3 หรือ CD ที่เป็นสำเนียงสากลในตลาดเมืองไทย หรือในเว็บ http://www.e4thai.com/ นี้ ดูจะทำได้ง่ายกว่า
3. โรคหูหนวกในการฟังภาษาอังกฤษเป็น “โรคเรื้อรัง” ของคนไทยส่วนใหญ่ ถ้าท่านเหมือนผมที่เป็นโรคนี้ด้วย ก็อย่าท้อเลยครับ อดทนรักษาไปเรื่อย ๆ เถอะครับ เพราะโรคนี้เป็นมานานก็คงต้องใช้เวลานานหน่อยในการรักษา แต่ผมขอรับรองว่าอาการจะค่อย ๆ ทุเลาและหายไปในที่สุด ผมเองมาเริ่มรักษาโรคนี้ตอนอายุเยอะแล้วยังค่อยยังชั่วเลยครับ ถ้าท่านผู้อ่านอายุน้อยกว่าผมก็ต้องหายเร็วกว่าผมแน่ ๆ
4. หลายท่านถามผมว่า ภาษาอังกฤษอ่อนมาก ๆ จะเริ่มต้นฝึกยังไง ถ้าสิ่งที่ท่านต้องการคือ พูดได้ – พูดเป็น – พูดเก่ง ก็ให้ลุยฝึกในเรื่องนี้เลย โดยฝึก
[1]-ฟังเขาพูด
[2]-พูดตามเขา
[3]-พูดอย่างที่อยากพูด ถ้าความอยากพูดเป็นคล้าย ๆ เสลดที่จุกอยู่ที่คอ ขอร้องเถอะครับ อย่ากลืนเสลดลงคอ ให้ถ่มออกไปเป็นคำพูดดังใจให้ได้ เสลดมันอาจจะมีสีน่ารังเกียจ คือพูดผิด ๆ ถูก ๆก็ช่างมันเถอะครับ เราถ่มออกไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันก็หมดไปเองแหละครับ แต่ถ้าขืนกลืนเสลดทุกครั้งที่อยากถ่ม มันไม่ไปรวมอยู่ในท้องแน่นแย่หรือครับ โอ๊ย! ไม่อยากพูด!
และขอย้ำอีกครั้งว่า การฝึกฟังและก็พูดออกมาโดยการ
1)พูดออกเสียงตามที่ได้ยิน mp3หรือ CD หรือ
2) การอ่านออกเสียงดัง ๆ ชัด ๆ
แม้มันจะไม่ได้โชว์ว่าเราพูดเก่ง แต่มันก็เป็นขั้นตอนการฝึกที่จำเป็นครับ เพราะใน 3 ขั้นตอนนี้ คือ [1]-ฟังเขาพูด [2]-พูดตามเขา และ [3]-พูดอย่างที่อยากพูด แม้เราเสียเงินไปเรียนตามโรงเรียนสอนภาษา เราก็ต้องฝึกอย่างนี้อยู่ดี แต่ถ้าเราไม่มีเวลาหรือไม่มีเงินที่จะไปเรียน เราฝึกเองอยู่กับบ้านก็ได้ครับ และผมอยากจะบอกว่า ถ้าเราตั้งใจและเอาจริง ผลลัพธ์อาจจะดีกว่าไปเรียนที่โรงเรียนด้วยซ้ำ เพราะท่านลองคิดดูซีครับ ถ้าเราไปเรียนที่โรงเรียน และต้องเรียนเป็นกลุ่มร่วมกับคนอื่น อาจจะเกิดปัญหาเรียนตามเขาไม่ทัน หรือต้องเรียนรอเขา ซึ่งไม่ดีทั้งนั้น ครั้นจะเรียนคอร์สส่วนตัว หรือ private course ก็ต้องจ่ายแพงเกินไป และการเรียน course เดียวก็ไม่ได้ผลซะด้วย ต้องเรียนต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ผมไม่อยากให้ท่านเสียเวลาและเงินตรามากปานนั้น
เอาอย่างนี้ไหมครับ ท่านเรียนด้วยตัวเองนี่แหละ หรือจะเสียเวลาไปเรียนกับเขาสัก 1 – 2 course ก็พอ แล้วก็มาเรียน ‘private course’ ที่ท่านจัดให้ตัวเอง เลือกหนังสือ, แบบฝึกหัด, mp3, วีดิโอ, ฯลฯ จากบล็อกนี้ก็ได้ซึ่งมีมากมายให้ท่านเลือกฝึก คือ ข้อ [1]-ฝึกฟังเขาพูด และ ข้อ [2]-ฝึกพูดตามเขา ไปเรื่อย ๆ ความสำเร็จก็จะอยู่กับท่านมากขึ้นเรื่อย ๆ
