สวัสดีครับ
ถ้าเปรียบการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษคือรถยนต์ ล้อทั้งสี่ของรถก็คือการฟัง – พูด – อ่าน – เขียน นั่นเอง เมื่อเราฟังออก – พูดได้ และ อ่านออก – เขียนได้ เราก็สามารถสื่อสารได้ดังใจ เหมือนมีรถยนต์ประสิทธิภาพดีใช้ขับขี่ไปนั่นมานี่อย่างที่เราต้องการ
แต่ถ้าถามว่า แล้วมีอะไรที่ช่วยทำให้การใช้รถเพื่อการสื่อสาร คือการฟัง – พูด – อ่าน – เขียนได้ผล คำตอบก็คือ ถ้าเป็นรถสิ่งที่สำคัญที่สุดก็มี 2 อย่าง คือ ระบบไฟฟ้าในรถยนต์และระบบน้ำมัน แต่ถ้าเป็นการสื่อสารด้วยการฟัง – พูด – อ่าน – เขียน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็มี 2 อย่างเช่นกัน คือ ศัพท์กับแกรมมาร์
ที่ผมพูดว่า ศัพท์กับแกรมมาร์เป็นสิ่งสำคัญนี้ “สำคัญ” แปลว่า “ขาดไม่ได้” บางท่านอาจจะบอกว่าแกรมมาร์ไม่สำคัญ ผมขอยืนยันว่าแกรมมาร์สำคัญ แต่สำคัญมิได้แปลว่าต้อง perfect เพราะตราบใดที่ท่านสามารถผูกประโยคแล้วเปล่งสารออกไปอย่างที่ใจอยากสื่อ ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว แม้ว่าแกรมมาร์ที่ใช้จะขาด ๆ วิ่น ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่จะต้องสื่อสารไม่ผิด เช่น ต้องการพูดว่า “อาหารน่ากิน ส่วนคนทำก็น่ารัก” กลับไปพูดว่า “อาหารน่ารัก ส่วนคนทำก็น่ากิน” อ่านประโยคนี้ท่านอาจจะรู้สึกขำ และพอจะเดาได้ว่าคนพูดต้องการสื่อสารอะไร แต่ถ้าการสื่อสารผิดพลาดทำนองนี้ไปเกิดขึ้นในการเจรจาความเมืองระหว่างผู้นำประเทศ หรือการเจรจาธุรกิจระหว่างเจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ ท่านลองคิดดูซีครับว่ามันจะเสียหายขนาดไหน เพราะฉะนั้นผมจึงขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า แกรมมาร์นั้นจำเป็น และแม้ว่าเราจะใช้แกรมมาร์ผิด ๆ ถูก ๆ สิ่งนี้อาจจะไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่สำคัญก็คือ เราต้องสามารถใช้แกรมมาร์สื่อสารและคนรับสารไม่เข้าใจผิด เรื่องแกรมมาร์ผมขอพูดแค่นี้แหละครับ เพราะบางคนอาจจะเบื่อไม่อยากฟังแล้ว
วันนี้ผมขอพูดอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องศัพท์ หรือ vocabulary
ท่านที่เป็นแฟนประจำบล็อกนี้คงจะเห็นได้ไม่ยากว่า ผมให้ความสำคัญกับเรื่องศัพท์อย่างมาก และได้รวบรวมบทความแนะนำเว็บและข้อปฏิบัติเกี่ยวกับศัพท์ไว้โดยเฉพาะ ที่ลิงค์นี้ครับ ศัพท์ vocabulary
ตามธรรมดาเมื่อเราเรียนภาษาต่างชาติ เช่นภาษาอังกฤษ เราจะค่อย ๆ จำศัพท์ได้ทีละคำ ๆ แต่ไม่ใช่จำศัพท์ได้อย่างเดียว จะต้องสามารถจำศัพท์ได้ และใช้ศัพท์เป็น การ“จำศัพท์ได้” ช่วยให้เราฟังและอ่านเข้าใจ ส่วนการ “ใช้ศัพท์เป็น” ช่วยให้เราสื่อสารด้วยการเขียนหรือพูดออกไปได้อย่างที่ใจต้องการ
ผมชอบใจลักษณะอย่างหนึ่งของฝรั่ง คือเขามีการทำ word list หรือบัญชีคำศัพท์ โดยรวบรวมคำศัพท์ที่เจอบ่อยและต้องใช้บ่อย ถ้าเราจดจำและทำความคุ้นเคยกับ word ใน list ที่เขาค้นคว้าและจัดทำขึ้น ก็จะช่วยย่นระยะเวลาในการเรียนภาษา เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาคลำและจำคำศัพท์อย่างสะเปะสะปะ word list จึงช่วยบอกเราว่าศัพท์คำใดที่เราควรจะจำก่อน เพราะจำเป็นต้องใช้ก่อน
และเนื่องจากหน่วยงานหรือบุคคลที่จัดทำ word list มีหลายแห่ง จึงมีหลาย list ออกมาให้เราเลือก ท่านลองดูตัวอย่างที่ผมรวบรวมไว้ข้างล่างนี้ก็ได้ มันเยอะไปหมด ถ้าท่านถามว่าจะให้จำ list ไหนล่ะ คำตอบของผมก็คือ เมื่อท่านเข้าไปดูและชอบใจ list ใดก็จำ list นั้นแหละครับ โดยทั่วไปแล้วผมเห็นว่าคำศัพท์ที่อยู่ในแต่ละ list ก็ไม่ได้ต่างกันมากมายนักหรอก และก็ใช้ได้ทุก list แหละครับ
ประเด็นที่สำคัญกว่าการเลือก list ก็คือ เราต้องเข้าใจว่า การจำคำศัพท์ที่ถูกต้องมิใช่การอัดคำศัพท์เข้าไปในสมองอย่างทื่อ ๆ วิธีเช่นนี้ดิบเกินไปและมักไม่ได้ผล คือจำยากและลืมง่าย เราต้องหาวิธีที่จำง่ายและลืมยาก วิธีไหนล่ะครับ? ก็คือ (1) วิธีที่ใช้ประสาททั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้ช่วยกันจำ และ (2) จำศัพท์ไปพร้อม ๆ กับการใช้ศัพท์ในการฟัง – พูด – อ่าน – เขียน ทั้งข้อ (1) และข้อ (2) นี้ท่านอาจจะทำไม่ได้สมบูรณ์เพราะติดขัดด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่ก็น่าจะใช้วิธีอย่างนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพราะมันเป็นวิธีที่ได้ผลเร็ว
Word list ที่ผมเคยรวบรวมไว้ อยู่ข้างล่างนี้ครับ
1. ประเภท อังกฤษ – อังกฤษ หรือ อังกฤษ - ไทย
[857]ศัพท์ใช้บ่อย+คำแปล 5,000 คำ(แยก n/v/adj/adv)
[842] ชวนท่องดิกชันนารี Webster 3,000 คำ
[287] ทำสมุดท่องศัพท์ 1500 คำของ VOA
[119]เชิญดาวน์โหลดศัพท์พื้นฐาน 5000 คำพร้อมคำแปล
[105] 'คลังศัพท์' พร้อม' คำแปลภาษาไทย' สำหรับทุกคน
[539] ศัพท์พื้นฐาน 1,000 คำ พร้อมคำแปล
[367] ศัพท์พื้นฐาน 1,000 คำ ที่ต้องจำให้ขึ้นใจ
[86]ดาวน์โหลดหนังสือ 'ศัพท์ 1000 คำแรกที่ใช้บ่อย'
[15] ฟังเสียงศัพท์หมวด 1,500 คำ
[4] Word list และดาวน์โหลด ‘สมุดจดศัพท์’
[309] Verb พื้นฐาน - เพื่อการสื่อสาร
[85]ดาวน์โหลด Verb 2209 คำ พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย
[125] จะสื่อสารให้ตรงใจ ต้องใช้ Action Verbs
2. ประเภท อังกฤษ – ไทย และ ไทย – อังกฤษ
[187] ดูตัววิ่ง ‘ศัพท์คำพ้อง’ 3,000 คำ บนหน้าจอ
3. ประเภท ไทย - อังกฤษ
[242] Test และ Train ตัวเองกับศัพท์ ไทย -->อังกฤษ 3 พันคำ
[407] 1,000 คำศัพท์ไทยที่ใช้บ่อย (พร้อมคำแปล)
[133]รวม ‘คำกริยา’ ภาษาไทย เทียบ ‘verb’ ภาษาอังกฤษ
4. ประเภทอื่น ๆ
[242] ศัพท์ยากที่พบบ่อย 1,062 คำ
[329] แหล่งเรียนรู้คำศัพท์ 10 อันดับยอดนิยม
[150] list คำศัพท์แยกตามจำนวนตัวอักษร
[57] “two-word verb” ฉบับสมบูรณ์ ที่นี่ครับ
และวันนี้ผมมีอีก 1 list มาให้ท่านลองใช้ดู จากเว็บนี้ครับ
http://www.insightin.com/esl/
เขาจัด rank คำศัพท์ประมาณ 6000 คำที่พบบ่อย โดยใช้ database และ search engine เป็นอุปกรณ์ในการทำเพื่อให้ได้มาซึ่ง word list นี้ และตั้งแต่คำที่ 2001 – 6000 เขาทำเป็นลิงค์ไปยัง database dictionary ของเขา
ผมรู้สึกว่า ถ้าเราจะจำทั้ง 6000 คำนี้ให้ได้ เราจะต้องทำความคุ้นเคยกับมันให้มากที่สุด ผมจึงใช้บริการจาก Answers.com เมื่อท่านคลิกเข้าไปในหน้าคำศัพท์ข้างล่างนี้แล้ว
คำที่ 1 - 1000
คำที่ 1001 - 2000
คำที่ 2001 - 3000
คำที่ 3001 - 4000
คำที่ 4001 - 5000
คำที่ 5001 - 6000
ขอให้ท่าน double click ที่คำศัพท์ จะปรากฏข้อมูลในหน้าต่างใหม่ ยกตัวอย่างเช่น ท่าน double click คำว่า export ที่ลิงค์ คำที่ 4001 - 5000 ในหน้าต่างใหม่จะมี Menu ของข้อมูลที่บรรทัดบนของหน้าต่าง ดังนี้
Match: export and others.
Dictionary Computer Ency. Investment Business Antonyms Law Dictionary Word Tutor Wikipedia Translations Veterinary Best of Web Mentioned In
แต่ละปุ่ม ซึ่งเริ่มจาก Dictionary จะมีข้อมูลต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ท่านมีความคุ้นเคยกับคำศัพท์ตัวที่ท่าน double click เช่น
- Dictionary: จะมีโฟเนติกส์คำอ่าน, คลิกฟังเสียงอ่าน, การแจกลูกคำ, คำแปลศัพท์
- มีอีกหลายปุ่มที่ท่านสามารถคลิกเพื่ออ่านข้อมูล ซึ่งจะทำให้ท่านมีความคุ้นเคยกับศัพท์คำนี้มากยิ่งขึ้น เช่น คำว่า export นี้ ถ้าใช้ในวงการ Computer, investment, business, law, veterinary จะมีความหมายเจาะจงไปเป็นอย่างนั้น ๆ หรือ คำว่า export มีคำที่มีความหมายตรงกันข้าม หรือ Antonym อะไร บางศัพท์เขาก็บอก คำที่มีความหมายคล้ายกันหรือเหมือนกัน หรือ Synonym ไว้ด้วย ผมอยากจะเน้นตบท้ายว่า การได้อ่านเยอะ ๆ นี้ จะช่วยให้ท่านเก่งแกรมมาร์ และได้แบบอย่างในการนำเอาไปเขียนหรือพูดโดยที่ท่านอาจจะไม่รู้ตัว
- ที่ Menu ในหน้าต่างนี้ ปุ่มที่ผมขอแนะนำให้ท่านให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือ ปุ่ม Word Tutor(ถ้ามี) เพราะเมื่อคลิกแล้ว ท่านจะพบคำว่า in brief ซึ่งจะสรุปความหมายที่สั้นที่สุดหรือความหมายที่เด่นที่สุดของศัพท์คำนี้ ช่วยให้จำง่าย และที่น่าสนใจที่สุดคือ อาจจะมีประโยคตัวอย่าง โดยที่หน้าประโยคตัวอย่างจะมีไอคอนรูปลำโพงให้ท่านคลิกฟังเสียงอ่านทั้งประโยค ท่านจะคลิกฟังสักกี่สิบครั้งก็ได้ โดยในการฟังครั้งหลัง ๆ ลองฟังดูโดยตาไม่ต้องมองประโยค ดูซิว่าฟังรู้เรื่องได้ตลอดทุกคำหรือไม่ นี่เป็นการฝึก listening skill ที่สะดวกมาก หรือถ้าเมื่อฟังแล้วก็พูดตาม และลองเขียนประโยคนั้นลงบนกระดาษก็จะได้ฝึกการสะกดคำ หรือ spelling พร้อมกับ listening และ speaking พร้อมกันไปเลย ถ้าท่านฝึกอย่างนี้ท่านอาจจะพบด้วยตัวเองว่า เราอาจจะอ่อนในการฟังเสียงที่ลงท้ายด้วย –ed หรือ –s หรืออื่น ๆ มีข้อที่น่าสังเกตว่าประโยคที่เขาอ่านให้เราฟังนี้อาจจะเป็นคำพูดของบุคคลสำคัญ หรือเป็นภาษิตของฝรั่ง ก็เท่ากับเราได้ความรู้ในส่วนนี้ไปในตัว ข้อมูลส่วนท้ายของ Word Tutor อาจมี Tip เกี่ยวกับคำนี้ให้ศึกษาอีกด้วย
ผมหวังว่า Word list 6000 คำชุดใหม่นี้ น่าจะช่วยท่านได้มากพอสมควรในการศึกษาภาษาอังกฤษ ทั้ง vocabulary, grammar, reading, listening, spelling, speaking, และ writing
ขอเชิญคลิกเข้าไปศึกษาได้เลยครับ และขออวยพรให้พบกับความสำเร็จทุกท่านครับ
คำที่ 1 - 1000
คำที่ 1001 - 2000
คำที่ 2001 - 3000
คำที่ 3001 - 4000
คำที่ 4001 - 5000
คำที่ 5001 - 6000
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[879] สภาพของ 'พลเอกอนุพงษ์' และพวกเราหลายคน?
สวัสดีครับ
วันนี้ผมอ่านบทความในหนังสือพิมพ์ The Nation ซึ่งเขาเขียนถึง 'พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา’ ว่า “Is Anupong "trapped" like all of us?” เหตุการณ์ที่ทำให้ใครหลายคนอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจไม่น้อย เนื้อหาของบทความนี้ท่านอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่ไม่ว่าท่านจะเห็นอย่างไร บทความนี้ก็น่าอ่านทีเดียว เพราะไม่ว่าพลเอกอนุพงษ์ จะอยู่ในภาวะเช่นนั้นหรือไม่ก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าคนไทยเราหลายคน รวมทั้งตัวผมเองด้วย ตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ อยากชวนให้ท่านลองอ่านดูครับ
1. บทความจากหนังสือพิมพ์ The Nation วันที่ 29 พฤศจิกายน 2551
Is Anupong "trapped" like all of us?
2. บทความจากหนังสือพิมพ์ The Nation + เมื่อ double click ที่คำใด จะมีคำแปลศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ
Is Anupong "trapped" like all of us?
3. บทความจากหนังสือพิมพ์ The Nation + เมื่อ เอาเมาส์วางบนศัพท์คำใด จะมีคำแปลศัพท์เป็นภาษาไทย
Is Anupong "trapped" like all of us?
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันนี้ผมอ่านบทความในหนังสือพิมพ์ The Nation ซึ่งเขาเขียนถึง 'พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา’ ว่า “Is Anupong "trapped" like all of us?” เหตุการณ์ที่ทำให้ใครหลายคนอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจไม่น้อย เนื้อหาของบทความนี้ท่านอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่ไม่ว่าท่านจะเห็นอย่างไร บทความนี้ก็น่าอ่านทีเดียว เพราะไม่ว่าพลเอกอนุพงษ์ จะอยู่ในภาวะเช่นนั้นหรือไม่ก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าคนไทยเราหลายคน รวมทั้งตัวผมเองด้วย ตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ อยากชวนให้ท่านลองอ่านดูครับ
1. บทความจากหนังสือพิมพ์ The Nation วันที่ 29 พฤศจิกายน 2551
Is Anupong "trapped" like all of us?
2. บทความจากหนังสือพิมพ์ The Nation + เมื่อ double click ที่คำใด จะมีคำแปลศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ
Is Anupong "trapped" like all of us?
3. บทความจากหนังสือพิมพ์ The Nation + เมื่อ เอาเมาส์วางบนศัพท์คำใด จะมีคำแปลศัพท์เป็นภาษาไทย
Is Anupong "trapped" like all of us?
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[878]ติดตั้งดิกอังกฤษ–ไทยจากแผ่น Setup-MS Office
สวัสดีครับ
สำหรับท่านที่ต้องการใช้ดิกชันนารี ไม่ว่าจะเป็นขณะต่อเน็ต (online) หรือไม่ได้ต่อเน็ต (offline) ในบล็อกนี้มีเว็บดิกให้ท่านใช้ฟรี online และมีโปรแกรมฟรีให้ท่านดาวน์โหลดลงเครื่องคอมฯของท่านเพื่อใช้ offline มีทั้งที่เป็นดิกชันนารีอังกฤษ – ไทย. ไทย – อังกฤษ และ อังกฤษ – อังกฤษ เชิญคลิกดูได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
1. รวม Search Box สุดยอด Dict.
2. ดาวน์โหลดดิกชันนารี ฟรี!
