วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

[1070] เรียนภาษาอังกฤษอย่างคน ‘หูหนวก – เป็นใบ้’

สวัสดีครับ
หัวข้อที่ตั้งไว้ คือ เรียนอังกฤษอย่างคน ‘หูหนวก – เป็นใบ้’ มันเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง ๆ กับผมและเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน น้อง ๆ รุ่นเยาว์สมัยนี้คงจะดีกว่าผม และวันนี้ผมอยากจะเล่าประสบการณ์ของตัวเองเผื่อบางคนที่เป็นอย่างผมจะได้ยั้งตัวทัน

เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้วตอนที่ผมเริ่มเรียนภาษาอังกฤษในชั้น ป. 1 และหลังจากนั้นจนกระทั่งในมหาวิทยาลัย รวมประมาณ 16 - 17 ปี เวลาทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียนที่อุทิศให้แก่วิชาภาษาอังกฤษ ส่วนมากที่สุดผมจะหมดไปกับการอ่าน และเพื่อช่วยให้อ่านรู้เรื่อง ครูก็จะสอนแกรมมาร์ และสอนศัพท์ พอรู้ทั้งแกรมมาร์และศัพท์ก็ไปฝึกอ่านและตีความเนื้อหาเอาเอง, และเมื่อต้องทำข้อสอบวิชา reading comprehension หรือ grammar หรือ vocabulary ผมก็มักจะได้คะแนนค่อนข้างดี และ ณ วันที่ผมจบมหาวิทยาลัย ผมก็อ่าน Bangkok Post และ The Nation ได้รู้เรื่องพอ ๆ กับอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาไทย ถ้าถามว่าแล้วอาจารย์เขาไม่สอนเรื่อง listening, speaking หรือ writing บ้างหรือ? ขอตอบว่า มีสอนครับ แต่น้อย! และข้อสอบที่วัดเรื่อง การฟัง – การพูด – การเขียน ก็มีน้อยเช่นกัน ถ้าพูดว่าในช่วงนั้นผมเก่งภาษาอังกฤษ พูดอย่างนี้คงไม่ถูกต้อง ต้องพูดให้เจาะจงว่า ผมอาจจะอ่านภาษาอังกฤษพอรู้เรื่อง แต่ฟัง – พูด – และเขียน ไม่ได้เรื่องเลยครับ หรือได้น้อยมาก ๆ

ณ วันนี้เมื่อมองย้อนหลังไปก็ได้สำนึกว่า ผมใช้ชีวิตในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยศึกษาภาษาอังกฤษอย่างคนหูหนวกและเป็นใบ้ ทั้ง ๆ ที่ผมได้ยินและพูดได้ ทำไมถึงพูดเช่นนี้ ก็มันจริง ๆ นี่ครับ ผมขอเปรียบเทียบกับเด็กเล็ก ๆ ที่เพิ่งหัดพูด ซึ่งจะมี 3 ขั้นตอนอย่างนี้
-ฟังเขาพูด
-พูดตามเขา
-พูดได้เอง

และก็จะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เป็นวงกลมที่หมุนเวียนไปไม่รู้จบ คือ
-หูมีความชำนาญในการฟังมากขึ้น
-ปากมีความชำนาญในการขยับพูดตามเขามากขึ้น
-พูดได้อย่างใจคิดมากขึ้น
แต่จะทำได้ดังว่านี้มันขึ้นอยู่กับสิ่งเดียว คือ หูต้องไม่หนวก เพราะถ้าหูหนวกก็จะไม่ได้ยินเสียงที่เขาพูด และก็ไม่รู้จะพูดตามเขาได้ยังไง และจะลงท้ายด้วยการพูดไม่ได้ ซึ่ง ก็คือ “เป็นใบ้”

แล้วคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ล่ะ เป็นคน “หูหนวก – เป็นใบ้” หรือเปล่า ตอบว่าไม่ แต่ทำไมยังฟังไม่รู้เรื่องและพูดไม่ได้ เรื่องนี้ตอบง่ายมาก คือ
-แม้ได้ยินเสียง แต่ไม่ใช่เสียงภาษาอังกฤษ เมื่อมาฟังภาษาอังกฤษตอนโต จึงเป็นคนหูหนวกทางภาษาอังกฤษ
-แม้พูดได้ แต่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ เมื่อต้องพูดภาษาอังกฤษตอนโต จึงพูดไม่ได้ ไม่ว่าจะพูดตามเขา หรือพูดด้วยตัวเอง จึงเป็นคนใบ้ทางภาษาอังกฤษ