คำถามสุดท้ายที่ท่านอาจจะถามผมด้วยความไม่แน่ใจ ก็คือ ถ้าไม่ได้ฝึกพูดกับคนจริง ๆ เมื่อถึงเวลาเจอคนต่างชาติ เราจะถึงข้อ “[3]-พูดอย่างที่อยากพูด” ได้จริงหรือ? ผมขอรับรองว่า อย่ากังวลเลยครับ เพราะถ้าท่านฝึกข้อ [1] และข้อ [2] มาแล้ว มาถึงข้อ [3] ก็ไม่ใช่เรื่องที่ฝึกยาก เพราะการได้ฝึกฟังเขาพูดและพูดตามเขามาก่อนจะช่วยให้การฝึกพูดอย่างที่อยากพูดไม่เพี้ยน ผมเคยแนะนำเรื่องนี้ไว้บ้างแล้วที่ลิงค์นี้ [199] วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษโดยไม่มีครูสอน
สิ่งสุดท้ายที่ผมขอพูดในวันนี้ก็คือ ไม่ว่าจะเป็น class study คือเรียนกับครู หรือ self-study คือเรียนด้วยตัวเอง ทั้ง 2 study นี้ก็เป็นเพียง study, ยังไม่ใช่ของจริงซะทีเดียว ท่านต้องหาให้เจอของจริง เช่น อาสาเข้าไปพูดกับคนต่างชาติที่เข้ามาติดต่องาน หรือเตรียมประโยคที่คาดว่าต้องใช้เมื่อถูกคนต่างชาติถามเส้นทาง หรือ ตั้งแผงเล็ก ๆ ขายของที่ระลึกในย่านที่คนต่างชาติมักเดินเที่ยว จะได้มีโอกาสพูดภาษาอังกฤษชวนเขาซื้อของหรือเลยไปถึงเรื่องอื่น ๆ ที่อาจมีโอกาส, หรือ ถ้าท่านอยู่ต่างจังหวัด อาจฝึกเป็น ‘ไกด์สมัครเล่น’ พูดแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในชุมชนของท่านโดยไม่คิด service charge หรือเรื่องอื่น ๆ อีกเยอะแยะครับถ้าท่านต้องการหาโอกาสที่จะ “[3]-พูดอย่างที่อยากพูด” ให้ได้จริง ๆ ซึ่งเป็นของจริงมากกว่าโรงเรียนสอนภาษาราคาแพงที่ท่านต้องจ่ายเงินซะอีก
ผมปรารถนาอย่างยิ่งครับที่จะเห็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ มีความสุข และอยากจะให้ทักษะภาษาอังกฤษที่ท่านสะสมขึ้นมาเองช่วยนำท่านไปสู่ความสุขนี้ ไม่มากก็น้อย ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน
ด้วยความรักครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
6 ความคิดเห็น:
ลุงพิพัฒน์พูดได้ถูกต้องตรงประเด็นที่สุดเลยครับ
เรียนภาษาต้องเริ่มเรียนจากหู ไม่ใช่ด้วยตา
ไม่เห็นด้วย
คนหูหนวกชาวอเมริกันจบป.เอกหลายคน เก่งทั้งการอ่านและเขียน
คนหูหนวกชาวอเมริกันชอบเขียน blog หลายคน แสดงว่าเก่งด้านการเขียน
แวะแหล่ะblogsสำหรับคนหูหนวกได้ที่
www.deafread.com
บางคนหูหนวกเก่งการพูดแม้ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เพราะฝึกพูด ไม่จำเป็นต้องมีหู ผมอ่านแล้วขำจริงๆๆ หูไม่ใช่เทวดาในทุกอย่าง (อ้างว่าเก่งภาษาต้องไม่เป็นหูหนวก)
PharLap
คุณ PharLap ครับ
ขอบคุณครับ
พิพัฒน์
ถ้าดูตามปกติแล้ว คนที่หูหนวก "ส่วนมาก" จะพูดไม่ไ่ด้นี่ครับ เรื่องอ่านกับเขียนไม่แปลกอยู่แล้ว
ประเด็นคือ ถ้าอยากจะพูดภาษาอังกฤษได้ได้ก็ต้องฝึกฟังภาาษอังกฤษเยอะๆก่อนครับ
ที่ผมฝึก ก็คือ ฟัง พูดตาม พูดเอง ( พูดคนเดียว ) อ่าน และก็เขียนตามลำดับ...ซึ่งเป็นการเรียนโดยธรรมชาติ โดยการเลียนแบบจากเด็ก...ก็คงจะสอดคล้องกับข้อแนะนำของ อา Pipat ....ขอบคุณมากครับ...ตื่นเต้นทุกครั้งที่เข้ามาอ่านบล๊อกแห่งนี้ เพราะมีความรู้ใหม่ๆ มาทำให้สมองกระดี๊กระด๊าได้ตลอด ขอบคุณครับ.....
Thank you very very much ka Khun Pipad I totally agree with you!!!
แสดงความคิดเห็น