3. [845] ดาวน์โหลดโปรแกรมดิกชันนารี สอ เสถบุตร
4. พจนานุกรม dictionary
แต่ผมมาคิด ๆ ดูก็รู้สึกห่วงคนที่เน็ตช้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้อ่านที่อยู่ต่างจังหวัด เพราะถ้าเน็ตช้าหรือโค...ช้า ไม่ว่าจะใช้ online หรือดาวน์โหลดโปรแกรมมาใช้ offline ดูมันจะติดขัดไปหมด ทำให้ไม่อยากใช้มัน ก็เลยไม่ได้ใช้ของดีที่เขามีให้ใช้
เอาอย่างนี้แล้วกันครับ ผมมีทางออกให้ท่าน ก็คือว่า ผมแน่ใจว่าคอมฯทุกเครื่องที่ท่านใช้อยู่ขณะนี้ได้ลงโปรแกรม Microsoft Office เพื่อใช้พิมพ์งานไว้แล้ว และผมก็เดาเอาว่าส่วนใหญ่จะลง Thai Edition คอมฯ ตัวที่ผมใช้เป็น MS Office Thai Edition เวอร์ชั่น 2003 แต่บางท่านอาจจะใช้เวอร์ชั่นที่ใหม่กว่าคือ 2007
ท่านทราบหรือเปล่าครับว่า โปรแกรม Microsoft Office Thai Edition นั้น เขามีดิกชันนารีอังกฤษ – ไทยใส่ไว้ ท่านสามารถใช้ดิกที่ว่านี้ได้อย่างสะดวกสบายมาก และดิกนี้แสดงผลการค้นหาที่รวดเร็วมาก ๆ. เร็วกว่าดิก online-offline อีกหลายยี่ห้อ
แต่ถ้าคอมฯของท่านไม่มีดิกที่ว่านี้ ก็แสดงว่าคนที่เขา setup โปรแกรมนี้เขาไม่ได้เอาลงไว้ ท่านก็เลยไม่ได้ใช้มัน
ผมขอแนะนำให้ท่านลงโปรแกรมดิกชันนารีอังกฤษ – ไทยที่มากับแผ่น setup ของ Microsoft Office Thai Edition ไว้ในเครื่องของท่าน เพราะเป็นดิกที่ใช้ได้สะดวกมาก ๆ และไม่ทำให้เครื่องทำงานอืดลงอีกด้วย น่าใช้ครับ
ถ้าใกล้ตัวของท่านไม่มีแผ่น Setup ที่ว่านี้ ผมขอแนะนำให้ท่านไปขอยืมใครมาก็ได้ครับ (ไม่ต้องซื้อให้เสียตังค์) แต่ต้องเป็นเวอร์ชั่นที่ตรงกับ Microsoft Office Thai Edition ที่ท่านลงไว้ในเครื่องขณะนี้นะครับ คือต้องเป็นเวอร์ชั่น 2003 เหมือนกัน หรือเวอร์ชั่น 2007 เหมือนกัน
เมื่อได้มาแล้ว ให้ท่านทำตามขั้นตอนข้างล่างนี้ ไม่ยากหรอกครับ และเพียงไม่กี่นาที ท่านก็จะมีดิกชันนารีอังกฤษ – ไทย ไว้ใช้ประจำคอมฯ. ข้องใจศัพท์คำใดก็หาความหมายได้ทันที
และถ้าต้องการจะบอกเพื่อนก็เพียง print ข้อความต่อจากบรรทัดนี้ไปให้เพื่อน เป็นการช่วยเหลือกันครับ หรือถ้าท่านทำตามคำแนะนำนี้แล้วติดขัด เพื่อนของท่านอาจจะช่วยท่านได้ ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าได้เขียนคำแนะนำชัดเจนเพียงพอหรือยัง แต่ก็พยายามทำเต็มที่แล้วครับ อย่างไรก็ตามคนที่เป็นคอมฯอยู่บ้างเมื่ออ่านคำแนะนำนี้ก็น่าจะทำตามได้ หรือคนเก่ง ๆ อาจจะทำได้โดยไม่ต้องอ่านคำแนะนำด้วยซ้ำไป
คำแนะนำในการติดตั้งดิกชันนารีอังกฤษ – ไทยของ Microsoft Office Thai Edition ลงในเครื่องคอมฯ (เป็นคำแนะนำสำหรับ MS Office เวอร์ชั่น 2003 แต่สำหรับเวอร์ชั่น 2007 ก็น่าจะทำคล้าย ๆ กัน)
1. ใส่แผ่น Microsoft Office 2003 Thai Edition ในคอมฯ
2. เมื่อแผ่น auto run แล้ว คลิกไอคอน Setup Application
ขั้นตอนต่อจากนี้โปรแกรมอาจจะขอให้ท่านเติม CD Key ซึ่งมีบอกอยู่ในแผ่นนี้แหละ, ก็ให้ท่าน copy และ paste ลงไป
ผมไม่แน่ใจว่าแผ่นก็อปของท่านกับของผมมันเหมือนกันหรือเปล่า
แผ่นของผมมันเขียนไว้ว่า
serial for OFFICE11 Thai:
GWH28-DGCMP-P6RC4-6J4MT-3HFDY
ลอง copy เอาไป paste ดูก็ได้ครับ อาจจะใช้ได้
3. คลิก เลือก “เพิ่มหรือเอาคุณลักษณะออก (Add or Remove Features)”, คลิก “ถัดไป (Next)”
4. คลิกเติมเครื่องหมายถูกที่หน้าข้อความ “เลือกการกำหนดเองของโปรแกรมขั้นสูงประยุกต์ (Choose advanced customization of applications)”, คลิก “ถัดไป (Next)”
5. คลิกเครื่องหมาย + หน้าบรรทัด “คุณลักษณะที่ใช้ร่วมกันของ Office” (Office Shared Features)
6. คลิกเครื่องหมาย + หน้าบรรทัด “เครื่องมือพิสูจน์อักษร” (Proofreading)
7. คลิกเครื่องหมาย + หน้าบรรทัด “ไทย” (Thai)
8. คลิกที่เครื่องหมายสามเหลี่ยมหัวชี้ลงที่หน้าบรรทัด “การแปลอังกฤษ – ไทย”, คลิกบรรทัด “เรียกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของฉัน”, คลิก "ปรับปรุง"
9. หลังจากนี้โปรแกรมอาจจะสั่งให้เราทำอะไรอีกเล็กน้อย ก็ทำตามเขาไป เมื่อเสร็จแล้วเขาก็จะให้เรา Restart
10. เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่แล้ว ให้เปิดเอกสาร Word
11. คลิกขวาที่พื้นที่ว่าง ๆ ท้ายแถบ Menu Bar, คลิก Customize (กำหนดเอง)
12. ในด้านซ้ายให้คลิก All Commands (คำสั่งทั้งหมด), ในด้านขวาให้คลิก Translate (การแปล) 1 ครั้งและกดเมาส์ค้างไว้ และลากขึ้นไปวาง (ที่เรียกว่า drag & drop) ตรงไหนก็ได้ที่แถบ Menu Bar, และคลิก Close (ปิด)
13. ตรงที่ท่านลากไปวางนั้น ท่านจะเห็นเป็นตัว a เล็ก ๆ
วิธีใช้งาน (ใช้งานได้โดยไม่ต้องต่อเน็ต)
1. เปิดเอกสาร Word ภาษาอังกฤษที่ท่านต้องการอ่าน
2. highlight หรือ double click คำศัพท์อังกฤษที่ท่านต้องการทราบคำแปลเป็นภาษาไทย
3. คลิกที่ไอคอนรูปตัว a บน Menu Bar ที่ทำไว้เมื่อตะกี้ ก็จะเห็นคำแปลเป็นภาษาไทย (ถ้าแสดงครบจะมี 1. คำอ่าน 2. คำแปล 3.คำเหมือน 4.คำตรงกันข้าม 5.ประโยคตัวอย่าง)
[ในการใช้งานครั้งแรก ให้ท่านสังเกตใต้คำว่า Translation จะมีคำว่า Translate a word or sentence. From “English” และในช่องต่ำลงมาที่เขียนว่า “To” ให้ท่านคลิกเลือก “Thai” และในการใช้งานครั้งต่อ ๆ ไป ท่านทำตามข้อ 2 และ 3 ได้เลย โดยไม่ต้องทำตรงนี้]
4. หรือถ้าท่านต้องการทราบคำแปลศัพท์อังกฤษตัวอื่น ๆ ก็ให้ท่านคลิกที่ไอคอนรูปตัว a, และที่คอลัมน์ซ้ายมือในช่องใต้คำว่า Search for: ให้ท่านพิมพ์ศัพท์อังกฤษลงไป และ Enter ก็จะปรากฏคำแปลที่ด้านขวามือเช่นเดียวกัน
5. เมื่อทราบความหมายแล้ว เวลาจะปิด ก็ให้คลิกที่เครื่องหมายกากะบาดเหนือบรรทัด Translation
พอพิมพ์มาถึงบรรทัดนี้ ผมก็นึกถึงท่านที่ต้องอ่านรายงานหรือหนังสือที่เป็นเอกสาร Word หลาย ๆ หน้า ถ้าท่านมีดิกอังกฤษ – ไทยนี้ลงไว้ เวลาติดศัพท์ก็จะสะดวกมาก เพราะไม่ต้องพิมพ์คำศัพท์ด้วยซ้ำไป เพียงแค่ highlight (double click) และคลิกที่ตัว a บน Menu bar ก็ได้ความหมายที่ต้องการแล้ว เป็นการเปิดดิกที่รวดเร็วมาก
หมายเหตุ: คำแนะนำทั้งหมดข้างบนนี้ ผมได้ความรู้มาจากอาจารย์ต้น จึงขอขอบคุณอาจารย์ต้นไว้เป็นอย่างสูงครับ
และสำหรับท่านที่มีเอกสารที่ต้องอ่านเป็นไฟล์ pdf ก็ไม่ยากครับ เพียงแปลงไฟล์ pdf เป็นไฟล์ Word ก็สามารถใช้ดิกนี้ได้
วิธีการแปลง pdf เป็น Word ทำได้ง่ายมาก เชิญอ่านคำแนะนำที่นี่ครับ
[277]โปรแกรมแปลง pdf เป็น word,แปลง word เป็น pdf
ศึกษาเพิ่มเติม:
[129]ดิกอังกฤษ–อังกฤษ Encarta ที่มาพร้อมกับ WORD
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
สำหรับท่านที่ต้องการใช้ดิกชันนารี ไม่ว่าจะเป็นขณะต่อเน็ต (online) หรือไม่ได้ต่อเน็ต (offline) ในบล็อกนี้มีเว็บดิกให้ท่านใช้ฟรี online และมีโปรแกรมฟรีให้ท่านดาวน์โหลดลงเครื่องคอมฯของท่านเพื่อใช้ offline มีทั้งที่เป็นดิกชันนารีอังกฤษ – ไทย. ไทย – อังกฤษ และ อังกฤษ – อังกฤษ เชิญคลิกดูได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
1. รวม Search Box สุดยอด Dict.
2. ดาวน์โหลดดิกชันนารี ฟรี!
3. [845] ดาวน์โหลดโปรแกรมดิกชันนารี สอ เสถบุตร
4. พจนานุกรม dictionary
แต่ผมมาคิด ๆ ดูก็รู้สึกห่วงคนที่เน็ตช้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้อ่านที่อยู่ต่างจังหวัด เพราะถ้าเน็ตช้าหรือโค...ช้า ไม่ว่าจะใช้ online หรือดาวน์โหลดโปรแกรมมาใช้ offline ดูมันจะติดขัดไปหมด ทำให้ไม่อยากใช้มัน ก็เลยไม่ได้ใช้ของดีที่เขามีให้ใช้
เอาอย่างนี้แล้วกันครับ ผมมีทางออกให้ท่าน ก็คือว่า ผมแน่ใจว่าคอมฯทุกเครื่องที่ท่านใช้อยู่ขณะนี้ได้ลงโปรแกรม Microsoft Office เพื่อใช้พิมพ์งานไว้แล้ว และผมก็เดาเอาว่าส่วนใหญ่จะลง Thai Edition คอมฯ ตัวที่ผมใช้เป็น MS Office Thai Edition เวอร์ชั่น 2003 แต่บางท่านอาจจะใช้เวอร์ชั่นที่ใหม่กว่าคือ 2007
ท่านทราบหรือเปล่าครับว่า โปรแกรม Microsoft Office Thai Edition นั้น เขามีดิกชันนารีอังกฤษ – ไทยใส่ไว้ ท่านสามารถใช้ดิกที่ว่านี้ได้อย่างสะดวกสบายมาก และดิกนี้แสดงผลการค้นหาที่รวดเร็วมาก ๆ. เร็วกว่าดิก online-offline อีกหลายยี่ห้อ
แต่ถ้าคอมฯของท่านไม่มีดิกที่ว่านี้ ก็แสดงว่าคนที่เขา setup โปรแกรมนี้เขาไม่ได้เอาลงไว้ ท่านก็เลยไม่ได้ใช้มัน
ผมขอแนะนำให้ท่านลงโปรแกรมดิกชันนารีอังกฤษ – ไทยที่มากับแผ่น setup ของ Microsoft Office Thai Edition ไว้ในเครื่องของท่าน เพราะเป็นดิกที่ใช้ได้สะดวกมาก ๆ และไม่ทำให้เครื่องทำงานอืดลงอีกด้วย น่าใช้ครับ
ถ้าใกล้ตัวของท่านไม่มีแผ่น Setup ที่ว่านี้ ผมขอแนะนำให้ท่านไปขอยืมใครมาก็ได้ครับ (ไม่ต้องซื้อให้เสียตังค์) แต่ต้องเป็นเวอร์ชั่นที่ตรงกับ Microsoft Office Thai Edition ที่ท่านลงไว้ในเครื่องขณะนี้นะครับ คือต้องเป็นเวอร์ชั่น 2003 เหมือนกัน หรือเวอร์ชั่น 2007 เหมือนกัน
เมื่อได้มาแล้ว ให้ท่านทำตามขั้นตอนข้างล่างนี้ ไม่ยากหรอกครับ และเพียงไม่กี่นาที ท่านก็จะมีดิกชันนารีอังกฤษ – ไทย ไว้ใช้ประจำคอมฯ. ข้องใจศัพท์คำใดก็หาความหมายได้ทันที
และถ้าต้องการจะบอกเพื่อนก็เพียง print ข้อความต่อจากบรรทัดนี้ไปให้เพื่อน เป็นการช่วยเหลือกันครับ หรือถ้าท่านทำตามคำแนะนำนี้แล้วติดขัด เพื่อนของท่านอาจจะช่วยท่านได้ ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าได้เขียนคำแนะนำชัดเจนเพียงพอหรือยัง แต่ก็พยายามทำเต็มที่แล้วครับ อย่างไรก็ตามคนที่เป็นคอมฯอยู่บ้างเมื่ออ่านคำแนะนำนี้ก็น่าจะทำตามได้ หรือคนเก่ง ๆ อาจจะทำได้โดยไม่ต้องอ่านคำแนะนำด้วยซ้ำไป
คำแนะนำในการติดตั้งดิกชันนารีอังกฤษ – ไทยของ Microsoft Office Thai Edition ลงในเครื่องคอมฯ (เป็นคำแนะนำสำหรับ MS Office เวอร์ชั่น 2003 แต่สำหรับเวอร์ชั่น 2007 ก็น่าจะทำคล้าย ๆ กัน)
1. ใส่แผ่น Microsoft Office 2003 Thai Edition ในคอมฯ
2. เมื่อแผ่น auto run แล้ว คลิกไอคอน Setup Application
ขั้นตอนต่อจากนี้โปรแกรมอาจจะขอให้ท่านเติม CD Key ซึ่งมีบอกอยู่ในแผ่นนี้แหละ, ก็ให้ท่าน copy และ paste ลงไป
ผมไม่แน่ใจว่าแผ่นก็อปของท่านกับของผมมันเหมือนกันหรือเปล่า
แผ่นของผมมันเขียนไว้ว่า
serial for OFFICE11 Thai:
GWH28-DGCMP-P6RC4-6J4MT-3HFDY
ลอง copy เอาไป paste ดูก็ได้ครับ อาจจะใช้ได้
3. คลิก เลือก “เพิ่มหรือเอาคุณลักษณะออก (Add or Remove Features)”, คลิก “ถัดไป (Next)”
4. คลิกเติมเครื่องหมายถูกที่หน้าข้อความ “เลือกการกำหนดเองของโปรแกรมขั้นสูงประยุกต์ (Choose advanced customization of applications)”, คลิก “ถัดไป (Next)”
5. คลิกเครื่องหมาย + หน้าบรรทัด “คุณลักษณะที่ใช้ร่วมกันของ Office” (Office Shared Features)
6. คลิกเครื่องหมาย + หน้าบรรทัด “เครื่องมือพิสูจน์อักษร” (Proofreading)
7. คลิกเครื่องหมาย + หน้าบรรทัด “ไทย” (Thai)
8. คลิกที่เครื่องหมายสามเหลี่ยมหัวชี้ลงที่หน้าบรรทัด “การแปลอังกฤษ – ไทย”, คลิกบรรทัด “เรียกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของฉัน”, คลิก "ปรับปรุง"
9. หลังจากนี้โปรแกรมอาจจะสั่งให้เราทำอะไรอีกเล็กน้อย ก็ทำตามเขาไป เมื่อเสร็จแล้วเขาก็จะให้เรา Restart
10. เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่แล้ว ให้เปิดเอกสาร Word
11. คลิกขวาที่พื้นที่ว่าง ๆ ท้ายแถบ Menu Bar, คลิก Customize (กำหนดเอง)
12. ในด้านซ้ายให้คลิก All Commands (คำสั่งทั้งหมด), ในด้านขวาให้คลิก Translate (การแปล) 1 ครั้งและกดเมาส์ค้างไว้ และลากขึ้นไปวาง (ที่เรียกว่า drag & drop) ตรงไหนก็ได้ที่แถบ Menu Bar, และคลิก Close (ปิด)
13. ตรงที่ท่านลากไปวางนั้น ท่านจะเห็นเป็นตัว a เล็ก ๆ
วิธีใช้งาน (ใช้งานได้โดยไม่ต้องต่อเน็ต)
1. เปิดเอกสาร Word ภาษาอังกฤษที่ท่านต้องการอ่าน
2. highlight หรือ double click คำศัพท์อังกฤษที่ท่านต้องการทราบคำแปลเป็นภาษาไทย
3. คลิกที่ไอคอนรูปตัว a บน Menu Bar ที่ทำไว้เมื่อตะกี้ ก็จะเห็นคำแปลเป็นภาษาไทย (ถ้าแสดงครบจะมี 1. คำอ่าน 2. คำแปล 3.คำเหมือน 4.คำตรงกันข้าม 5.ประโยคตัวอย่าง)
[ในการใช้งานครั้งแรก ให้ท่านสังเกตใต้คำว่า Translation จะมีคำว่า Translate a word or sentence. From “English” และในช่องต่ำลงมาที่เขียนว่า “To” ให้ท่านคลิกเลือก “Thai” และในการใช้งานครั้งต่อ ๆ ไป ท่านทำตามข้อ 2 และ 3 ได้เลย โดยไม่ต้องทำตรงนี้]
4. หรือถ้าท่านต้องการทราบคำแปลศัพท์อังกฤษตัวอื่น ๆ ก็ให้ท่านคลิกที่ไอคอนรูปตัว a, และที่คอลัมน์ซ้ายมือในช่องใต้คำว่า Search for: ให้ท่านพิมพ์ศัพท์อังกฤษลงไป และ Enter ก็จะปรากฏคำแปลที่ด้านขวามือเช่นเดียวกัน
5. เมื่อทราบความหมายแล้ว เวลาจะปิด ก็ให้คลิกที่เครื่องหมายกากะบาดเหนือบรรทัด Translation
พอพิมพ์มาถึงบรรทัดนี้ ผมก็นึกถึงท่านที่ต้องอ่านรายงานหรือหนังสือที่เป็นเอกสาร Word หลาย ๆ หน้า ถ้าท่านมีดิกอังกฤษ – ไทยนี้ลงไว้ เวลาติดศัพท์ก็จะสะดวกมาก เพราะไม่ต้องพิมพ์คำศัพท์ด้วยซ้ำไป เพียงแค่ highlight (double click) และคลิกที่ตัว a บน Menu bar ก็ได้ความหมายที่ต้องการแล้ว เป็นการเปิดดิกที่รวดเร็วมาก
หมายเหตุ: คำแนะนำทั้งหมดข้างบนนี้ ผมได้ความรู้มาจากอาจารย์ต้น จึงขอขอบคุณอาจารย์ต้นไว้เป็นอย่างสูงครับ
และสำหรับท่านที่มีเอกสารที่ต้องอ่านเป็นไฟล์ pdf ก็ไม่ยากครับ เพียงแปลงไฟล์ pdf เป็นไฟล์ Word ก็สามารถใช้ดิกนี้ได้
วิธีการแปลง pdf เป็น Word ทำได้ง่ายมาก เชิญอ่านคำแนะนำที่นี่ครับ
[277]โปรแกรมแปลง pdf เป็น word,แปลง word เป็น pdf
ศึกษาเพิ่มเติม:
[129]ดิกอังกฤษ–อังกฤษ Encarta ที่มาพร้อมกับ WORD
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[877] คำคม - สุภาษิต อังกฤษเทียบภาษาไทย
สวัสดีครับ
ของฝากสำหรับท่านที่ชอบคำคม - สุภาษิต อังกฤษเทียบภาษาไทย เชิญข้างล่างนี้ครับ
คำคม, สุภาษิต (อังกฤษ-ไทย)
คำคม คารมรัก (อังกฤษ-ไทย)
ลิงค์เดิมที่เคยรวบรวมไว้
[19] สำนวน-คำพังเพย ไทย เทียบ อังกฤษ
[336] สุภาษิต อังกฤษ - ไทย ชุมนุมอยู่ที่นี่ครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ของฝากสำหรับท่านที่ชอบคำคม - สุภาษิต อังกฤษเทียบภาษาไทย เชิญข้างล่างนี้ครับ
คำคม, สุภาษิต (อังกฤษ-ไทย)
คำคม คารมรัก (อังกฤษ-ไทย)
ลิงค์เดิมที่เคยรวบรวมไว้
[19] สำนวน-คำพังเพย ไทย เทียบ อังกฤษ
[336] สุภาษิต อังกฤษ - ไทย ชุมนุมอยู่ที่นี่ครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[876] ถาม – ตอบ ภาษาอังกฤษ โดย ดร.สิระ สุทธิคำ
แนะนำลิงค์เพิ่ม:
Top 10 Websites เพื่อฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษ
http://www.englishthailand.com/?p=24
สวัสดีครับ
ผมไปพบบทความถาม- ตอบ ภาษาอังกฤษ โดย ดร.สิระ สุทธิคำ เห็นว่ามีเนื้อหาสาระน่าสนใจ เลยเอามาฝาก ข้างล่างนี้ครับ และขอขอบคุณ ดร.สิระ สุทธิคำ เป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
http://www.englishthailand.com/?page_id=34
http://www.toeflthailand.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=581516&Ntype=7
(เลื่อนลงไปข้างล่างจนถึงคำว่า Newsletter)
เพิ่มเติม: ถาม- ตอบ ภาษาอังกฤษ โดย วงศ์ วรรธนพิเชฐ
http://www.dicthai.com/dt_qa.php
ศึกษาเว็บถาม – ตอบ อื่น ๆ:
คอลัมน์ให้ความรู้ พูดคุย ถาม-ตอบ ภาษาอังกฤษ
แถม:
-คำศัพท์ภาษาอังกฤษ
-เด็กดีดอทคอม > Writer > รวมคำศัพท์ ภาษาอังกฤษในหมวดต่างๆ
-Bloggang.com : penlove : คำศัพท์ภาษาอังกฤษ หมวดคำศัพท์สัตว์ต่าง
-รวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษ - หน้าแรกเว็บบอร์ด
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