ผมเองและเพื่อน ๆ อีกหลายคนเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กอย่างคนที่อยู่ในโลกเงียบ คือแทบไม่เคยได้ยินเสียงใครพูดภาษาอังกฤษเลย หรือได้ยินน้อยมาก ก็เลยเป็นคนหูหนวกและเป็นใบ้ทางภาษาอังกฤษด้วยประการฉะนี้

และก็ถึงวันที่ผมได้งานที่จำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษ ผมถึงได้ตระหนักว่า “โรค” “หูหนวก” และ “เป็นใบ้” นี้ต้องเยียวยารักษาไปพร้อมกันทั้ง 2 อย่าง แต่ถ้าก้มลงไปมองให้ชิด ๆ แล้วก็จะเห็นว่า ถ้าได้แก้อาการหูหนวกก่อน อาการเป็นใบ้ก็จะรักษาได้ไม่ยาก เพราะคนเรานั้นย่อมพูดได้ตามที่ได้ยิน ถ้าไม่ได้ยินก็ย่อมพูดไม่ได้ เหมือนคนใบ้ที่พูดไม่ได้เพราะหูหนวกไม่เคยได้ยินคนอื่นพูด

เรื่องของเรื่องก็คือว่า ในช่วงกว่า 2 ปีที่ผมนั่งเขียนบล็อกนี้ หลายครั้งที่ผมได้รับคำถามคล้าย ๆ กันว่า ทำยังไงจึงจะพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง ๆ, ให้ผมแนะนำโรงเรียนสอนสนทนาภาษาอังกฤษ หรือคำถามอื่นในทำนองนี้ ดูเหมือนหลายท่านต้องการรักษาโรค “เป็นใบ้” มากกว่าหรือก่อนโรค “หูหนวก” หรืออาจจะไม่ได้คิดถึงโรคหูหนวกทางภาษาด้วยซ้ำไป

สิ่งที่ผมขอเสนอความเห็นเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้มีดังนี้ครับ
1. โรคหูหนวกควรรักษาก่อนหรือพร้อมกับโรคเป็นใบ้ เพราะสาเหตุจริง ๆ ของการเป็นใบ้ก็คือเราหูหนวก ถ้าหูไม่หนวกเราก็ไม่เป็นใบ้ ที่เป็นใบ้ไม่ใช่เพราะลิ้นพิการ แต่เป็นเพราะไม่มีโอกาสฝึกลิ้นให้เปล่งเสียงตามที่หูได้ยิน(เพราะหูไม่ได้ยินมาตั้งแต่เกิด) เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการพูดภาษาอังกฤษให้ได้ ก็ต้องฝึกฟังก่อนพูดหรือฝึกฟังไปพร้อม ๆกับพูด อย่าลืมว่าตามธรรมชาตินั้นเราพูดได้ตามที่เราได้ยิน ถ้าเราได้ยินการออกเสียงที่ถูกต้องเราก็จะพูดได้ถูกต้อง ถ้าไม่ค่อยได้ยินหรือได้ยินการออกเสียงหรือสำเนียงผิด ๆ ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่เราจะพูดไม่ได้หรือพูดได้อย่างผิด ๆ

2. ถ้าท่านไปเรียนกับครูต่างชาติต้องระวังนิดนึงนะครับ เพราะถ้าไม่ใช่ native speaker บางทีท่านอาจจะได้สำเนียงเพี้ยน ๆ กลับมา ไม่ใช่สำเนียงอังกฤษหรือสำเนียงอเมริกันที่เป็นสากล ในเรื่องนี้ การหาฟัง mp3 หรือ CD ที่เป็นสำเนียงสากลในตลาดเมืองไทย หรือในเว็บ http://www.e4thai.com/ นี้ ดูจะทำได้ง่ายกว่า

3. โรคหูหนวกในการฟังภาษาอังกฤษเป็น “โรคเรื้อรัง” ของคนไทยส่วนใหญ่ ถ้าท่านเหมือนผมที่เป็นโรคนี้ด้วย ก็อย่าท้อเลยครับ อดทนรักษาไปเรื่อย ๆ เถอะครับ เพราะโรคนี้เป็นมานานก็คงต้องใช้เวลานานหน่อยในการรักษา แต่ผมขอรับรองว่าอาการจะค่อย ๆ ทุเลาและหายไปในที่สุด ผมเองมาเริ่มรักษาโรคนี้ตอนอายุเยอะแล้วยังค่อยยังชั่วเลยครับ ถ้าท่านผู้อ่านอายุน้อยกว่าผมก็ต้องหายเร็วกว่าผมแน่ ๆ