Top 10 Websites เพื่อฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษ
http://www.englishthailand.com/?p=24
สวัสดีครับ
ผมไปพบบทความถาม- ตอบ ภาษาอังกฤษ โดย ดร.สิระ สุทธิคำ เห็นว่ามีเนื้อหาสาระน่าสนใจ เลยเอามาฝาก ข้างล่างนี้ครับ และขอขอบคุณ ดร.สิระ สุทธิคำ เป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
http://www.englishthailand.com/?page_id=34
http://www.toeflthailand.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=581516&Ntype=7
(เลื่อนลงไปข้างล่างจนถึงคำว่า Newsletter)
เพิ่มเติม: ถาม- ตอบ ภาษาอังกฤษ โดย วงศ์ วรรธนพิเชฐ
http://www.dicthai.com/dt_qa.php
ศึกษาเว็บถาม – ตอบ อื่น ๆ:
คอลัมน์ให้ความรู้ พูดคุย ถาม-ตอบ ภาษาอังกฤษ
แถม:
-คำศัพท์ภาษาอังกฤษ
-เด็กดีดอทคอม > Writer > รวมคำศัพท์ ภาษาอังกฤษในหมวดต่างๆ
-Bloggang.com : penlove : คำศัพท์ภาษาอังกฤษ หมวดคำศัพท์สัตว์ต่าง
-รวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษ - หน้าแรกเว็บบอร์ด
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[875] "ประโยคเด็ด – เคล็ดลับการเขียนอีเมล"
สวัสดีครับ
ผมไปพบบทความของ “ครูเฟียต” ซึ่งว่าด้วย ประโยคเด็ด – เคล็ดลับการเขียนอีเมล มีเนื้อหาน่าสนใจเลยเอามาฝาก ข้างล่างนี้ ต้องขอขอบคุณครูเฟียตไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
- จำ “รูปประโยคเด็ด” เอาไว้เป็นเคล็ดลับในการเขียน E-mail เป็นภาษาอังกฤษ
- จำรูปประโยคเด็ด เป็นเคล็ดลับเอาไว้เขียน E-mail ภาษาอังกฤษ (ตอน 2)
- เฉลยคำถามเกี่ยวกับการเขียน email
หรือดาวน์โหลดทั้ง 3 บทความที่นี่ก็ได้ครับ คลิก
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ผมไปพบบทความของ “ครูเฟียต” ซึ่งว่าด้วย ประโยคเด็ด – เคล็ดลับการเขียนอีเมล มีเนื้อหาน่าสนใจเลยเอามาฝาก ข้างล่างนี้ ต้องขอขอบคุณครูเฟียตไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
- จำ “รูปประโยคเด็ด” เอาไว้เป็นเคล็ดลับในการเขียน E-mail เป็นภาษาอังกฤษ
- จำรูปประโยคเด็ด เป็นเคล็ดลับเอาไว้เขียน E-mail ภาษาอังกฤษ (ตอน 2)
- เฉลยคำถามเกี่ยวกับการเขียน email
หรือดาวน์โหลดทั้ง 3 บทความที่นี่ก็ได้ครับ คลิก
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[874] ดาวน์โหลดตำราภาษาอังกฤษ 100 เล่ม (ไฟล์ pdf)
สวัสดีครับ
คุณจันทนา ขวัญแก้วได้กรุณาแจ้งลิงค์นี้
http://www.elan.com.mx/material/PDF/
ซึ่งท่านสามารถดาวน์โหลดตำราภาษาอังกฤษประมาณ 100 เล่ม เป็นไฟล์ pdf บางเล่มซ้ำกับที่ผมเคยแนะนำไปแล้วในบล็อกนี้ แต่หลายเล่มก็เป็นเล่มใหม่ยังไม่เคยแนะนำ แต่ดู ๆ แล้วน่าสนใจทั้งนั้นเลย
ขอขอบคุณคุณจันทนามากนะครับ
******
หมายเหตุ 21 สิงหาคม 2553:
รู้สึกว่า ลิงค์ที่ให้ไว้ข้างบน คือ http://www.elan.com.mx/material/PDF/ เสียแล้ว
ผมพยายามหาดู เข้าใจว่า หนังสือที่ให้ดาวน์โหลดในลิงค์ข้างบน มีรายชื่ออยู่ในลิงค์นี้
http://web.archive.org/web/20080802001914/http://www.elan.com.mx/material/PDF/
ถ้าท่านต้องการดาวน์โหลดหนังสือเล่มใด ให copy ชื่อหนังสือ และเอาไป paste ในช่อง search ของเว็บนี้
http://www.filestube.com/
ในหน้าแสดงผลนั้น อย่าไปคลิกที่บรรทัดเดี่ยว 3 บรรทัดแรก
ให้คลิกที่บรรทัดถัดจากนั้น และตามการดาวน์โหลดไปเรื่อย ๆ ถ้าโชคดีก็คงดาวน์โหลดหนังสือที่ท่านต้องการได้
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
คุณจันทนา ขวัญแก้วได้กรุณาแจ้งลิงค์นี้
http://www.elan.com.mx/material/PDF/
ซึ่งท่านสามารถดาวน์โหลดตำราภาษาอังกฤษประมาณ 100 เล่ม เป็นไฟล์ pdf บางเล่มซ้ำกับที่ผมเคยแนะนำไปแล้วในบล็อกนี้ แต่หลายเล่มก็เป็นเล่มใหม่ยังไม่เคยแนะนำ แต่ดู ๆ แล้วน่าสนใจทั้งนั้นเลย
ขอขอบคุณคุณจันทนามากนะครับ
******
หมายเหตุ 21 สิงหาคม 2553:
รู้สึกว่า ลิงค์ที่ให้ไว้ข้างบน คือ http://www.elan.com.mx/material/PDF/ เสียแล้ว
ผมพยายามหาดู เข้าใจว่า หนังสือที่ให้ดาวน์โหลดในลิงค์ข้างบน มีรายชื่ออยู่ในลิงค์นี้
http://web.archive.org/web/20080802001914/http://www.elan.com.mx/material/PDF/
ถ้าท่านต้องการดาวน์โหลดหนังสือเล่มใด ให copy ชื่อหนังสือ และเอาไป paste ในช่อง search ของเว็บนี้
http://www.filestube.com/
ในหน้าแสดงผลนั้น อย่าไปคลิกที่บรรทัดเดี่ยว 3 บรรทัดแรก
ให้คลิกที่บรรทัดถัดจากนั้น และตามการดาวน์โหลดไปเรื่อย ๆ ถ้าโชคดีก็คงดาวน์โหลดหนังสือที่ท่านต้องการได้
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[873]อ่าน text+ดาวน์โหลด mp3 นิทานอีสป 284 เรื่อง
สวัสดีครับ
วันก่อนผมได้เขียนหัวข้อ [871] ดาวน์โหลดหนังสือภาพนิทานอีสป ซึ่งมีเว็บนิทานอีสปทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย มีที่แปลเทียบอังกฤษ/ไทย และที่มีรูปภาพประกอบ ท่านจะใช้ขณะต่อเน็ตหรือดาวน์โหลดเก็บไว้อ่านหลาย ๆ ครั้งก็ได้
วันนี้ผมมีของใหม่มาเสนอครับ คือ เป็นนิทานอีสปอีกเช่นกัน แต่เพิ่มเติม คือ มีทั้ง text ให้อ่านและ mp3 ให้ฟังและดาวน์โหลด ตามข้างล่างนี้ครับ
1. ดาวน์โหลดหนังสือนิทานอีสปภาษาอังกฤษ 284 เรื่อง DOWNLOAD
2. ถ้าต้องการอ่านชื่อเรื่องของนิทานตอนนี้เลย ก็คลิกที่นี่ครับ นิทานอีสป 284 เรื่อง
3. ในนิทานทั้งหมด 284 เรื่องนี้ เขาทำเป็น audio book จำนวน 12 เล่ม ๆ ละ 25 เรื่อง ยกเว้นเล่มสุดท้าย มีเพียง 9 เรื่อง
= ท่านสามารถคลิกเข้าไปเพื่อฟัง online ขณะต่อเน็ต โดยเมื่อท่านคลิกเข้าไปที่เว็บ Aesop's Fables, Volume X (Fables XX - XX)แล้ว ให้ดูที่บรรทัดแรกสุดของสี่เหลี่ยมสีดำด้านขวามือ และคลิกที่ปุ่มสามเหลี่ยมเพื่อ Play จะมีเสียงอ่าน mp3 ไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เรื่องแรกไปจนถึงเรื่องสุดท้าย ท่านสามารถฟัง mp3 พร้อมไปกับการดู text ก็ได้ ( DOWNLOAD text)
=หรือจะดาวน์โหลดไฟล์ mp3 เก็บไว้ฟังเพื่อการศึกษาประกอบการอ่าน text ก็ได้ โดยที่ข้างล่างนี้ให้ท่านคลิกขวาที่ XX MB, คลิกซ้าย Save Target As.., หาที่ Save]
เล่มที่ 1 Aesop's Fables, Volume 1 (Fables 1-25)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 22 MB
เล่มที่ 2 Aesop's Fables, Volume 2 (Fables 26-50)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 16 MB
เล่มที่ 3 Aesop's Fables, Volume 3 (Fables 51-75)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 14 MB
เล่มที่ 4 Aesop's Fables, Volume 4 (Fables 76-100)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 14 MB
เล่มที่ 5 Aesop's Fables, Volume 5 (Fables 101-125)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 16 MB
เล่มที่ 6 Aesop's Fables, Volume 6 (Fables 126-150)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 15 MB
เล่มที่ 7 Aesop's Fables, Volume 7 (Fables 151-175)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 16 MB
เล่มที่ 8 Aesop's Fables, Volume 8 (Fables 176-200)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 15 MB
เล่มที่ 9 Aesop's Fables, Volume 9 (Fables 201-225)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 15 MB
เล่มที่ 10 Aesop's Fables, Volume 10 (Fables 226-250)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 16 MB
เล่มที่ 11 Aesop's Fables, Volume 11 (Fables 251-275)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 17 MB
เล่มที่ 12 Aesop's Fables, Volume 12 (Fables 276-284)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 5.5 MB
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันก่อนผมได้เขียนหัวข้อ [871] ดาวน์โหลดหนังสือภาพนิทานอีสป ซึ่งมีเว็บนิทานอีสปทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย มีที่แปลเทียบอังกฤษ/ไทย และที่มีรูปภาพประกอบ ท่านจะใช้ขณะต่อเน็ตหรือดาวน์โหลดเก็บไว้อ่านหลาย ๆ ครั้งก็ได้
วันนี้ผมมีของใหม่มาเสนอครับ คือ เป็นนิทานอีสปอีกเช่นกัน แต่เพิ่มเติม คือ มีทั้ง text ให้อ่านและ mp3 ให้ฟังและดาวน์โหลด ตามข้างล่างนี้ครับ
1. ดาวน์โหลดหนังสือนิทานอีสปภาษาอังกฤษ 284 เรื่อง DOWNLOAD
2. ถ้าต้องการอ่านชื่อเรื่องของนิทานตอนนี้เลย ก็คลิกที่นี่ครับ นิทานอีสป 284 เรื่อง
3. ในนิทานทั้งหมด 284 เรื่องนี้ เขาทำเป็น audio book จำนวน 12 เล่ม ๆ ละ 25 เรื่อง ยกเว้นเล่มสุดท้าย มีเพียง 9 เรื่อง
= ท่านสามารถคลิกเข้าไปเพื่อฟัง online ขณะต่อเน็ต โดยเมื่อท่านคลิกเข้าไปที่เว็บ Aesop's Fables, Volume X (Fables XX - XX)แล้ว ให้ดูที่บรรทัดแรกสุดของสี่เหลี่ยมสีดำด้านขวามือ และคลิกที่ปุ่มสามเหลี่ยมเพื่อ Play จะมีเสียงอ่าน mp3 ไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เรื่องแรกไปจนถึงเรื่องสุดท้าย ท่านสามารถฟัง mp3 พร้อมไปกับการดู text ก็ได้ ( DOWNLOAD text)
=หรือจะดาวน์โหลดไฟล์ mp3 เก็บไว้ฟังเพื่อการศึกษาประกอบการอ่าน text ก็ได้ โดยที่ข้างล่างนี้ให้ท่านคลิกขวาที่ XX MB, คลิกซ้าย Save Target As.., หาที่ Save]
เล่มที่ 1 Aesop's Fables, Volume 1 (Fables 1-25)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 22 MB
เล่มที่ 2 Aesop's Fables, Volume 2 (Fables 26-50)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 16 MB
เล่มที่ 3 Aesop's Fables, Volume 3 (Fables 51-75)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 14 MB
เล่มที่ 4 Aesop's Fables, Volume 4 (Fables 76-100)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 14 MB
เล่มที่ 5 Aesop's Fables, Volume 5 (Fables 101-125)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 16 MB
เล่มที่ 6 Aesop's Fables, Volume 6 (Fables 126-150)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 15 MB
เล่มที่ 7 Aesop's Fables, Volume 7 (Fables 151-175)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 16 MB
เล่มที่ 8 Aesop's Fables, Volume 8 (Fables 176-200)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 15 MB
เล่มที่ 9 Aesop's Fables, Volume 9 (Fables 201-225)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 15 MB
เล่มที่ 10 Aesop's Fables, Volume 10 (Fables 226-250)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 16 MB
เล่มที่ 11 Aesop's Fables, Volume 11 (Fables 251-275)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 17 MB
เล่มที่ 12 Aesop's Fables, Volume 12 (Fables 276-284)
คลิกดาวน์โหลด mp3 ขนาด 5.5 MB
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[872] แหล่งค้นหาข้อมูลของผม
สวัสดีครับ
หากมีบางท่านที่สงสัยว่า ผมไปเอาข้อมูลจากไหนตั้งเยอะแยะมาแนะนำท่านผู้อ่าน ผมก็ขอตอบว่าก็อาศัย Search Engine http://www.google.com/ นี่แหละครับช่วยหา
แต่ถ้าถามใหม่ว่า มีเว็บใดบ้างที่ผมเข้าไปบ่อย ๆ เพื่อหาเว็บ ลิงค์ และข้อมูลมาเสิร์ฟท่านผู้อ่าน ผมก็ขอนำเว็บเหล่านั้นมาแสดงข้างล่างนี้
ผมขอเชิญชวนให้ทุกท่านลองเข้าไปค้นหาดู อาจพบอะไรที่ถูกใจท่านมากกว่าสิ่งที่ผมเอามาเสนอก็เป็นได้ครับ
http://www.4shared.com/
http://www.scribd.com/ ต้อง register ก่อน
http://www.archive.org/index.php
English as a Second Language ของ Google
http://en.wikipedia.org/wiki/Main_Page
http://www.answers.com/
http://www.youtube.com/
http://www.eslpod.com/website/
http://th.wikipedia.org/
http://guru.sanook.com/dictionary/
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
หากมีบางท่านที่สงสัยว่า ผมไปเอาข้อมูลจากไหนตั้งเยอะแยะมาแนะนำท่านผู้อ่าน ผมก็ขอตอบว่าก็อาศัย Search Engine http://www.google.com/ นี่แหละครับช่วยหา
แต่ถ้าถามใหม่ว่า มีเว็บใดบ้างที่ผมเข้าไปบ่อย ๆ เพื่อหาเว็บ ลิงค์ และข้อมูลมาเสิร์ฟท่านผู้อ่าน ผมก็ขอนำเว็บเหล่านั้นมาแสดงข้างล่างนี้
ผมขอเชิญชวนให้ทุกท่านลองเข้าไปค้นหาดู อาจพบอะไรที่ถูกใจท่านมากกว่าสิ่งที่ผมเอามาเสนอก็เป็นได้ครับ
http://www.4shared.com/
http://www.scribd.com/ ต้อง register ก่อน
http://www.archive.org/index.php
English as a Second Language ของ Google
http://en.wikipedia.org/wiki/Main_Page
http://www.answers.com/
http://www.youtube.com/
http://www.eslpod.com/website/
http://th.wikipedia.org/
http://guru.sanook.com/dictionary/
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[871] ดาวน์โหลดหนังสือภาพนิทานอีสป
สวัสดีครับ
ผมได้รวบรวมนิทานอีสปทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยไว้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ คิดว่ามีมากเพียงพอสำหรับท่านที่ต้องการอ่าน
[847]นิทานอีสปแปลไทยเทียบอังกฤษ(บรรทัดต่อบรรทัด)
[136] อ่านนิทานอีสป ไทย – อังกฤษ
http://aesop.planetnull.com/
และให้ดาวน์โหลดเพิ่มอีก 2 เล่มคือ
[1] อีสปเล่ม 1
[2] อีสปเล่ม 2
สำหรับเล่มที่ [2] นี้ เมื่อท่านดาวน์โหลดเสร็จแล้วให้แตกไฟล์ zip, และคลิกเข้าไปเรื่อย ๆ จนถึงสุดท้ายให้คลิกที่ไฟล์ “11339-h” ก็จะถึงหน้านิทานอีสป
หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย
1. INTRODUCTION คำนำ
2. CONTENTS สารบัญชื่อเรื่องนิทาน
3. ให้ท่านเลื่อนลงมาถึง “LIST OF ILLUSTRATIONS” ซึ่งจะมี
- “IN COLOUR” เรื่องที่มีภาพสีประกอบ
- “IN BLACK AND WHITE” เรื่องที่มีภาพขาว-ดำประกอบ
เมื่อท่าน double click ที่ภาพ ก็จะขยายขนาดของภาพให้ใหญ่ขึ้น
อ่านประวัติอีสป
ภาษาไทย
ภาษาอังกฤษ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ผมได้รวบรวมนิทานอีสปทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยไว้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ คิดว่ามีมากเพียงพอสำหรับท่านที่ต้องการอ่าน
[847]นิทานอีสปแปลไทยเทียบอังกฤษ(บรรทัดต่อบรรทัด)
[136] อ่านนิทานอีสป ไทย – อังกฤษ
http://aesop.planetnull.com/
และให้ดาวน์โหลดเพิ่มอีก 2 เล่มคือ
[1] อีสปเล่ม 1
[2] อีสปเล่ม 2
สำหรับเล่มที่ [2] นี้ เมื่อท่านดาวน์โหลดเสร็จแล้วให้แตกไฟล์ zip, และคลิกเข้าไปเรื่อย ๆ จนถึงสุดท้ายให้คลิกที่ไฟล์ “11339-h” ก็จะถึงหน้านิทานอีสป
หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย
1. INTRODUCTION คำนำ
2. CONTENTS สารบัญชื่อเรื่องนิทาน
3. ให้ท่านเลื่อนลงมาถึง “LIST OF ILLUSTRATIONS” ซึ่งจะมี
- “IN COLOUR” เรื่องที่มีภาพสีประกอบ
- “IN BLACK AND WHITE” เรื่องที่มีภาพขาว-ดำประกอบ
เมื่อท่าน double click ที่ภาพ ก็จะขยายขนาดของภาพให้ใหญ่ขึ้น
อ่านประวัติอีสป
ภาษาไทย
ภาษาอังกฤษ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[870] test แกรมมาร์ & vocab ตามความเก่งของเรา
สวัสดีครับ
ผมไปพบเว็บหนึ่ง เขามีแบบทดสอบ grammar และ vocabulary ให้เหมาะกับความสามารถของเรา คือเมื่อเราทำ test:
-ถ้าทำถูก เขาจะบอกว่า CORRECT
-ถ้าทำผิดบ่อย ๆ เขาจะเอาข้อสอบข้อเดิมมาให้เราทำซ้ำ และเปลี่ยนเอาข้อสอบใน level ที่ต่ำกว่ามาให้เราทำ
-แต่ถ้าทำถูกบ่อย ๆ เขาจะเอาข้อสอบใน level ที่สูงกว่ามาให้เราทำ
- ข้อสอบ Grammar มี 5 Level, ส่วนข้อสอบ vocabulary มี 60 level รวมประมาณ 12,000 คำศัพท์
คลิกหน้านี้เพื่อเล่น http://freerice.com/category
เมื่อเข้าไปแล้ว...
ถ้าจะทดสอบคำศัพท์ให้คลิก English Vocabulary
ถ้าจะทำแกรมมาร์ให้คลิก English Grammar
ขณะที่กำลังเล่น...
-ถ้าต้องการฟังคำอ่านของศัพท์คำต้น ก็คลิกที่รูปลำโพงขวามือ
[ถ้าท่านใช้ Browser IE และคลิกแล้วไม่มีเสียง ลองใช้ google_chrome หรือ firefox แล้วกันครับ น่าจะมีเสียง]
-ให้สังเกตว่าเมื่อทำข้อสอบไปเรื่อย ๆ ที่บรรทัดล่างจะมีข้อความตามตัวอย่างข้างล่างนี้
Level: … คือบอกว่าความยากของ level ที่เรากำลังทำเป็น level ที่เท่าไร
Best Level: … คือ level ที่เราทำได้ดีที่สุดเป็น level ที่เท่าไร
Change Level คือถ้าต้องการจะเปลี่ยน Level ด้วยตนเองก็คลิกที่นี่
Re-Start ถ้าต้องการจะเริ่มต้นทำใหม่ก็คลิกที่นี่
ถ้าต้องการทำวิชาอื่น ๆ ก็คลิกที่นี่
http://freerice.com/category
ต้องการทราบรายละเอียดอื่น ๆ ของเว็บนี้ คลิกที่นี่
http://freerice.com/about/faq
เข้ามาเล่นเว็บนี้บ่อย ๆ ท่านจะเก่ง vocab และ grammar ขึ้นโดยไม่รู้ตัว อย่างที่ผมบอกแล้ว เขาจะจัดข้อสอบมา Test ให้เหมาะสมกับความสามารถของเรา ถ้าเราทำผิด เขาก็จะเอาข้อสอบที่เราทำผิดนั้นมาให้เราทำซ้ำ จนเราจำได้ และทำถูกต้อง และเขาก็จะเอาข้อสอบที่สูงขึ้น – ยากขี้นมาให้เราทำ เหมือนให้เราขึ้นบันไดทีละขั้น ๆ ถ้าเราทำไปเรื่อย ๆ ก็จะทำได้ดีขึ้น – สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
เว็บนี้น่าสนใจทีเดียวครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
ผมไปพบเว็บหนึ่ง เขามีแบบทดสอบ grammar และ vocabulary ให้เหมาะกับความสามารถของเรา คือเมื่อเราทำ test:
-ถ้าทำถูก เขาจะบอกว่า CORRECT
-ถ้าทำผิดบ่อย ๆ เขาจะเอาข้อสอบข้อเดิมมาให้เราทำซ้ำ และเปลี่ยนเอาข้อสอบใน level ที่ต่ำกว่ามาให้เราทำ
-แต่ถ้าทำถูกบ่อย ๆ เขาจะเอาข้อสอบใน level ที่สูงกว่ามาให้เราทำ
- ข้อสอบ Grammar มี 5 Level, ส่วนข้อสอบ vocabulary มี 60 level รวมประมาณ 12,000 คำศัพท์
คลิกหน้านี้เพื่อเล่น http://freerice.com/category
เมื่อเข้าไปแล้ว...
ถ้าจะทดสอบคำศัพท์ให้คลิก English Vocabulary
ถ้าจะทำแกรมมาร์ให้คลิก English Grammar
ขณะที่กำลังเล่น...
-ถ้าต้องการฟังคำอ่านของศัพท์คำต้น ก็คลิกที่รูปลำโพงขวามือ
[ถ้าท่านใช้ Browser IE และคลิกแล้วไม่มีเสียง ลองใช้ google_chrome หรือ firefox แล้วกันครับ น่าจะมีเสียง]
-ให้สังเกตว่าเมื่อทำข้อสอบไปเรื่อย ๆ ที่บรรทัดล่างจะมีข้อความตามตัวอย่างข้างล่างนี้
Level: … คือบอกว่าความยากของ level ที่เรากำลังทำเป็น level ที่เท่าไร
Best Level: … คือ level ที่เราทำได้ดีที่สุดเป็น level ที่เท่าไร
Change Level คือถ้าต้องการจะเปลี่ยน Level ด้วยตนเองก็คลิกที่นี่
Re-Start ถ้าต้องการจะเริ่มต้นทำใหม่ก็คลิกที่นี่
ถ้าต้องการทำวิชาอื่น ๆ ก็คลิกที่นี่
http://freerice.com/category
ต้องการทราบรายละเอียดอื่น ๆ ของเว็บนี้ คลิกที่นี่
http://freerice.com/about/faq
เข้ามาเล่นเว็บนี้บ่อย ๆ ท่านจะเก่ง vocab และ grammar ขึ้นโดยไม่รู้ตัว อย่างที่ผมบอกแล้ว เขาจะจัดข้อสอบมา Test ให้เหมาะสมกับความสามารถของเรา ถ้าเราทำผิด เขาก็จะเอาข้อสอบที่เราทำผิดนั้นมาให้เราทำซ้ำ จนเราจำได้ และทำถูกต้อง และเขาก็จะเอาข้อสอบที่สูงขึ้น – ยากขี้นมาให้เราทำ เหมือนให้เราขึ้นบันไดทีละขั้น ๆ ถ้าเราทำไปเรื่อย ๆ ก็จะทำได้ดีขึ้น – สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
เว็บนี้น่าสนใจทีเดียวครับ
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[869] video-mp3 ฟัง-ออกเสียง-สนทนา ภาษาอังกฤษ
สวัสดีครับ
ในโลกอินเตอร์เน็ตนี่นะครับ มีแหล่งให้เราเรียนรู้ฝึกฝนพัฒนาทักษะการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ภาษาอังกฤษ มากมายไม่รู้จบจริง ๆ และก็ไม่ต้องเสียเงินด้วย อยู่ที่เราจะเอาจริงหรือไม่เท่านั้นเอง เว็บข้างล่างนี้คือตัวอย่างครับ
[1] วีดิโอฝึกออกเสียง สนทนา ภาษาอังกฤษ
http://www.englishmeeting.com/esl_video_lessons_page.htm
[2] mp3 ฝึกการฟังภาษาอังกฤษ
A=ระดับต้น B=ระดับกลาง C=ระดับสูง
สามารถดาวน์โหลดไฟล์ mp3 ได้โดย คลิกขวาที่ download mp3 file, คลิกซ้าย save Target As…
http://www.englishmeeting.com/esl_podcast_page.htm
[3] ชม video และฟัง audio mp3 เพื่อการฝึกภาษาอังกฤษ อีกมากมายที่นี่
http://www.englishmeeting.com/resources.htm
http://www.youtube.com/user/kibishipaul
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ในโลกอินเตอร์เน็ตนี่นะครับ มีแหล่งให้เราเรียนรู้ฝึกฝนพัฒนาทักษะการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ภาษาอังกฤษ มากมายไม่รู้จบจริง ๆ และก็ไม่ต้องเสียเงินด้วย อยู่ที่เราจะเอาจริงหรือไม่เท่านั้นเอง เว็บข้างล่างนี้คือตัวอย่างครับ
[1] วีดิโอฝึกออกเสียง สนทนา ภาษาอังกฤษ
http://www.englishmeeting.com/esl_video_lessons_page.htm
[2] mp3 ฝึกการฟังภาษาอังกฤษ
A=ระดับต้น B=ระดับกลาง C=ระดับสูง
สามารถดาวน์โหลดไฟล์ mp3 ได้โดย คลิกขวาที่ download mp3 file, คลิกซ้าย save Target As…
http://www.englishmeeting.com/esl_podcast_page.htm
[3] ชม video และฟัง audio mp3 เพื่อการฝึกภาษาอังกฤษ อีกมากมายที่นี่
http://www.englishmeeting.com/resources.htm
http://www.youtube.com/user/kibishipaul
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[868] อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นภาษาอังกฤษ
สวัสดีครับ
ผมเคยแนะนำไว้ในบทความข้างล่างนี้
-อ่าน นสพ.-ฟังวิทยุ-ดูทีวี ทั่วโลกจากเน็ต
-ท่องเที่ยวไปในโลกทำได้หลายวิธี
-ลิงค์ “ข่าว”
ว่า การอ่านหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ในแต่ละประเทศมีประโยชน์อยู่หลายประการ เช่น
1. ทำให้เราไม่ถูกป้อนข้อมูลและความเห็น (news และ view) จากสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ เช่น BBC หรือ CNN เพียงอย่างเดียว
2. ทำให้เราได้รับข้อมูลและความเห็นที่อาจจะแตกต่างออกไป เช่น ข้อมูลที่แต่ละประเทศมองประเทศของเขาเอง มองประเทศมหาอำนาจตะวันตก หรือข้อมูล-ความเห็นที่มีต่อประเทศไทย
ผมมาคิด ๆ ดู บางทีก็รู้สึกแปลกที่เรารู้จักเรื่องราวที่เกิดขึ้นในลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม น้อยมาก น้อยกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษ และเป็นการรู้ผ่านการรายงานข่าวของสำนักข่าวตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ อาจจะเป็นเพราะเราเข้าถึงแหล่งข่าวตะวันตกได้ง่าย เราก็เลยไม่ค่อยจะสนใจที่จะหาข่าวจากแหล่งอื่นที่เข้าถึงได้ยากกว่า
เว็บที่ผมแนะนำไว้ข้างบน มีหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่ตีพิมพ์ในแต่ละประเทศให้ท่านได้เลือกอ่าน เมื่อเข้าไปและเลือกได้เล่มใดแล้ว ทำ Favorite ไว้เลยก็ดีครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาอีก
ในหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ บทความแสดงความเห็นที่สำคัญที่สุดคือ บทบรรณาธิการ หรือ editorial ถ้าหาได้ก็ควรจะหาอ่านก่อนบทความอื่น
และถ้าท่านต้องการอ่านความหรือความเห็นที่เขาลงพิมพ์เกี่ยวกับประเทศไทย ก็ให้หาช่อง Search แล้วพิมพ์คำว่า Thai หรือ Thailand หรือ Bangkok ลงไป
การอ่านข่าวภาษาอังกฤษจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น อาจจะอ่านยากกว่าหนังสือพิมพ์ Bangkok Post หรือ The Nation นิดหน่อย เพราะอาจจะเป็นเรื่องที่เราไม่ค่อยคุ้นเคย หรือเขาอาจจะใช้คำท้องถิ่นทับศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ แต่ถ้าเป็นหนังสือพิมพ์ในประเทศที่มีมาตรฐานการเขียนระดับสากล เขาก็จะเขียนในลักษณะที่ทำให้เราเดาความหมายของคำทับศัพท์นั้นได้ไม่ยาก
ลองอ่านข่าวภาษาอังกฤษจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นข้างบน และข่าวจากสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ระดับโลกข้างล่างนี้ สลับไปสลับมา คงจะช่วยให้เราไม่ถูกล็อกความคิดให้ติดกับค่ายใดค่ายหนึ่ง
สำนักข่าวประเทศอังกฤษ
BBC
Reuters
สำนักข่าวประเทศสหรัฐอเมริกา
CNN
AP - The Associated Press
สำนักข่าวประเทศจีน
Xinhua
สำนักข่าวประเทศญี่ปุ่น
NHK
สำนักข่าวประเทศรัสเซีย
Voice of Russia
สำนักข่าวภาษาอาราบิก
Al - Jazeera English
สำนักข่าวประเทศฝรั่งเศส
AFP - Agence France Presse
สำนักข่าวประเทศอินเดีย
India News Agency
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ผมเคยแนะนำไว้ในบทความข้างล่างนี้
-อ่าน นสพ.-ฟังวิทยุ-ดูทีวี ทั่วโลกจากเน็ต
-ท่องเที่ยวไปในโลกทำได้หลายวิธี
-ลิงค์ “ข่าว”
ว่า การอ่านหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ในแต่ละประเทศมีประโยชน์อยู่หลายประการ เช่น
1. ทำให้เราไม่ถูกป้อนข้อมูลและความเห็น (news และ view) จากสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ เช่น BBC หรือ CNN เพียงอย่างเดียว
2. ทำให้เราได้รับข้อมูลและความเห็นที่อาจจะแตกต่างออกไป เช่น ข้อมูลที่แต่ละประเทศมองประเทศของเขาเอง มองประเทศมหาอำนาจตะวันตก หรือข้อมูล-ความเห็นที่มีต่อประเทศไทย
ผมมาคิด ๆ ดู บางทีก็รู้สึกแปลกที่เรารู้จักเรื่องราวที่เกิดขึ้นในลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม น้อยมาก น้อยกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษ และเป็นการรู้ผ่านการรายงานข่าวของสำนักข่าวตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ อาจจะเป็นเพราะเราเข้าถึงแหล่งข่าวตะวันตกได้ง่าย เราก็เลยไม่ค่อยจะสนใจที่จะหาข่าวจากแหล่งอื่นที่เข้าถึงได้ยากกว่า
เว็บที่ผมแนะนำไว้ข้างบน มีหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่ตีพิมพ์ในแต่ละประเทศให้ท่านได้เลือกอ่าน เมื่อเข้าไปและเลือกได้เล่มใดแล้ว ทำ Favorite ไว้เลยก็ดีครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาอีก
ในหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ บทความแสดงความเห็นที่สำคัญที่สุดคือ บทบรรณาธิการ หรือ editorial ถ้าหาได้ก็ควรจะหาอ่านก่อนบทความอื่น
และถ้าท่านต้องการอ่านความหรือความเห็นที่เขาลงพิมพ์เกี่ยวกับประเทศไทย ก็ให้หาช่อง Search แล้วพิมพ์คำว่า Thai หรือ Thailand หรือ Bangkok ลงไป
การอ่านข่าวภาษาอังกฤษจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น อาจจะอ่านยากกว่าหนังสือพิมพ์ Bangkok Post หรือ The Nation นิดหน่อย เพราะอาจจะเป็นเรื่องที่เราไม่ค่อยคุ้นเคย หรือเขาอาจจะใช้คำท้องถิ่นทับศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ แต่ถ้าเป็นหนังสือพิมพ์ในประเทศที่มีมาตรฐานการเขียนระดับสากล เขาก็จะเขียนในลักษณะที่ทำให้เราเดาความหมายของคำทับศัพท์นั้นได้ไม่ยาก
ลองอ่านข่าวภาษาอังกฤษจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นข้างบน และข่าวจากสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ระดับโลกข้างล่างนี้ สลับไปสลับมา คงจะช่วยให้เราไม่ถูกล็อกความคิดให้ติดกับค่ายใดค่ายหนึ่ง
สำนักข่าวประเทศอังกฤษ
BBC
Reuters
สำนักข่าวประเทศสหรัฐอเมริกา
CNN
AP - The Associated Press
สำนักข่าวประเทศจีน
Xinhua
สำนักข่าวประเทศญี่ปุ่น
NHK
สำนักข่าวประเทศรัสเซีย
Voice of Russia
สำนักข่าวภาษาอาราบิก
Al - Jazeera English
สำนักข่าวประเทศฝรั่งเศส
AFP - Agence France Presse
สำนักข่าวประเทศอินเดีย
India News Agency
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[867] แนะนำเว็บ Test Your Words
สวัสดีครับ
ที่เว็บนี้ http://www.test4words.com/ เขาบอกว่า
Test Your Words 1.1 เป็น โปรแกรมทดสอบคำศัพท์สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา มีคำศัพท์ระดับ ม.1 ถึง ม.6 รวมถึงศัพท์สำหรับการสอบเอ็นทรานซ์
คลิกเพื่อDownload โปรแกรม Test Your Words
[วิธีดาวน์โหลด: กดคลิ๊กขวาที่ลิงค์ แล้ว คลิกซ้าย Save Target As...]
ถ้าต้องการคำแนะนำในการดาวน์โหลดและติดตั้ง
คลิกที่นี่ครับ วิธีดาวน์โหลดและติดตั้งไฟล์โปรแกรม
ผมลองเล่นดูแล้ว สนุกดีครับ และได้ทบทวนคำศัพท์อย่างที่เขาบอกไว้จริง ๆ ลองดาวน์โหลดมาเล่นดูซีครับ
ขอขอบคุณ คุณนฤมล เจี่ยสกุลที่แนะนำเว็บนี้ครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ที่เว็บนี้ http://www.test4words.com/ เขาบอกว่า
Test Your Words 1.1 เป็น โปรแกรมทดสอบคำศัพท์สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา มีคำศัพท์ระดับ ม.1 ถึง ม.6 รวมถึงศัพท์สำหรับการสอบเอ็นทรานซ์
คลิกเพื่อDownload โปรแกรม Test Your Words
[วิธีดาวน์โหลด: กดคลิ๊กขวาที่ลิงค์ แล้ว คลิกซ้าย Save Target As...]