4. หลายท่านถามผมว่า ภาษาอังกฤษอ่อนมาก ๆ จะเริ่มต้นฝึกยังไง ถ้าสิ่งที่ท่านต้องการคือ พูดได้ – พูดเป็น – พูดเก่ง ก็ให้ลุยฝึกในเรื่องนี้เลย โดยฝึก
[1]-ฟังเขาพูด
[2]-พูดตามเขา
[3]-พูดอย่างที่อยากพูด ถ้าความอยากพูดเป็นคล้าย ๆ เสลดที่จุกอยู่ที่คอ ขอร้องเถอะครับ อย่ากลืนเสลดลงคอ ให้ถ่มออกไปเป็นคำพูดดังใจให้ได้ เสลดมันอาจจะมีสีน่ารังเกียจ คือพูดผิด ๆ ถูก ๆก็ช่างมันเถอะครับ เราถ่มออกไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันก็หมดไปเองแหละครับ แต่ถ้าขืนกลืนเสลดทุกครั้งที่อยากถ่ม มันไม่ไปรวมอยู่ในท้องแน่นแย่หรือครับ โอ๊ย! ไม่อยากพูด!

และขอย้ำอีกครั้งว่า การฝึกฟังและก็พูดออกมาโดยการ
1)พูดออกเสียงตามที่ได้ยิน mp3หรือ CD หรือ
2) การอ่านออกเสียงดัง ๆ ชัด ๆ
แม้มันจะไม่ได้โชว์ว่าเราพูดเก่ง แต่มันก็เป็นขั้นตอนการฝึกที่จำเป็นครับ เพราะใน 3 ขั้นตอนนี้ คือ [1]-ฟังเขาพูด [2]-พูดตามเขา และ [3]-พูดอย่างที่อยากพูด แม้เราเสียเงินไปเรียนตามโรงเรียนสอนภาษา เราก็ต้องฝึกอย่างนี้อยู่ดี แต่ถ้าเราไม่มีเวลาหรือไม่มีเงินที่จะไปเรียน เราฝึกเองอยู่กับบ้านก็ได้ครับ และผมอยากจะบอกว่า ถ้าเราตั้งใจและเอาจริง ผลลัพธ์อาจจะดีกว่าไปเรียนที่โรงเรียนด้วยซ้ำ เพราะท่านลองคิดดูซีครับ ถ้าเราไปเรียนที่โรงเรียน และต้องเรียนเป็นกลุ่มร่วมกับคนอื่น อาจจะเกิดปัญหาเรียนตามเขาไม่ทัน หรือต้องเรียนรอเขา ซึ่งไม่ดีทั้งนั้น ครั้นจะเรียนคอร์สส่วนตัว หรือ private course ก็ต้องจ่ายแพงเกินไป และการเรียน course เดียวก็ไม่ได้ผลซะด้วย ต้องเรียนต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ผมไม่อยากให้ท่านเสียเวลาและเงินตรามากปานนั้น

เอาอย่างนี้ไหมครับ ท่านเรียนด้วยตัวเองนี่แหละ หรือจะเสียเวลาไปเรียนกับเขาสัก 1 – 2 course ก็พอ แล้วก็มาเรียน ‘private course’ ที่ท่านจัดให้ตัวเอง เลือกหนังสือ, แบบฝึกหัด, mp3, วีดิโอ, ฯลฯ จากบล็อกนี้ก็ได้ซึ่งมีมากมายให้ท่านเลือกฝึก คือ ข้อ [1]-ฝึกฟังเขาพูด และ ข้อ [2]-ฝึกพูดตามเขา ไปเรื่อย ๆ ความสำเร็จก็จะอยู่กับท่านมากขึ้นเรื่อย ๆ

คำถามสุดท้ายที่ท่านอาจจะถามผมด้วยความไม่แน่ใจ ก็คือ ถ้าไม่ได้ฝึกพูดกับคนจริง ๆ เมื่อถึงเวลาเจอคนต่างชาติ เราจะถึงข้อ “[3]-พูดอย่างที่อยากพูด” ได้จริงหรือ? ผมขอรับรองว่า อย่ากังวลเลยครับ เพราะถ้าท่านฝึกข้อ [1] และข้อ [2] มาแล้ว มาถึงข้อ [3] ก็ไม่ใช่เรื่องที่ฝึกยาก เพราะการได้ฝึกฟังเขาพูดและพูดตามเขามาก่อนจะช่วยให้การฝึกพูดอย่างที่อยากพูดไม่เพี้ยน ผมเคยแนะนำเรื่องนี้ไว้บ้างแล้วที่ลิงค์นี้ [199] วิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษโดยไม่มีครูสอน