ถ้าต้องการคำแนะนำในการดาวน์โหลดและติดตั้ง
คลิกที่นี่ครับ วิธีดาวน์โหลดและติดตั้งไฟล์โปรแกรม
ผมลองเล่นดูแล้ว สนุกดีครับ และได้ทบทวนคำศัพท์อย่างที่เขาบอกไว้จริง ๆ ลองดาวน์โหลดมาเล่นดูซีครับ
ขอขอบคุณ คุณนฤมล เจี่ยสกุลที่แนะนำเว็บนี้ครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[866] ท่องเที่ยวไปในโลกทำได้หลายวิธี
สวัสดีครับ
ผมเป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยว ทั้งเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ ทั้งเที่ยวเองและเที่ยวกับบริษัททัวร์ ทั้งบริษัททัวร์ของไทยและบริษัททัวร์ของฝรั่ง คำพูดที่ว่า ‘การได้ท่องเที่ยวเป็นกำไรของชีวิต’ น่าจะไม่ผิดจากความจริงมากนัก
ผมเคยไปเที่ยวยุโรปกับทัวร์ไทยบริษัทหนึ่ง ในกลุ่มลูกทัวร์เดียวกันมีครอบครัวหนึ่งมีแม่ ลูกสาว และลูกเขยมาเที่ยวด้วยกัน วันแรกที่พาเที่ยวเขาพาไปชมปราสาทนอยชวานสไตน์(Neuschwanstein) ในเยอรมนีซึ่งสร้างขึ้นบนภูเขา แต่ต้องจอดรถที่ตีนเขา, ขึ้นรถม้า และพอลงจากรถม้าลูกทัวร์ก็ต้องเดินเท้าขึ้นไปที่ปราสาท ปรากฏว่าผู้เป็นแม่ซึ่งอายุมากแล้วเดี้ยงและเดินต่อไม่ได้ วันนั้นทั้งวันเมื่อไปเที่ยวจุดอื่นก็เลยมีเพียงลูกสาวและลูกเขยลงจากรถและเดินเที่ยว ส่วนแม่ก็นั่งรอในรถ วันต่อ ๆ มาจนจบโปรแกรมทัวร์ ตอนเช้าแม่ก็ออกจากโรงแรมขึ้นรถที่พานำเที่ยวเหมือนคนอื่น แต่ทำได้เพียงนั่งรออยู่บนรถตลอดโปรแกรมทัวร์
ภาพที่เห็นทำให้ผมสรุปบทเรียนตามประสาคนชอบเที่ยวว่า ในชีวิตคนเราไม่มีวัยไหนสมบูรณ์พร้อมหรอกครับ คือ:
-ช่วงวัยต้นของชีวิตการเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเพิ่งเริ่มทำงาน: มีแรง – มีเวลา – แต่ไม่มีเงิน
-ช่วงวัยกลางคนที่วุ่นวายอยู่กับงาน: มีแรง – มีเงิน – แต่ไม่มีเวลา
-ช่วงวัยท้ายของชีวิต หรือปลดเกษียณ: มีเงิน – มีเวลา – แต่ไม่มีแรง
เพราะฉะนั้นถ้าท่านมีความสุขกับการท่องเที่ยว ก็เที่ยวซะตอนนี้แหละ มีเงินน้อยก็เที่ยวน้อยหรือเที่ยวใกล้ ๆ มีเงินมากก็สามารถเที่ยวมากหรือเที่ยวไกล ๆ ได้ ขืนรอให้แก่แล้วค่อยเที่ยวอาจจะไม่ได้เที่ยวเพราะเดี้ยงเลยเดินเที่ยวไม่ได้ หรือถึงแม้จะเที่ยวได้ก็ทุลักทุเลและไม่สนุก นี่เป็นข้อสรุปตามประสาคนชอบเที่ยวนะครับ ท่านอาจจะเห็นต่างจากนี้ก็ได้
การเที่ยวโดยเฉพาะในต่างประเทศ ถ้าเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็เหมือนรับข้อมูลที่ไกด์บอกเล่าหรือที่เราเห็นด้วยลูกตาอย่างเดียว แต่ไม่สามารถซักถามได้เหมือนใจ ผมขอยกตัวอย่างของตัวเองแล้วกันครับ ผมไปเที่ยวพม่ากับทัวร์ไทยประมาณ 1 เดือนก่อนที่พม่าจะถูกพายุนากีสถล่ม เมื่อถึงย่างกุ้งผมขอให้ไกด์พม่าที่พูดภาษาไทยได้คล่องเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทหารพม่ายิงประชาชนเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน เขาบอกว่าไม่จริงหรอก สำนักข่าวตะวันตกไม่ชอบรัฐบาลพม่าก็เลยประโคมข่าวเท็จทำให้พม่าเสียหาย ผมคิดว่ามันคงเป็นจรรยาบรรณของไกด์ที่จะไม่พูดอะไรให้ประเทศของตนเสียชื่อหรือเสียหาย เขาตอบอย่างนั้นผมก็เลยไม่ซักไซ้ไล่เลียงต่อ พอเขาพาไปที่ร้านขายเพชรพลอยผมเลยถือโอกาสมานั่งคุยกับเจ้าของร้านนอกห้องแอร์ที่ม้านั่งหน้าร้าน และถามคำถามเดิมที่ผมเคยถามไกด์ เขาบอกว่ามีทหารยิงประชาชนจริง ๆ เขายังเห็นด้วยตาตนเองว่าศพถูกลากผ่านหน้าร้านของเขา ข้อสรุปของย่อหน้านี้ก็คือ ถ้าเรารู้ภาษาอังกฤษเราจะเที่ยวอย่างรู้เรื่องที่เราอยากรู้มากขึ้น ไม่ใช่รอรับข้อมูลที่ถูกป้อนจากไกด์เพียงอย่างเดียว
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกตลกอย่างน่าสนใจ คือปราสาทนอยชวานสไตน์ที่เยอรมนีที่ผมเล่าถึงข้างต้น ผมได้ไปเที่ยวถึง 3 ครั้ง แต่ต่างปีกัน และเจอไกด์ท้องถิ่นที่ต่างคนกัน ท่านเชื่อไหมครับ สิ่งที่ไกด์ทั้ง 3 คนบรรยายแทบจะเหมือนกันทุกประโยค แม้แต่มุขตลกที่แทรกก็ตรงกัน ผมเลยได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่ไกด์ท้องถิ่นของทุกประเทศพูดให้เราฟังและสิ่งที่เขาตอบเมื่อเราถาม เป็น script ที่เขาเตรียมไว้แล้ว คือเขาต้องการให้เรารู้แค่นั้นหรือแบบนั้น การไปเที่ยวโดยการทำการบ้านอ่านหนังสือไว้ล่วงหน้าก่อน จะทำให้เราเที่ยวได้อย่างผู้ที่รู้อะไรอยู่บ้าง ไม่ใช่ start from zero และนับ 1 จากสิ่งที่ไกด์บอกหรือตามองเห็นเท่านั้น การอ่านไปก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลมากมายที่เป็นภาษาอังกฤษจากเน็ต ช่วยทำให้เงินทุกบาทที่เราเสียไปกับการท่องเที่ยวคุ้มค่าขึ้นมากทีเดียว
ท่านที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ถ้าสิ่งที่ผมเล่ากระตุ้นให้ท่านรู้สึกอยากเที่ยวแต่ก็ยังไปเที่ยวไม่ได้เพราะติดขัดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมขอขอชวนให้ท่านเที่ยวผ่านเน็ตไปก่อนก็ได้ครับ ซึ่งขอบอกว่ามีมากมายไม่น้อยเลย ผมขอว่าไปทีละอย่างนะครับ
1. ท่องโลกผ่านรูปภาพ - มีภาพสถานที่ท่องเที่ยวมากมายในประเทศต่าง ๆให้ท่านชม ที่นี่ครับ [301] ท่องโลกผ่านรูปภาพ
2. ท่องโลกผ่านวีดิโอ YouTube เมื่อเข้าไปในลิงค์ข้างล่างนี้แล้ว ให้พิมพ์ชื่อประเทศ เมืองหลวง เมืองท่องเที่ยว หรือสถานที่สำคัญที่ท่านรู้จัก จะพิมพ์มากกว่า 1 คำก็ได้ เช่น Egypt pyramid ก็จะได้ชมวีดิโอที่พาเที่ยวปิรามิดในประเทศอียิปต์
http://tinyurl.com/6s4p57
ถ้าต้องการทราบชื่อประเทศพร้อมชื่อเมืองหลวงแยกตามทวีป
คลิกที่ลิงค์นี้: http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_continent
สถานที่ท่องเที่ยวแยกตามประเภทการท่องเที่ยว แยกตามทวีปและ แยกตามประเทศ
http://www.whenwegetthere.com/
จาก 2 ลิ้งค์ข้างบนนี้ เมื่อท่านได้ชื่อประเทศ ชื่อเมืองหลวง หรือชื่อสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ก็ copy ชื่อนั้น ไป paste ใส่ใน เว็บค้นหาวีดีโอท่องเที่ยวของ YouTube คือที่ลิ้งค์นี้ http://tinyurl.com/6s4p57
การท่องเที่ยวทางเน็ตผ่านภาพและวีดิโอข้างต้น ให้ความรู้และความเพลิดเพลิน และได้ฝึกภาษาอังกฤษพร้อมกันไป แต่ผมมีความคิดเห็นส่วนตัวอย่างหนึ่งที่อยากพูดคุยกับท่านผู้อ่าน ก็คือว่า เราสามารถท่องเที่ยวประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้ได้ลึกลงไปอีกนิดนึง, ลึกลงไปกว่าการได้ดูภาพนิ่งและการได้ชมภาพเคลื่อนไหว(วีดิโอ) สำหรับคนทั่วไปเช่นเรา ๆ ซึ่งไม่ใช่นักวิชาการ มีอีก 3 แหล่งที่ให้เราเที่ยวและรู้จักประเทศต่าง ๆ เพิ่มเติมจาก 2 แหล่งที่กล่าวแล้ว คือ
3. อ่านหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ในประเทศนั้น ๆ (รู้ความเป็นไปหรือสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันของประเทศนั้น ๆ)
เรื่องการอ่านหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ในประเทศนี่นะครับผมมีความรู้สึกอย่างนี้ครับ คือ สำนักข่าวยักษ์ใหญ่ของโลกตะวันตก คือ BBC และ CNN ที่ป้อน world news ให้คนไทยอ่านนั้น อาจจะทำให้คนไทยบางคนคิดไปว่า world news ของ BBC และ CNN คือ world view คือคนทั่วโลกมีความคิดเห็นตาม news และ view ที่ 2 สำนักข่าวนี้เสนอ แต่มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ครับ ผมเคยไปอบรมที่เมือง Mannheim ประเทศ Germany และที่เมือง Coimbatore ทางตอนใต้ของประเทศ India และได้มีโอกาสอ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่เป็นภาษาอังกฤษที่นั่นติดต่อกันหลายวัน และก็ได้พบความจริงว่า หลายเรื่องที่เป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ มันมี news(เนื้อข่าว) และ view (ความเห็น) ที่แตกต่างจากสิ่งที่เราเสพจากสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ตะวันตก คือ BBC และ CNN และทำให้คิดเลยออกไปว่า เราคนไทยถูกล้างสมองไม่มากก็น้อยจากข่าวและความเห็นจากโลกตะวันตก การอ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจึงช่วยให้เรามองสิ่งเดียวกันจากสายตาของคนในประเทศนั้น ๆ สำหรับผมการได้อ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในลักษณะนี้ ถือได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวอย่างหนึ่ง (เรื่องหนังสือพิมพ์ยังไม่จบง่าย ๆ ผมขอเอามาคุยต่อในโอกาสหน้านะครับ)
มีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นมากมายให้ท่านเลือกอ่านจากลิงค์นี้ครับ
[33] อ่าน นสพ.-ฟังวิทยุ-ดูทีวี ทั่วโลกจากเน็ต
เว็บที่ช่วยฝึกหัดการอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ
[173] แนะนำเทคนิคการฝึกอ่าน นสพ.ภาษาอังกฤษ
[179]สอนเทคนิคการเดาความหมายของศัพท์
[175] เทคนิคการอ่าน นสพ.ฝรั่งให้รู้เรื่อง (ภาค 2)
[330]เรียนศัพท์กับ Bangkok Post,The Nation, BBC
Bangkok Post แปลศัพท์
4. อ่านนิทานหรือนิยายพื้นบ้าน คือ folktale หรือ folklore ของประเทศนั้น ๆ(ช่วยให้รู้พื้นฐานความคิดที่เป็นวัฒนธรรมพื้นฐานของประเทศนั้น ๆ )
-http://www.google.com/Top/Society/Folklore/Literature/Tales/?il=1
-http://search.yahoo.com/search?ei=UTF-8&p=folktale+stories&rs=0&fr2=rs-top
ท่านหาเอาเองนะครับ มีเยอะ ถ้าได้เรื่องที่ชอบใจแล้วก็ทำ Favorite ไว้เลยจะได้ไม่เสียเวลาหาใหม่
5. ชมละครทีวี หรือที่บางคนเรียกว่าละครน้ำเน่า หรือ soap opera ของประเทศนั้น (ละครพวกนี้จะสะท้อนความรู้สึกนึกคิดและการใช้ชีวิตประจำวันของคนในประเทศนั้น ๆ)
เสียดายจริง ๆ ครับ ผมไม่สามารถหาเว็บพวกละครน้ำเน่าของประเทศต่าง ๆ มาให้ท่านชม คิดว่าละครพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เล่นโดยใช้ภาษาท้องถิ่น ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ถึงเราดูก็คงไม่รู้เรื่อง แต่ที่ผมยกมาพูดเพราะเห็นว่ามันเกี่ยวเนื่องกัน
อย่างที่ผมเขียนไว้เป็นชื่อหัวข้อ “ท่องเที่ยวไปในโลกทำได้หลายวิธี” หากวันนี้ท่านยังไม่มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวจริง ๆ ก็ท่องเที่ยวผ่านเน็ตก่อนก็ดีครับ ได้ทั้งความรู้ ความเพลิดเพลิน และได้ฝึกภาษาอังกฤษอีกด้วย
เที่ยวเพิ่มเติม:
เที่ยวกรุงเทพ เที่ยวเมืองไทย เที่ยวต่างประเทศ
http://tinyurl.com/5ng7tr
http://tinyurl.com/5gp37j
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ผมเป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยว ทั้งเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ ทั้งเที่ยวเองและเที่ยวกับบริษัททัวร์ ทั้งบริษัททัวร์ของไทยและบริษัททัวร์ของฝรั่ง คำพูดที่ว่า ‘การได้ท่องเที่ยวเป็นกำไรของชีวิต’ น่าจะไม่ผิดจากความจริงมากนัก
ผมเคยไปเที่ยวยุโรปกับทัวร์ไทยบริษัทหนึ่ง ในกลุ่มลูกทัวร์เดียวกันมีครอบครัวหนึ่งมีแม่ ลูกสาว และลูกเขยมาเที่ยวด้วยกัน วันแรกที่พาเที่ยวเขาพาไปชมปราสาทนอยชวานสไตน์(Neuschwanstein) ในเยอรมนีซึ่งสร้างขึ้นบนภูเขา แต่ต้องจอดรถที่ตีนเขา, ขึ้นรถม้า และพอลงจากรถม้าลูกทัวร์ก็ต้องเดินเท้าขึ้นไปที่ปราสาท ปรากฏว่าผู้เป็นแม่ซึ่งอายุมากแล้วเดี้ยงและเดินต่อไม่ได้ วันนั้นทั้งวันเมื่อไปเที่ยวจุดอื่นก็เลยมีเพียงลูกสาวและลูกเขยลงจากรถและเดินเที่ยว ส่วนแม่ก็นั่งรอในรถ วันต่อ ๆ มาจนจบโปรแกรมทัวร์ ตอนเช้าแม่ก็ออกจากโรงแรมขึ้นรถที่พานำเที่ยวเหมือนคนอื่น แต่ทำได้เพียงนั่งรออยู่บนรถตลอดโปรแกรมทัวร์
ภาพที่เห็นทำให้ผมสรุปบทเรียนตามประสาคนชอบเที่ยวว่า ในชีวิตคนเราไม่มีวัยไหนสมบูรณ์พร้อมหรอกครับ คือ:
-ช่วงวัยต้นของชีวิตการเป็นผู้ใหญ่ซึ่งเพิ่งเริ่มทำงาน: มีแรง – มีเวลา – แต่ไม่มีเงิน
-ช่วงวัยกลางคนที่วุ่นวายอยู่กับงาน: มีแรง – มีเงิน – แต่ไม่มีเวลา
-ช่วงวัยท้ายของชีวิต หรือปลดเกษียณ: มีเงิน – มีเวลา – แต่ไม่มีแรง
เพราะฉะนั้นถ้าท่านมีความสุขกับการท่องเที่ยว ก็เที่ยวซะตอนนี้แหละ มีเงินน้อยก็เที่ยวน้อยหรือเที่ยวใกล้ ๆ มีเงินมากก็สามารถเที่ยวมากหรือเที่ยวไกล ๆ ได้ ขืนรอให้แก่แล้วค่อยเที่ยวอาจจะไม่ได้เที่ยวเพราะเดี้ยงเลยเดินเที่ยวไม่ได้ หรือถึงแม้จะเที่ยวได้ก็ทุลักทุเลและไม่สนุก นี่เป็นข้อสรุปตามประสาคนชอบเที่ยวนะครับ ท่านอาจจะเห็นต่างจากนี้ก็ได้
การเที่ยวโดยเฉพาะในต่างประเทศ ถ้าเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็เหมือนรับข้อมูลที่ไกด์บอกเล่าหรือที่เราเห็นด้วยลูกตาอย่างเดียว แต่ไม่สามารถซักถามได้เหมือนใจ ผมขอยกตัวอย่างของตัวเองแล้วกันครับ ผมไปเที่ยวพม่ากับทัวร์ไทยประมาณ 1 เดือนก่อนที่พม่าจะถูกพายุนากีสถล่ม เมื่อถึงย่างกุ้งผมขอให้ไกด์พม่าที่พูดภาษาไทยได้คล่องเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทหารพม่ายิงประชาชนเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน เขาบอกว่าไม่จริงหรอก สำนักข่าวตะวันตกไม่ชอบรัฐบาลพม่าก็เลยประโคมข่าวเท็จทำให้พม่าเสียหาย ผมคิดว่ามันคงเป็นจรรยาบรรณของไกด์ที่จะไม่พูดอะไรให้ประเทศของตนเสียชื่อหรือเสียหาย เขาตอบอย่างนั้นผมก็เลยไม่ซักไซ้ไล่เลียงต่อ พอเขาพาไปที่ร้านขายเพชรพลอยผมเลยถือโอกาสมานั่งคุยกับเจ้าของร้านนอกห้องแอร์ที่ม้านั่งหน้าร้าน และถามคำถามเดิมที่ผมเคยถามไกด์ เขาบอกว่ามีทหารยิงประชาชนจริง ๆ เขายังเห็นด้วยตาตนเองว่าศพถูกลากผ่านหน้าร้านของเขา ข้อสรุปของย่อหน้านี้ก็คือ ถ้าเรารู้ภาษาอังกฤษเราจะเที่ยวอย่างรู้เรื่องที่เราอยากรู้มากขึ้น ไม่ใช่รอรับข้อมูลที่ถูกป้อนจากไกด์เพียงอย่างเดียว
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกตลกอย่างน่าสนใจ คือปราสาทนอยชวานสไตน์ที่เยอรมนีที่ผมเล่าถึงข้างต้น ผมได้ไปเที่ยวถึง 3 ครั้ง แต่ต่างปีกัน และเจอไกด์ท้องถิ่นที่ต่างคนกัน ท่านเชื่อไหมครับ สิ่งที่ไกด์ทั้ง 3 คนบรรยายแทบจะเหมือนกันทุกประโยค แม้แต่มุขตลกที่แทรกก็ตรงกัน ผมเลยได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่ไกด์ท้องถิ่นของทุกประเทศพูดให้เราฟังและสิ่งที่เขาตอบเมื่อเราถาม เป็น script ที่เขาเตรียมไว้แล้ว คือเขาต้องการให้เรารู้แค่นั้นหรือแบบนั้น การไปเที่ยวโดยการทำการบ้านอ่านหนังสือไว้ล่วงหน้าก่อน จะทำให้เราเที่ยวได้อย่างผู้ที่รู้อะไรอยู่บ้าง ไม่ใช่ start from zero และนับ 1 จากสิ่งที่ไกด์บอกหรือตามองเห็นเท่านั้น การอ่านไปก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลมากมายที่เป็นภาษาอังกฤษจากเน็ต ช่วยทำให้เงินทุกบาทที่เราเสียไปกับการท่องเที่ยวคุ้มค่าขึ้นมากทีเดียว
ท่านที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ถ้าสิ่งที่ผมเล่ากระตุ้นให้ท่านรู้สึกอยากเที่ยวแต่ก็ยังไปเที่ยวไม่ได้เพราะติดขัดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมขอขอชวนให้ท่านเที่ยวผ่านเน็ตไปก่อนก็ได้ครับ ซึ่งขอบอกว่ามีมากมายไม่น้อยเลย ผมขอว่าไปทีละอย่างนะครับ
1. ท่องโลกผ่านรูปภาพ - มีภาพสถานที่ท่องเที่ยวมากมายในประเทศต่าง ๆให้ท่านชม ที่นี่ครับ [301] ท่องโลกผ่านรูปภาพ
2. ท่องโลกผ่านวีดิโอ YouTube เมื่อเข้าไปในลิงค์ข้างล่างนี้แล้ว ให้พิมพ์ชื่อประเทศ เมืองหลวง เมืองท่องเที่ยว หรือสถานที่สำคัญที่ท่านรู้จัก จะพิมพ์มากกว่า 1 คำก็ได้ เช่น Egypt pyramid ก็จะได้ชมวีดิโอที่พาเที่ยวปิรามิดในประเทศอียิปต์
http://tinyurl.com/6s4p57
ถ้าต้องการทราบชื่อประเทศพร้อมชื่อเมืองหลวงแยกตามทวีป
คลิกที่ลิงค์นี้: http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_continent
สถานที่ท่องเที่ยวแยกตามประเภทการท่องเที่ยว แยกตามทวีปและ แยกตามประเทศ
http://www.whenwegetthere.com/
จาก 2 ลิ้งค์ข้างบนนี้ เมื่อท่านได้ชื่อประเทศ ชื่อเมืองหลวง หรือชื่อสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ก็ copy ชื่อนั้น ไป paste ใส่ใน เว็บค้นหาวีดีโอท่องเที่ยวของ YouTube คือที่ลิ้งค์นี้ http://tinyurl.com/6s4p57
การท่องเที่ยวทางเน็ตผ่านภาพและวีดิโอข้างต้น ให้ความรู้และความเพลิดเพลิน และได้ฝึกภาษาอังกฤษพร้อมกันไป แต่ผมมีความคิดเห็นส่วนตัวอย่างหนึ่งที่อยากพูดคุยกับท่านผู้อ่าน ก็คือว่า เราสามารถท่องเที่ยวประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้ได้ลึกลงไปอีกนิดนึง, ลึกลงไปกว่าการได้ดูภาพนิ่งและการได้ชมภาพเคลื่อนไหว(วีดิโอ) สำหรับคนทั่วไปเช่นเรา ๆ ซึ่งไม่ใช่นักวิชาการ มีอีก 3 แหล่งที่ให้เราเที่ยวและรู้จักประเทศต่าง ๆ เพิ่มเติมจาก 2 แหล่งที่กล่าวแล้ว คือ
3. อ่านหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ในประเทศนั้น ๆ (รู้ความเป็นไปหรือสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันของประเทศนั้น ๆ)
เรื่องการอ่านหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ในประเทศนี่นะครับผมมีความรู้สึกอย่างนี้ครับ คือ สำนักข่าวยักษ์ใหญ่ของโลกตะวันตก คือ BBC และ CNN ที่ป้อน world news ให้คนไทยอ่านนั้น อาจจะทำให้คนไทยบางคนคิดไปว่า world news ของ BBC และ CNN คือ world view คือคนทั่วโลกมีความคิดเห็นตาม news และ view ที่ 2 สำนักข่าวนี้เสนอ แต่มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ครับ ผมเคยไปอบรมที่เมือง Mannheim ประเทศ Germany และที่เมือง Coimbatore ทางตอนใต้ของประเทศ India และได้มีโอกาสอ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่เป็นภาษาอังกฤษที่นั่นติดต่อกันหลายวัน และก็ได้พบความจริงว่า หลายเรื่องที่เป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ มันมี news(เนื้อข่าว) และ view (ความเห็น) ที่แตกต่างจากสิ่งที่เราเสพจากสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ตะวันตก คือ BBC และ CNN และทำให้คิดเลยออกไปว่า เราคนไทยถูกล้างสมองไม่มากก็น้อยจากข่าวและความเห็นจากโลกตะวันตก การอ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจึงช่วยให้เรามองสิ่งเดียวกันจากสายตาของคนในประเทศนั้น ๆ สำหรับผมการได้อ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในลักษณะนี้ ถือได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวอย่างหนึ่ง (เรื่องหนังสือพิมพ์ยังไม่จบง่าย ๆ ผมขอเอามาคุยต่อในโอกาสหน้านะครับ)
มีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นมากมายให้ท่านเลือกอ่านจากลิงค์นี้ครับ
[33] อ่าน นสพ.-ฟังวิทยุ-ดูทีวี ทั่วโลกจากเน็ต
เว็บที่ช่วยฝึกหัดการอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ
[173] แนะนำเทคนิคการฝึกอ่าน นสพ.ภาษาอังกฤษ
[179]สอนเทคนิคการเดาความหมายของศัพท์
[175] เทคนิคการอ่าน นสพ.ฝรั่งให้รู้เรื่อง (ภาค 2)
[330]เรียนศัพท์กับ Bangkok Post,The Nation, BBC
Bangkok Post แปลศัพท์
4. อ่านนิทานหรือนิยายพื้นบ้าน คือ folktale หรือ folklore ของประเทศนั้น ๆ(ช่วยให้รู้พื้นฐานความคิดที่เป็นวัฒนธรรมพื้นฐานของประเทศนั้น ๆ )
-http://www.google.com/Top/Society/Folklore/Literature/Tales/?il=1
-http://search.yahoo.com/search?ei=UTF-8&p=folktale+stories&rs=0&fr2=rs-top
ท่านหาเอาเองนะครับ มีเยอะ ถ้าได้เรื่องที่ชอบใจแล้วก็ทำ Favorite ไว้เลยจะได้ไม่เสียเวลาหาใหม่
5. ชมละครทีวี หรือที่บางคนเรียกว่าละครน้ำเน่า หรือ soap opera ของประเทศนั้น (ละครพวกนี้จะสะท้อนความรู้สึกนึกคิดและการใช้ชีวิตประจำวันของคนในประเทศนั้น ๆ)
เสียดายจริง ๆ ครับ ผมไม่สามารถหาเว็บพวกละครน้ำเน่าของประเทศต่าง ๆ มาให้ท่านชม คิดว่าละครพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เล่นโดยใช้ภาษาท้องถิ่น ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ถึงเราดูก็คงไม่รู้เรื่อง แต่ที่ผมยกมาพูดเพราะเห็นว่ามันเกี่ยวเนื่องกัน
อย่างที่ผมเขียนไว้เป็นชื่อหัวข้อ “ท่องเที่ยวไปในโลกทำได้หลายวิธี” หากวันนี้ท่านยังไม่มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวจริง ๆ ก็ท่องเที่ยวผ่านเน็ตก่อนก็ดีครับ ได้ทั้งความรู้ ความเพลิดเพลิน และได้ฝึกภาษาอังกฤษอีกด้วย
เที่ยวเพิ่มเติม:
เที่ยวกรุงเทพ เที่ยวเมืองไทย เที่ยวต่างประเทศ
http://tinyurl.com/5ng7tr
http://tinyurl.com/5gp37j
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[865]เกร็ดภ.อังกฤษจากงานแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน
สวัสดีครับ
วันที่ 10 – 19 พฤศจิกายน 2551 นี้ ผมเดินทางร่วมคณะเยาวชนไทยซึ่งไปแข่งขันฝีมือแรงงานระดับอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย
การแข่งขันฝีมือแรงงานก็คล้าย ๆ กับการแข่งขันอื่น ๆ เช่น เกี่ยวกับวิชาเคมี ฟิสิกส์ ที่เราส่งเยาวชนไทยไปแข่งขันที่ต่างประเทศ แต่การแข่งที่มาเลเซียนี้เป็นการแข่งขันฝีมือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า skill โดยผู้แข่งต้องมีอายุไม่เกิน 22 ปี
ใน 10 ปีที่ผ่านมานี้ ผมเคยเดินทางไปร่วมการแข่งขันฝีมือมาหลายครั้งแล้ว ทั้งระดับอาเซียนและนานาชาติ แต่การแข่งขันที่เพิ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้เป็นการแข่งขันที่เด็กไทยเรารวมทั้งผู้ใหญ่คึกคักที่สุด – เชียร์ดังที่สุด ในพิธีปิดซึ่งมีการมอบเหรียญรางวัล จะเรียกว่าเราเป็นแชมป์ครั้งนี้ก็ได้ครับ เพราะเราได้รับรางวัลเท่า ๆ กับเจ้าภาพจากการส่งเข้าแข่งขัน 16 สาขา ในขณะที่เจ้าภาพส่งแข่งขันครบ 19 สาขา
คลิกอ่านรายละเอียด 1 2 3
สำหรับท่านผู้อ่านบล็อกนี้ ผมขอเก็บเรื่องเกี่ยวกับภาษาอังกฤษมาเล่าแล้วกันนะครับ เป็นเรื่องที่ไม่มีการรายงานในเนื้อข่าวตามปกติ
ในงานนี้ผมไปในฐานะผู้ประสานงาน หรือ coordinator ซึ่งแปลว่าต้องพูดมากหน่อย และเพื่อให้ผมเองไม่สับสนในการเล่า และท่านไม่สับสนในการการฟัง ผมขอแบ่งการเล่าที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษเป็น 2 ข้ออย่างนี้ครับ
1. ขณะที่ผมอยู่ในห้องประชุม
2. ขณะคุยกับเจ้าหน้าที่ของประเทศเจ้าภาพ และคนที่มาจากประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียน
* * * * *
1. ขณะที่อยู่ในห้องประชุม
ก่อนการแข่งขัน (11-13 พย.)มีการประชุมเพื่อกำหนดกฎ กติกา มารยาท ทางเทคนิคที่จะใช้ในช่วงวันแข่งขัน (14-16 พย.) และหลังการแข่งขัน (17-18 พย.)ก็มีการประชุมเพื่อประมวลและตัดสินผลการแข่งขัน
ผมสังเกตว่า ในการประชุมครั้งนี้หรือการประชุมครั้งอื่นที่ผมเคยเข้าประชุมซึ่งมีแต่คนจากประเทศกลุ่มอาซึยน 10 ประเทศ ชาติที่คนพูดภาษาอังกฤษเก่งก็คือมาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และฟิลิปปินส์ ส่วนที่เหลืออีก 6 ชาติคือ ไทย ลาว เมียนมาร์ กัมพูชา เวียดนาม และอินโดนีเซีย พูดภาษาอังกฤษเก่งน้อยกว่า มีข้อสังเกตว่าชาติที่เคยเป็นเมืองขึ้นประเทศอังกฤษจะเจริญมากกว่าและพูดภาษาอังกฤษได้เก่งกว่า ชาติที่เคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส
เมื่อเปรียบเทียบกับการประชุมของเวที WorldSkills ซึ่งเป็นเวทีแข่งขัน Skill ระดับนานาชาติ เวลาที่คนอาเซียนประชุมกันด้วยภาษาอังกฤษ จะใช้ศัพท์และรูปแบบประโยคที่ง่ายกว่า พูดช้ากว่า และสำหรับคนที่ไม่ค่อยเก่งอย่างผม... จึงฟังได้รู้เรื่องมากกว่า ส่วนเวทีการแข่งขันฝีมือระดับโลกหรือ WorldSkills นั้น เขาจะมี headphone ให้เลือกฟัง 3 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ผมเลือกฟังภาษาอังกฤษ ก็เห็นชัดเลยว่า เวทีระดับโลกอย่างนั้นเขาพูดเร็วกว่า และใช้สำนวนภาษาที่ยากกว่า ถ้าเราฟังรู้เรื่องก็ฟัง ถ้าเราฟังไม่ค่อยรู้เรื่องก็ต้องทำอะไรสักอย่างหรือหลายอย่างให้รู้เรื่องให้ได้ เช่น ศึกษาเอกสาร คุยกับคนที่สามารถช่วยให้เรารู้เรื่อง หรือวิธีอื่น ๆ แต่วิธีที่ไม่ควรทำอย่างเด็ดขาดคือ ซื้อเทียนมา 1 เล่มหรือหลายเล่ม จุดเทียนและหลับตาขณะเขียน Report หรือรายงานเพื่อส่งให้ผู้บังคับบัญชาอ่าน วิธีนี้เป็นวิธีที่อันตรายเกินไป
ในการประชุมนี่นะครับ ผู้เข้าประขุมมีหน้าที่ 3 อย่าง คือ ฟัง – พูด – และจด
เฉพาะเรื่องการพูด นอกจากพูดเนื้อหาให้คนฟังเข้าใจแล้ว ถ้าเก่งถึงขั้นพูดให้คนจับใจได้ยิ่งดี เพราะเพียงเข้าใจก็สำเร็จผลเพียงแค่คนฟังรู้เรื่อง แต่ถ้าพูดแล้วจับใจก็จะได้ผลสำเร็จสูงขึ้นไป คือคนฟังจะคล้อยตาม ที่พูดเช่นนี้พูดง่าย แต่ทำคงไม่ง่ายเหมือนพูด แต่ถ้าพยายามก็คงทำได้ไม่มากก็น้อย ถ้ารักที่ฝึก(ฉันทะ) พยายามฝึก(วิริยะ) ไม่วอกแวกขณะฝึก(จิตตะ) และปรับปรุงการฝึกอยู่เป็นนิตย์(วิมังสา)
ในห้องประชุมงวดนี้ ผมโชคดีที่มีผู้บังคับบัญชาที่เป็นแบบอย่างให้ศึกษา เช่น ควรจะพูดมากพูดน้อยขนาดไหน พูดยังไง สั้น-ยาวขนาดไหน ใช้ภาษาอย่างไร พูดเวลาใด ไม่ควรพูดเวลาใด ผมเพียงฟังและให้ความเห็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ถือว่าเป็นการเรียนรู้งานไปในตัว
ไอ้เรื่องฟังเขาพูดและเราไม่รู้เรื่องนี่นะครับ ผมแพ้พวกแขกอินเดียครับ แม้พยายามเปิดรูหูให้กว้างที่สุดและทำใบหูให้กางที่สุด แต่บ่อยครั้งที่ยังไง ๆ ก็ไม่รู้เรื่อง มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเปิดปากพูดกับแขกคนที่สนิทด้วย คือผมพูดออกไปว่า “I found that your accent is…” แล้วผมก็หยุดนิดนึงเพื่อจะพูดต่อไปว่า “… difficult to understand” แต่ยังไม่ทันที่จะพูดต่อ พี่บังแกก็พูดต่อให้เองว่า “clear” ผมอ่านสายตาเขาและก็เห็นว่าเขารู้สึกอย่างที่เขาพูดจริง ๆ ผมก็เลยต้องหยุดและยิ้ม เออ! clear ก็ clear วะ
ถ้าท่านฟังแขกพูดในครั้งแรก ๆ แล้วไม่รู้เรื่องนี่นะครับ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่ถ้าฟังปุ๊บและรู้เรื่องปั๊บ นี่ซีครับแปลก ลองส่องหน้าที่กระจกเงาและมองให้ชัด ๆ ซีครับว่าท่านมีแววเป็นอาบังหรือสาวแขกอยุ่ในใบหน้าบ้างหรือเปล่า เพราะเมื่อชาติที่แล้วท่านอาจจะเกิดเป็นแขกก็ได้ ผมเองเคยได้รับทุนรัฐบาลอินเดียไปอบรมที่รัฐทมิฬนาดูทางตอนใต้ของอินเดีย ต้องใช้เวลาหลายวันทีเดียวครับกว่าจะฟังแขกรู้เรื่อง และต้องพยายามไปนั่งหน้าห้องจะได้ฟังเสียงแรกที่รัวและเร็วชัด ๆ หน่อย
เรื่องฟังแขกพูดไม่รู้เรื่องนี่นะครับ ไม่เป็นเฉพาะคนไทยเท่านั้น ผมเคยคุยกับคนหลายชาติและก็ได้เพื่อนร่วมนินทาแขก แต่จะว่าไปฟังแขกพูดนี่ก็สนุกดีเหมือนกันครับ เพราะหลายคนไม่ใช่พูดเปล่า ยังทำมือทำไม้-โยกคอ-ส่ายหน้า จนบางครั้งเดาไม่ออกจริง ๆ ว่าที่เราพูดเสนอออกไปนี่อีจะตอบ Yes หรือ No
ชักจะออกนอกเรื่องแล้ว ขอวกกลับนะครับ ในบล็อกนี้มีหลายลิงค์ที่ผมเคยแนะนำไว้แล้วเรื่องภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการประชุม ลองคลิกดูนะครับ อาจจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
[176] ศัพท์สำนวนอังกฤษ สำหรับการประชุม
การนำเสนอและการประชุมทางธุรกิจ
พร้อมสำหรับการประชุมหรือยัง?