สิ่งสุดท้ายที่ผมขอพูดในวันนี้ก็คือ ไม่ว่าจะเป็น class study คือเรียนกับครู หรือ self-study คือเรียนด้วยตัวเอง ทั้ง 2 study นี้ก็เป็นเพียง study, ยังไม่ใช่ของจริงซะทีเดียว ท่านต้องหาให้เจอของจริง เช่น อาสาเข้าไปพูดกับคนต่างชาติที่เข้ามาติดต่องาน หรือเตรียมประโยคที่คาดว่าต้องใช้เมื่อถูกคนต่างชาติถามเส้นทาง หรือ ตั้งแผงเล็ก ๆ ขายของที่ระลึกในย่านที่คนต่างชาติมักเดินเที่ยว จะได้มีโอกาสพูดภาษาอังกฤษชวนเขาซื้อของหรือเลยไปถึงเรื่องอื่น ๆ ที่อาจมีโอกาส, หรือ ถ้าท่านอยู่ต่างจังหวัด อาจฝึกเป็น ‘ไกด์สมัครเล่น’ พูดแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในชุมชนของท่านโดยไม่คิด service charge หรือเรื่องอื่น ๆ อีกเยอะแยะครับถ้าท่านต้องการหาโอกาสที่จะ “[3]-พูดอย่างที่อยากพูด” ให้ได้จริง ๆ ซึ่งเป็นของจริงมากกว่าโรงเรียนสอนภาษาราคาแพงที่ท่านต้องจ่ายเงินซะอีก

ผมปรารถนาอย่างยิ่งครับที่จะเห็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ มีความสุข และอยากจะให้ทักษะภาษาอังกฤษที่ท่านสะสมขึ้นมาเองช่วยนำท่านไปสู่ความสุขนี้ ไม่มากก็น้อย ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน

ด้วยความรักครับ

พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com

6 ความคิดเห็น:

Ddy กล่าวว่า...

ลุงพิพัฒน์พูดได้ถูกต้องตรงประเด็นที่สุดเลยครับ

เรียนภาษาต้องเริ่มเรียนจากหู ไม่ใช่ด้วยตา

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไม่เห็นด้วย

คนหูหนวกชาวอเมริกันจบป.เอกหลายคน เก่งทั้งการอ่านและเขียน

คนหูหนวกชาวอเมริกันชอบเขียน blog หลายคน แสดงว่าเก่งด้านการเขียน

แวะแหล่ะblogsสำหรับคนหูหนวกได้ที่
www.deafread.com

บางคนหูหนวกเก่งการพูดแม้ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เพราะฝึกพูด ไม่จำเป็นต้องมีหู ผมอ่านแล้วขำจริงๆๆ หูไม่ใช่เทวดาในทุกอย่าง (อ้างว่าเก่งภาษาต้องไม่เป็นหูหนวก)

PharLap

pipat - blogger กล่าวว่า...

คุณ PharLap ครับ
ขอบคุณครับ
พิพัฒน์

Ddy กล่าวว่า...

ถ้าดูตามปกติแล้ว คนที่หูหนวก "ส่วนมาก" จะพูดไม่ไ่ด้นี่ครับ เรื่องอ่านกับเขียนไม่แปลกอยู่แล้ว

ประเด็นคือ ถ้าอยากจะพูดภาษาอังกฤษได้ได้ก็ต้องฝึกฟังภาาษอังกฤษเยอะๆก่อนครับ

Jofasear กล่าวว่า...

ที่ผมฝึก ก็คือ ฟัง พูดตาม พูดเอง ( พูดคนเดียว ) อ่าน และก็เขียนตามลำดับ...ซึ่งเป็นการเรียนโดยธรรมชาติ โดยการเลียนแบบจากเด็ก...ก็คงจะสอดคล้องกับข้อแนะนำของ อา Pipat ....ขอบคุณมากครับ...ตื่นเต้นทุกครั้งที่เข้ามาอ่านบล๊อกแห่งนี้ เพราะมีความรู้ใหม่ๆ มาทำให้สมองกระดี๊กระด๊าได้ตลอด ขอบคุณครับ.....

Goy กล่าวว่า...

Thank you very very much ka Khun Pipad I totally agree with you!!!