การประชุมธุรกิจเป็นภาษาอังกกฤษ
การประชุมทางธุรกิจกับลูกค้า
ไปงานแข่งขันที่มาเลเซียงวดนี้ ผมมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง คือร่างสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษให้ผู้บังคับบัญชาพูดในที่ประชุม เวลาจะพูดท่านก็มักจะแก้ไขตามที่ท่านเห็นสมควร
ในการเขียนอะไรทั้งหลายแหล่เป็นภาษาอังกฤษนี่นะครับ ผมว่าการเขียนสุนทรพจน์นี่ยากที่สุด ต้องเขียนให้คนเข้าใจ จับใจ และไม่เยิ่นเย้อ คือต้องดีทั้งเนื้อหาและสำนวนภาษา พูดง่ายแต่ทำยากจังเลยถ้าท่านต้องเขียนเอง นอกจากนี้ยังต้องเขียนให้ถูกใจคนพูดอีกด้วย
ถ้าท่านต้องเขียนสุนทรพจน์ ลองเข้าไปที่ลิงค์ข้างล่างนี้ อาจจะพอมีประโยชน์บ้าง
[178] เมื่อท่านต้องเขียนสุนทรพจน์ / speech
http://tinyurl.com/6fd9gg
2. ขณะคุยกับเจ้าหน้าที่ของประเทศเจ้าภาพ และคนที่มาจากประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียน
ผมจะไม่พูดถึงเรื่องอะไรที่เป็นทางการละครับ แต่จะพูดถึงสิ่งเรียกกันว่า “small talk” คือกับคนต่างชาติที่เพิ่งจะรู้จักกัน มีบางครั้งที่เราต้องมายืนคุยกัน นั่งโต๊ะเดียวกัน นั่งรถคันเดียวกัน ติดต่อประสานงานกัน หรืออะไรทำนองนี้ บางทีหรือบ่อยครั้งถ้าเราสามารถหาเรื่องเบา ๆ มาคุยกันได้ ก็จะเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดี หรืออาจจะนำไปสู่การเป็นมิตรถาวรกับคนที่พูดต่างภาษากันก็ได้ คนที่มีความสามารถในเรื่อง small talk จึงมักจะต้องพูดได้หลายเรื่อง หรือรู้อะไรเยอะ ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องรู้ลึกก็ได้ครับ คือรู้เรื่องทั่ว ๆ ไป และรู้หลาย ๆ เรื่อง และหยิบบางเรื่องมาคุยกับคนอื่น ได้อย่างเหมาะสม แต่ระวังนิดนึงนะครับถ้าให้ดี อย่าคุยเรื่องการเมืองหรือความเชื่อทางศาสนาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ เพราะคนขัดกันง่ายเพราะเรื่องพวกนี้ มีบางคนแนะนำว่า มี 3 คำถามที่ห้ามถาม คือ 1. คุณแต่งงานหรือยัง 2. คุณมีเงินเดือนเท่าไหร่หรือมีรายได้เท่าไหร่ และ 3. คุณอายุเท่าไหร่ ผมไม่แน่ใจว่าคำแนะนำนี้ใช้ได้หรือเปล่า ท่านพิจารณาเอาเองแล้วกันครับเมื่อต้องพูดคุยกับคนต่างชาติ หรือแม้คนไทยด้วยกันก็เถอะ
จากประสบการณ์ของผม small talk นี่นะครับ ถ้า talk ได้ดี ผลดีที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ small, แต่อาจจะbig ทีเดียว แต่ small talk ก็เหมือนกับเรื่องอื่น ๆ นั่นแหละครับ คือเป็นทั้งพรสวรรค์ และพรแสวง บางคนจำ dirty joke และ clean joke ตุนเอาไว้พูดในเวลาที่เหมาะสม บางคนจดจำถ้อยคำหรือประโยคที่สร้างแรงบันดาลใจที่ฝรั่งเรียกว่า inspiration เอาไว้พูด หรือบางคนเมื่อรู้ว่าจะไปพูดกับคนชาติไหนก็อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นไปของบ้านเมือง หรือวัฒนธรรม หรือเรื่องราวดี ๆ หรือเรื่องที่คนส่วนมากในชาตินั้น ๆ ภูมิใจหรือสนใจ หรือประโยคสั้น ๆ ของประเทศนั้นที่ใช้บ่อย ๆ หรือบางคนก็สะสมคำถามประเภทอะไรเอ่ย หรือ riddle ไว้เยอะ ๆ หรือบางคนก็สะสม story ที่ไม่ยาวเกินไป คือสามารถพูดจบได้ภายในเวลาอันสั้น เป็นการเปิดประเด็นให้เพื่อนร่วมโต๊ะได้ร่วมสนทนา ตัวอย่างหัวข้อ small talk พวกนี้ถ้ารู้จักพูดอย่างถูกกาละเทศะ ไม่มากไม่น้อยเกินไป จะเป็นผลดีมากต่อการผูกมิตร การเจรจาธุรกิจ หรือเรื่องอื่น ๆ และเราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนพูดมากในกลุ่ม แต่อาจจะเปิดประเด็นที่คนส่วนใหญ่สนใจหรือสามารถที่จะร่วมพูดด้วย อย่างนี้ถ้าทำได้ดีก็ถือว่าเป็น small talk ที่เป็น big success ครับ
ลิงค์ข้างล่างนี้อาจจะเป็นประโยชน์บ้างสำหรับเรื่อง small talk
[88] เก่งภาษาอังกฤษกับการอ่านเรื่องเบา ๆ
[282] ฟิตอังกฤษกับ clean joke (พร้อมแปลศัพท์ทุกคำ)
http://www.cleanjoke.com/
[291] เรื่องแรงบันดาลใจ (inspiration)
[374] ฟังคำทักทาย ‘Hello’ ในภาษาต่าง ๆ
คำที่พูดบ่อยในหลาย ๆ ภาษา
เว็บ Reader’s Digest มีเรื่องราวมากมายให้ท่านเก็บมาพูดตอน small talk
ดาวน์โหลดหนังสือ Great Conversation & Small Talks
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันที่ 10 – 19 พฤศจิกายน 2551 นี้ ผมเดินทางร่วมคณะเยาวชนไทยซึ่งไปแข่งขันฝีมือแรงงานระดับอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย
การแข่งขันฝีมือแรงงานก็คล้าย ๆ กับการแข่งขันอื่น ๆ เช่น เกี่ยวกับวิชาเคมี ฟิสิกส์ ที่เราส่งเยาวชนไทยไปแข่งขันที่ต่างประเทศ แต่การแข่งที่มาเลเซียนี้เป็นการแข่งขันฝีมือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า skill โดยผู้แข่งต้องมีอายุไม่เกิน 22 ปี
ใน 10 ปีที่ผ่านมานี้ ผมเคยเดินทางไปร่วมการแข่งขันฝีมือมาหลายครั้งแล้ว ทั้งระดับอาเซียนและนานาชาติ แต่การแข่งขันที่เพิ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้เป็นการแข่งขันที่เด็กไทยเรารวมทั้งผู้ใหญ่คึกคักที่สุด – เชียร์ดังที่สุด ในพิธีปิดซึ่งมีการมอบเหรียญรางวัล จะเรียกว่าเราเป็นแชมป์ครั้งนี้ก็ได้ครับ เพราะเราได้รับรางวัลเท่า ๆ กับเจ้าภาพจากการส่งเข้าแข่งขัน 16 สาขา ในขณะที่เจ้าภาพส่งแข่งขันครบ 19 สาขา
คลิกอ่านรายละเอียด 1 2 3
สำหรับท่านผู้อ่านบล็อกนี้ ผมขอเก็บเรื่องเกี่ยวกับภาษาอังกฤษมาเล่าแล้วกันนะครับ เป็นเรื่องที่ไม่มีการรายงานในเนื้อข่าวตามปกติ
ในงานนี้ผมไปในฐานะผู้ประสานงาน หรือ coordinator ซึ่งแปลว่าต้องพูดมากหน่อย และเพื่อให้ผมเองไม่สับสนในการเล่า และท่านไม่สับสนในการการฟัง ผมขอแบ่งการเล่าที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษเป็น 2 ข้ออย่างนี้ครับ
1. ขณะที่ผมอยู่ในห้องประชุม
2. ขณะคุยกับเจ้าหน้าที่ของประเทศเจ้าภาพ และคนที่มาจากประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียน
* * * * *
1. ขณะที่อยู่ในห้องประชุม
ก่อนการแข่งขัน (11-13 พย.)มีการประชุมเพื่อกำหนดกฎ กติกา มารยาท ทางเทคนิคที่จะใช้ในช่วงวันแข่งขัน (14-16 พย.) และหลังการแข่งขัน (17-18 พย.)ก็มีการประชุมเพื่อประมวลและตัดสินผลการแข่งขัน
ผมสังเกตว่า ในการประชุมครั้งนี้หรือการประชุมครั้งอื่นที่ผมเคยเข้าประชุมซึ่งมีแต่คนจากประเทศกลุ่มอาซึยน 10 ประเทศ ชาติที่คนพูดภาษาอังกฤษเก่งก็คือมาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และฟิลิปปินส์ ส่วนที่เหลืออีก 6 ชาติคือ ไทย ลาว เมียนมาร์ กัมพูชา เวียดนาม และอินโดนีเซีย พูดภาษาอังกฤษเก่งน้อยกว่า มีข้อสังเกตว่าชาติที่เคยเป็นเมืองขึ้นประเทศอังกฤษจะเจริญมากกว่าและพูดภาษาอังกฤษได้เก่งกว่า ชาติที่เคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส
เมื่อเปรียบเทียบกับการประชุมของเวที WorldSkills ซึ่งเป็นเวทีแข่งขัน Skill ระดับนานาชาติ เวลาที่คนอาเซียนประชุมกันด้วยภาษาอังกฤษ จะใช้ศัพท์และรูปแบบประโยคที่ง่ายกว่า พูดช้ากว่า และสำหรับคนที่ไม่ค่อยเก่งอย่างผม... จึงฟังได้รู้เรื่องมากกว่า ส่วนเวทีการแข่งขันฝีมือระดับโลกหรือ WorldSkills นั้น เขาจะมี headphone ให้เลือกฟัง 3 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ผมเลือกฟังภาษาอังกฤษ ก็เห็นชัดเลยว่า เวทีระดับโลกอย่างนั้นเขาพูดเร็วกว่า และใช้สำนวนภาษาที่ยากกว่า ถ้าเราฟังรู้เรื่องก็ฟัง ถ้าเราฟังไม่ค่อยรู้เรื่องก็ต้องทำอะไรสักอย่างหรือหลายอย่างให้รู้เรื่องให้ได้ เช่น ศึกษาเอกสาร คุยกับคนที่สามารถช่วยให้เรารู้เรื่อง หรือวิธีอื่น ๆ แต่วิธีที่ไม่ควรทำอย่างเด็ดขาดคือ ซื้อเทียนมา 1 เล่มหรือหลายเล่ม จุดเทียนและหลับตาขณะเขียน Report หรือรายงานเพื่อส่งให้ผู้บังคับบัญชาอ่าน วิธีนี้เป็นวิธีที่อันตรายเกินไป
ในการประชุมนี่นะครับ ผู้เข้าประขุมมีหน้าที่ 3 อย่าง คือ ฟัง – พูด – และจด
เฉพาะเรื่องการพูด นอกจากพูดเนื้อหาให้คนฟังเข้าใจแล้ว ถ้าเก่งถึงขั้นพูดให้คนจับใจได้ยิ่งดี เพราะเพียงเข้าใจก็สำเร็จผลเพียงแค่คนฟังรู้เรื่อง แต่ถ้าพูดแล้วจับใจก็จะได้ผลสำเร็จสูงขึ้นไป คือคนฟังจะคล้อยตาม ที่พูดเช่นนี้พูดง่าย แต่ทำคงไม่ง่ายเหมือนพูด แต่ถ้าพยายามก็คงทำได้ไม่มากก็น้อย ถ้ารักที่ฝึก(ฉันทะ) พยายามฝึก(วิริยะ) ไม่วอกแวกขณะฝึก(จิตตะ) และปรับปรุงการฝึกอยู่เป็นนิตย์(วิมังสา)
ในห้องประชุมงวดนี้ ผมโชคดีที่มีผู้บังคับบัญชาที่เป็นแบบอย่างให้ศึกษา เช่น ควรจะพูดมากพูดน้อยขนาดไหน พูดยังไง สั้น-ยาวขนาดไหน ใช้ภาษาอย่างไร พูดเวลาใด ไม่ควรพูดเวลาใด ผมเพียงฟังและให้ความเห็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ถือว่าเป็นการเรียนรู้งานไปในตัว
ไอ้เรื่องฟังเขาพูดและเราไม่รู้เรื่องนี่นะครับ ผมแพ้พวกแขกอินเดียครับ แม้พยายามเปิดรูหูให้กว้างที่สุดและทำใบหูให้กางที่สุด แต่บ่อยครั้งที่ยังไง ๆ ก็ไม่รู้เรื่อง มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเปิดปากพูดกับแขกคนที่สนิทด้วย คือผมพูดออกไปว่า “I found that your accent is…” แล้วผมก็หยุดนิดนึงเพื่อจะพูดต่อไปว่า “… difficult to understand” แต่ยังไม่ทันที่จะพูดต่อ พี่บังแกก็พูดต่อให้เองว่า “clear” ผมอ่านสายตาเขาและก็เห็นว่าเขารู้สึกอย่างที่เขาพูดจริง ๆ ผมก็เลยต้องหยุดและยิ้ม เออ! clear ก็ clear วะ
ถ้าท่านฟังแขกพูดในครั้งแรก ๆ แล้วไม่รู้เรื่องนี่นะครับ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่ถ้าฟังปุ๊บและรู้เรื่องปั๊บ นี่ซีครับแปลก ลองส่องหน้าที่กระจกเงาและมองให้ชัด ๆ ซีครับว่าท่านมีแววเป็นอาบังหรือสาวแขกอยุ่ในใบหน้าบ้างหรือเปล่า เพราะเมื่อชาติที่แล้วท่านอาจจะเกิดเป็นแขกก็ได้ ผมเองเคยได้รับทุนรัฐบาลอินเดียไปอบรมที่รัฐทมิฬนาดูทางตอนใต้ของอินเดีย ต้องใช้เวลาหลายวันทีเดียวครับกว่าจะฟังแขกรู้เรื่อง และต้องพยายามไปนั่งหน้าห้องจะได้ฟังเสียงแรกที่รัวและเร็วชัด ๆ หน่อย
เรื่องฟังแขกพูดไม่รู้เรื่องนี่นะครับ ไม่เป็นเฉพาะคนไทยเท่านั้น ผมเคยคุยกับคนหลายชาติและก็ได้เพื่อนร่วมนินทาแขก แต่จะว่าไปฟังแขกพูดนี่ก็สนุกดีเหมือนกันครับ เพราะหลายคนไม่ใช่พูดเปล่า ยังทำมือทำไม้-โยกคอ-ส่ายหน้า จนบางครั้งเดาไม่ออกจริง ๆ ว่าที่เราพูดเสนอออกไปนี่อีจะตอบ Yes หรือ No
ชักจะออกนอกเรื่องแล้ว ขอวกกลับนะครับ ในบล็อกนี้มีหลายลิงค์ที่ผมเคยแนะนำไว้แล้วเรื่องภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการประชุม ลองคลิกดูนะครับ อาจจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
[176] ศัพท์สำนวนอังกฤษ สำหรับการประชุม
การนำเสนอและการประชุมทางธุรกิจ
พร้อมสำหรับการประชุมหรือยัง?
การประชุมธุรกิจเป็นภาษาอังกกฤษ
การประชุมทางธุรกิจกับลูกค้า
ไปงานแข่งขันที่มาเลเซียงวดนี้ ผมมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง คือร่างสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษให้ผู้บังคับบัญชาพูดในที่ประชุม เวลาจะพูดท่านก็มักจะแก้ไขตามที่ท่านเห็นสมควร
ในการเขียนอะไรทั้งหลายแหล่เป็นภาษาอังกฤษนี่นะครับ ผมว่าการเขียนสุนทรพจน์นี่ยากที่สุด ต้องเขียนให้คนเข้าใจ จับใจ และไม่เยิ่นเย้อ คือต้องดีทั้งเนื้อหาและสำนวนภาษา พูดง่ายแต่ทำยากจังเลยถ้าท่านต้องเขียนเอง นอกจากนี้ยังต้องเขียนให้ถูกใจคนพูดอีกด้วย
ถ้าท่านต้องเขียนสุนทรพจน์ ลองเข้าไปที่ลิงค์ข้างล่างนี้ อาจจะพอมีประโยชน์บ้าง
[178] เมื่อท่านต้องเขียนสุนทรพจน์ / speech
http://tinyurl.com/6fd9gg
2. ขณะคุยกับเจ้าหน้าที่ของประเทศเจ้าภาพ และคนที่มาจากประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียน
ผมจะไม่พูดถึงเรื่องอะไรที่เป็นทางการละครับ แต่จะพูดถึงสิ่งเรียกกันว่า “small talk” คือกับคนต่างชาติที่เพิ่งจะรู้จักกัน มีบางครั้งที่เราต้องมายืนคุยกัน นั่งโต๊ะเดียวกัน นั่งรถคันเดียวกัน ติดต่อประสานงานกัน หรืออะไรทำนองนี้ บางทีหรือบ่อยครั้งถ้าเราสามารถหาเรื่องเบา ๆ มาคุยกันได้ ก็จะเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดี หรืออาจจะนำไปสู่การเป็นมิตรถาวรกับคนที่พูดต่างภาษากันก็ได้ คนที่มีความสามารถในเรื่อง small talk จึงมักจะต้องพูดได้หลายเรื่อง หรือรู้อะไรเยอะ ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องรู้ลึกก็ได้ครับ คือรู้เรื่องทั่ว ๆ ไป และรู้หลาย ๆ เรื่อง และหยิบบางเรื่องมาคุยกับคนอื่น ได้อย่างเหมาะสม แต่ระวังนิดนึงนะครับถ้าให้ดี อย่าคุยเรื่องการเมืองหรือความเชื่อทางศาสนาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ เพราะคนขัดกันง่ายเพราะเรื่องพวกนี้ มีบางคนแนะนำว่า มี 3 คำถามที่ห้ามถาม คือ 1. คุณแต่งงานหรือยัง 2. คุณมีเงินเดือนเท่าไหร่หรือมีรายได้เท่าไหร่ และ 3. คุณอายุเท่าไหร่ ผมไม่แน่ใจว่าคำแนะนำนี้ใช้ได้หรือเปล่า ท่านพิจารณาเอาเองแล้วกันครับเมื่อต้องพูดคุยกับคนต่างชาติ หรือแม้คนไทยด้วยกันก็เถอะ
จากประสบการณ์ของผม small talk นี่นะครับ ถ้า talk ได้ดี ผลดีที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ small, แต่อาจจะbig ทีเดียว แต่ small talk ก็เหมือนกับเรื่องอื่น ๆ นั่นแหละครับ คือเป็นทั้งพรสวรรค์ และพรแสวง บางคนจำ dirty joke และ clean joke ตุนเอาไว้พูดในเวลาที่เหมาะสม บางคนจดจำถ้อยคำหรือประโยคที่สร้างแรงบันดาลใจที่ฝรั่งเรียกว่า inspiration เอาไว้พูด หรือบางคนเมื่อรู้ว่าจะไปพูดกับคนชาติไหนก็อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นไปของบ้านเมือง หรือวัฒนธรรม หรือเรื่องราวดี ๆ หรือเรื่องที่คนส่วนมากในชาตินั้น ๆ ภูมิใจหรือสนใจ หรือประโยคสั้น ๆ ของประเทศนั้นที่ใช้บ่อย ๆ หรือบางคนก็สะสมคำถามประเภทอะไรเอ่ย หรือ riddle ไว้เยอะ ๆ หรือบางคนก็สะสม story ที่ไม่ยาวเกินไป คือสามารถพูดจบได้ภายในเวลาอันสั้น เป็นการเปิดประเด็นให้เพื่อนร่วมโต๊ะได้ร่วมสนทนา ตัวอย่างหัวข้อ small talk พวกนี้ถ้ารู้จักพูดอย่างถูกกาละเทศะ ไม่มากไม่น้อยเกินไป จะเป็นผลดีมากต่อการผูกมิตร การเจรจาธุรกิจ หรือเรื่องอื่น ๆ และเราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนพูดมากในกลุ่ม แต่อาจจะเปิดประเด็นที่คนส่วนใหญ่สนใจหรือสามารถที่จะร่วมพูดด้วย อย่างนี้ถ้าทำได้ดีก็ถือว่าเป็น small talk ที่เป็น big success ครับ
ลิงค์ข้างล่างนี้อาจจะเป็นประโยชน์บ้างสำหรับเรื่อง small talk
[88] เก่งภาษาอังกฤษกับการอ่านเรื่องเบา ๆ
[282] ฟิตอังกฤษกับ clean joke (พร้อมแปลศัพท์ทุกคำ)
http://www.cleanjoke.com/
[291] เรื่องแรงบันดาลใจ (inspiration)
[374] ฟังคำทักทาย ‘Hello’ ในภาษาต่าง ๆ
คำที่พูดบ่อยในหลาย ๆ ภาษา
เว็บ Reader’s Digest มีเรื่องราวมากมายให้ท่านเก็บมาพูดตอน small talk
ดาวน์โหลดหนังสือ Great Conversation & Small Talks
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[864] ขอคุยก่อนลาพักงาน 10 วัน
สวัสดีครับ
ผมจะไม่เจอท่านผู้อ่าน 10 วัน คือผมมีงานที่ต้องไปมาเลเซียวันที่ 10 – 19 พ.ย.นี้ ฉะนั้นวันนี้อนุญาตให้ผมคุยอะไรสักนิดหน่อยแล้วกันนะครับ
ผมรู้สึกคิดถึงท่านผู้อ่านครับ ถ้าถามว่าคิดถึงยังไง เพราะถ้าไม่นับเพื่อนที่ทำงานบางคนที่อ่านบล็อกนี้ ผมก็ไม่เคยเห็นหน้าท่านผู้อ่านเลย คำถามนี้ตอบให้เหมือนใจได้ยากจริง ๆ ครับ รู้แต่ว่าใน 2 ปีที่เขียนบล็อกนี้ ทุกนาทีที่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์และใช้ 2 นิ้วชี้เคาะแป้นเพื่อพิมพ์ข้อความ ผมก็คิดถึงท่านผู้อ่าน แต่มิได้คิดถึงว่ามีหน้าตาอย่างนั้นอย่างนี้ ทว่าคิดถึงด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจและใกล้ชิดแม้จะไม่ได้รู้จักชื่อและไม่ได้เห็นหน้า ประโยคบอกเล่าที่เพิ่งเขียนจบนี้ก็ยังสื่อความรู้สึกได้ไม่ถึงครึ่งใจ
มีบางคนถามผมว่า ทำบล็อกอย่างนี้ได้อะไรบ้าง ผมตอบว่าไม่ได้อะไร แล้วก็สำนึกภายหลังว่าตอบผิด เพราะสิ่งที่ผมทำนี้มีศัพท์ฝรั่งเรียกว่า labour of love ทำแล้วให้ความสุขใจเป็นสิ่งตอบแทน
อันที่จริงผมก็ไม่ได้ทำอะไรมาก ผมเพียงแต่ไปหามาว่าเว็บดี ๆ นั้นมีอยู่ที่ไหน แล้วก็เอามาแนะนำท่านผู้อ่าน ถ้าท่านผู้อ่านเข้าไปใช้เว็บใดแล้วรู้สึกว่าดีมีประโยชน์ ก็ขอให้ขอบคุณเจ้าของหรือ webmaster เว็บนั้นก่อนแล้วกันครับ ถ้าเปรียบเหมือนอาหาร เขาเหล่านั้นก็เป็นคนออกเงินซื้อวัสดุและเป็นคนปรุงอาหาร ส่วนผมก็แค่ยกมาเสิร์ฟท่านเท่านั้นเอง ภาษาอังกฤษเรียกว่า waiter หรือพนักงานเสิร์ฟ หรือเรียกว่า บ๋อย ก็ได้ครับ เพราะฉะนั้น ผมเป็น Blog Master ก็คือเป็น บ๋อยเสิร์ฟเว็บ ให้ท่านผู้อ่านเท่านั้นเองครับ แต่ก็มีความสุขครับที่ได้ทำหน้าที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ตามสมควรแก่อัตภาพเช่นนี้
2 ปีที่เป็นบ๋อยเสิร์ฟเว็บนี้ ผมได้พบอะไรบางอย่าง ก็คือว่า เว็บนี้ชื่อว่า “เรียนภาษาอังกฤษผ่านเน็ต ฟรี” นั่นคือท่านจะต้อง “เรียนด้วยตนเอง” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “self–study” แต่ความสามารถในการเรียนด้วยตนเองของท่านผู้อ่านหลากหลายมากครับ อย่างน้อยก็ต่างกัน 3 เรื่อง คือ (1) ความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์ – บางท่านก็ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่บางท่านมีปัญหา เช่น ดาวน์โหลดหรือ save ไฟล์ก็ไม่เป็น, แตกไฟล์ zip ก็ไม่เป็น, ติดตั้งไฟล์โปรแกรมก็ไม่เป็น, พบตัวอักษรเป็นตัวยึกยือก็ encode ไม่เป็น ฯลฯ [คลิกอ่านคำแนะนำที่ 1 และ 2 ] (2) พื้นฐานภาษาอังกฤษ – บางท่านสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งเว็บฝรั่งและเว็บไทย บางท่านต้องเป็นเว็บไทยเท่านั้น เพราะอ่านเว็บฝรั่งไม่ค่อยเข้าใจ (3) ความสามารถในการ search หรือค้นหาเรื่องที่ต้องการจากบล็อกนี้ บางท่านแม้เรื่องนั้น ๆ จะมีอยู่ในบล็อกนี้แล้ว แต่หายังไง ๆ ก็ไม่เจอ(หรือขี้เกียจหา?) แต่บางท่านก็หาได้อย่างสะดวกสบาย [คลิกอ่านคำแนะนำ ที่นี่ ]
เรื่องของเรื่องก็คือ ผมรู้สึกว่าตนเองเป็นคนมีความสุขและโชคดี และอยากจะแบ่งปันความรู้สึกเช่นนี้ให้ท่านผู้อ่านบ้าง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกพื้นฐานเช่นนี้เกิดจากอะไร รู้แต่ว่าผมไม่ค่อยมีความรู้สึกร้อนอกร้อนใจอะไรในชีวิตมากนัก มีงานประจำก็ทำไปให้มันดีที่สุด ว่างจากงานประจำและอย่างอื่นก็มานั่งคุยกับท่านผู้อ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์นี่แหละครับ ส่วนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนมีโชคดีในชีวิตก็อาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ครับ คือแม้ว่าตอนเด็กพ่อแม่ของผมจะเป็นคนจนหาเช้ากินค่ำ และคนจนก็ต้องเจอกับเรื่องร้าย ๆ บ้างเป็นธรรมดา แต่ผมมองใจตัวเองอยู่เรื่อย ๆ และก็เห็นว่า ผมไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย โลกนี้มีความดีความงามเยอะแยะให้เรามอง ไม่มีประโยชน์หรือ make sense เลยที่มัวแต่จ้องมองเรื่องร้าย ๆ ในชีวิต ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าพ่อแม่ของผมสอนผมยังไงในเรื่องนี้ แต่ท่านต้องสอนแน่ ๆ เพียงแต่ผมยังนึกไม่ออกเท่านั้นเองว่าท่านสอนยังไงให้เป็นคนมองโลกในแง่ดี
มานั่งนึกอีกที นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ผมมักจะเรียนท่านผู้อ่านว่า ถ้าท่านเห็นประโยชน์ของภาษาอังกฤษก็พยายามฝึกไปเถอะครับ และก็ไม่ต้องร้อนรนใจในขณะที่ฝึก ฝึกไปเรื่อย ๆ มันก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ เองแหละ นี่ผมคงจะเอาความรู้สึกลึก ๆ ส่วนตัวมาเขียนคุยกับท่านผู้อ่านโดยที่ผมเองไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเขียนเรื่องอะไรพอเขียนไปเขียนมาสักพักก็จะย้อนกลับมาเขียนทำนองนี้ทุกที ดู ๆ ไปแล้วก็น่าขำดี ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งเบื่อนะครับ ผมก็เป็นอย่างนี้แหละ
หลายปีมาแล้วสมัยที่ยังเป็นนักศึกษา ผมเคยอ่านพบว่าในพระไตรปิฎกในส่วนที่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้าท่านเปรียบบุคคลเหมือนบัว 3 เหล่า คือ 1. อุคฆฏิตัญญู – ผู้รู้เข้าใจได้ฉับพลัน เพียงได้ฟังแค่หัวข้อธรรมะที่ท่านยกขึ้นแสดงก็เข้าใจทันที 2. วิปจิตัญญู – ผู้รู้เข้าใจต่อเมื่อท่านขยายความ และ 3. เนยยะ – ผู้ที่พอจะแนะนำต่อไปได้ พระพุทธเจ้าไม่เคยเปรียบบุคคลเหมือนบัวเหล่าที่ 4. คือ ปทปรมะ – คือคนที่สอนยังไงก็ไม่เข้าใจ บัวเหล่าที่ 4 นี้เป็นสิ่งที่อาจารย์รุ่นหลังเติมเข้าไปเอง และต่อมาก็มีการเหมาเอาดื้อ ๆ ว่า พระพุทธเจ้าเปรียบบุคคลเหมือนบัว 4 เหล่าซึ่งศัพท์เทคนิคเขาเรียกเหตุการณ์อย่างนี้ว่าเป็นการ “กล่าวตู่พุทธพจน์”
ครั้งแรกที่ผมได้อ่านข้อความเช่นนี้ที่พระพุทธเจ้าแบ่งบุคคลออกเป็นบัวแค่ 3 เหล่า ไม่มีบัวเหล่าที่ 4 คือคนที่สอนยังไงก็ไม่ขึ้น มันรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาในหัวใจและรู้สึกว่า คนเราเมื่อเกิดมาแล้ว ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องที่ยากแค่ไหน หากมีความพยายามทำดีไม่ลดละมันก็ต้องได้ดีแน่ ๆ อาจจะเป็นเพราะความเชื่อฝังใจเช่นนี้กระมังครับที่บางครั้งดูเหมือนผมพยายามเขียนให้กำลังใจท่านผู้อ่าน แต่จริง ๆ แล้วที่ผมเขียนอย่างนั้นเพราะผมเชื่อจริง ๆ อย่างนั้น ไม่ได้เขียนเพราะจงใจจะให้กำลังใจท่านผู้อ่าน แต่เขียนเพราะความจริงมีอยู่ว่า คนทุกคนมีใจ และใจนั้นมีกำลัง ขออย่างเดียวเท่านั้นแหละ คือ ขอให้เราออกกำลังใจอยู่เรื่อย ๆ ใจก็จะมีกำลังและแข็งแรง
ผมชอบยกเอาสำนวนของโกวเล้งนักเขียนอมตะนิยายจีนกำลังภายใน ที่บอกว่า “ฟ้าไม่รานน้ำใจคนพยายาม” แต่ผมก็เชื่อเช่นนี้จริง ๆ เชื่อว่าถ้าท่านผู้อ่านรักที่จะเรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการฟัง – พูด – อ่าน – เขียน ถ้าพยายามไม่ลดละฟ้าก็จะไม่ละรานท่าน แต่ฟ้าก็ชอบเอาความยากมาลองใจผู้คนว่าเอาจริงหรือเปล่า ถ้าเอาจริงก็จะเป็นจริงอย่างที่บางคนพูดไว้ “ฟ้ามิอาจกั้น”
ย้อนกลับพูดเรื่องที่ผมบอกว่าตัวเองเป็นคนโชคดีในชีวิต เมื่อมานั่งนิ่งเงียบ ๆ นึกย้อนหลัง ก็ได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่เป็นโชคดีที่สุดในชีวิตคือการที่ผมได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมไม่รู้ว่าธรรมศาสตร์เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร แต่บรรยากาศของสถาบันที่ท่าพระจันทร์เมื่อประมาณ 25 ปีที่แล้วเป็นบรรยากาศในอุดมคติของผมจริง ๆ ผมไม่รู้สึกว่าต้องรีบเรียนให้จบ จึงใช้เวลาที่รั้วท่าพระจันทร์ 5 ปีแทนที่จะเป็น 4 ปีตามปกติ ยังจำได้ถึงป้ายและสติกเกอร์ที่ติดตามตึกต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีกิจกรรมนักศึกษา เช่น “ที่นี่คือดินแดนแห่งเสรีภาพทุกตารางนิ้ว” หรือ “ฉันรักธรรมศาสตร์เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน” ณ วันนี้ห่างจากวันนั้นเนิ่นนานพอควร แต่ผมก็คงจะหาอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ เพื่อใช้หนึ้ประชาชน นักศึกษารุ่นเราถูกธรรมศาสตร์สอนว่า เราเป็นหนี้ประชาชน และเราก็เชื่ออย่างที่เราถูกสอน
การได้รู้ได้เห็นอะไรมากกว่า 1 อย่างนี่มันก็มีประโยชน์ดีเหมือนกันนะครับ เมื่อเรียนจบผมได้ทำงานในชนบท 10 ปี นี่คือช่วงเวลาของการรู้จักเมืองไทยอย่างแท้จริง รู้จักว่าความจน ความลำบากของผู้คนในต่างจังหวัดเป็นอย่างไร และพร้อมกันนั้นก็รู้จักความงดงามของพื้นที่และจิตใจของผู้คน หลังจากนี้ผมได้ย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพจนถึงวันนี้ประมาณ 15 ปี เมื่อเห็นคนชนบทโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอีสานที่มาทำงานในกรุงเทพ หรือที่ไปทำงานและผมได้ไปพบปะพูดคุยในต่างประเทศ ในใจมันไม่ได้รู้สึกห่างเหินเลยครับ คนเหล่านี้ก็คือคนที่ผมไปกินไปนอนด้วยในช่วง 10 ปีที่ใช้ชีวิตในชนบท ผมคงโชคร้ายถ้าไม่มีช่วงเวลา 10 ปีในชนบท มันเป็นช่วงเวลาของการศึกษาเมืองไทยอย่างแท้จริง
และเมื่อโชคอนุญาตให้ผมได้เดินทางไปประชุม อบรม ดูงาน และท่องเที่ยวในอีกประมาณ 30 ประเทศ แม้จะเป็นประเทศละนิดละหน่อย ผมก็อดไม่ได้ที่จะนึกเปรียบเทียบประเทศเหล่านั้นกับเมืองไทย ความรู้สึกเด่นที่สุดที่เกิดขึ้นก็คือ ถ้าผมมีบุญได้เกิดอีกครั้ง ผมก็จะขอเกิดเป็นคนไทย เกิดมาเพื่อรับรู้ทุกข์ ๆ สุข ๆ อย่างไทย ๆ เรานี่แหละ เมืองไทยจะน่าอยู่อีกเยอะถ้าคนไทยเราช่วยกันทำให้มันน่าอยู่มากกว่านี้
โลกทุกวันนี้ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากขึ้นและมากขึ้น เทคโนโลยีและนวัตกรรมหลายอย่างทำให้โลกนี้กลายเป็นโลกไร้พรมแดน การรู้ภาษาอังกฤษช่วยทำให้เราก้าวตามทันโลกที่หมุนเร็วมาก และผมหวังว่าบล็อกนี้จะช่วยท่านผู้อ่านได้บ้างไม่มากก็น้อย ท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับ บางครั้งที่ผมไปพบเว็บดี ๆ และเอามาเขียนแนะนำ มีบ้างที่เวลาล่วงเลยไปถึงตี 1 หรือเกือบตี 2 ผมเขียนคุยอย่างมีความสุขและล้มตัวลงนอนอย่างมีความสุข เพราะรู้ว่าในวันรุ่งขึ้นสิ่งที่เอามาแนะนำจะมีประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านบางท่าน ถึงแม้วันรุ่งขึ้นจะง่วงนอนในที่ทำงานบ้างก็ไม่เป็นไรครับ สบายมาก ก็อย่างที่เรียนแล้วว่างานที่ทำนี้เป็น labour of love
วันจันทร์นี้ (10 พย.51)ผมจะไปมาเลเซีย 10 วัน คงจะมีอะไรถือกลับมาเล่าให้ท่านฟังบ้างล่ะครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ผมจะไม่เจอท่านผู้อ่าน 10 วัน คือผมมีงานที่ต้องไปมาเลเซียวันที่ 10 – 19 พ.ย.นี้ ฉะนั้นวันนี้อนุญาตให้ผมคุยอะไรสักนิดหน่อยแล้วกันนะครับ
ผมรู้สึกคิดถึงท่านผู้อ่านครับ ถ้าถามว่าคิดถึงยังไง เพราะถ้าไม่นับเพื่อนที่ทำงานบางคนที่อ่านบล็อกนี้ ผมก็ไม่เคยเห็นหน้าท่านผู้อ่านเลย คำถามนี้ตอบให้เหมือนใจได้ยากจริง ๆ ครับ รู้แต่ว่าใน 2 ปีที่เขียนบล็อกนี้ ทุกนาทีที่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์และใช้ 2 นิ้วชี้เคาะแป้นเพื่อพิมพ์ข้อความ ผมก็คิดถึงท่านผู้อ่าน แต่มิได้คิดถึงว่ามีหน้าตาอย่างนั้นอย่างนี้ ทว่าคิดถึงด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจและใกล้ชิดแม้จะไม่ได้รู้จักชื่อและไม่ได้เห็นหน้า ประโยคบอกเล่าที่เพิ่งเขียนจบนี้ก็ยังสื่อความรู้สึกได้ไม่ถึงครึ่งใจ
มีบางคนถามผมว่า ทำบล็อกอย่างนี้ได้อะไรบ้าง ผมตอบว่าไม่ได้อะไร แล้วก็สำนึกภายหลังว่าตอบผิด เพราะสิ่งที่ผมทำนี้มีศัพท์ฝรั่งเรียกว่า labour of love ทำแล้วให้ความสุขใจเป็นสิ่งตอบแทน
อันที่จริงผมก็ไม่ได้ทำอะไรมาก ผมเพียงแต่ไปหามาว่าเว็บดี ๆ นั้นมีอยู่ที่ไหน แล้วก็เอามาแนะนำท่านผู้อ่าน ถ้าท่านผู้อ่านเข้าไปใช้เว็บใดแล้วรู้สึกว่าดีมีประโยชน์ ก็ขอให้ขอบคุณเจ้าของหรือ webmaster เว็บนั้นก่อนแล้วกันครับ ถ้าเปรียบเหมือนอาหาร เขาเหล่านั้นก็เป็นคนออกเงินซื้อวัสดุและเป็นคนปรุงอาหาร ส่วนผมก็แค่ยกมาเสิร์ฟท่านเท่านั้นเอง ภาษาอังกฤษเรียกว่า waiter หรือพนักงานเสิร์ฟ หรือเรียกว่า บ๋อย ก็ได้ครับ เพราะฉะนั้น ผมเป็น Blog Master ก็คือเป็น บ๋อยเสิร์ฟเว็บ ให้ท่านผู้อ่านเท่านั้นเองครับ แต่ก็มีความสุขครับที่ได้ทำหน้าที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ตามสมควรแก่อัตภาพเช่นนี้
2 ปีที่เป็นบ๋อยเสิร์ฟเว็บนี้ ผมได้พบอะไรบางอย่าง ก็คือว่า เว็บนี้ชื่อว่า “เรียนภาษาอังกฤษผ่านเน็ต ฟรี” นั่นคือท่านจะต้อง “เรียนด้วยตนเอง” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “self–study” แต่ความสามารถในการเรียนด้วยตนเองของท่านผู้อ่านหลากหลายมากครับ อย่างน้อยก็ต่างกัน 3 เรื่อง คือ (1) ความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์ – บางท่านก็ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่บางท่านมีปัญหา เช่น ดาวน์โหลดหรือ save ไฟล์ก็ไม่เป็น, แตกไฟล์ zip ก็ไม่เป็น, ติดตั้งไฟล์โปรแกรมก็ไม่เป็น, พบตัวอักษรเป็นตัวยึกยือก็ encode ไม่เป็น ฯลฯ [คลิกอ่านคำแนะนำที่ 1 และ 2 ] (2) พื้นฐานภาษาอังกฤษ – บางท่านสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งเว็บฝรั่งและเว็บไทย บางท่านต้องเป็นเว็บไทยเท่านั้น เพราะอ่านเว็บฝรั่งไม่ค่อยเข้าใจ (3) ความสามารถในการ search หรือค้นหาเรื่องที่ต้องการจากบล็อกนี้ บางท่านแม้เรื่องนั้น ๆ จะมีอยู่ในบล็อกนี้แล้ว แต่หายังไง ๆ ก็ไม่เจอ(หรือขี้เกียจหา?) แต่บางท่านก็หาได้อย่างสะดวกสบาย [คลิกอ่านคำแนะนำ ที่นี่ ]
เรื่องของเรื่องก็คือ ผมรู้สึกว่าตนเองเป็นคนมีความสุขและโชคดี และอยากจะแบ่งปันความรู้สึกเช่นนี้ให้ท่านผู้อ่านบ้าง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกพื้นฐานเช่นนี้เกิดจากอะไร รู้แต่ว่าผมไม่ค่อยมีความรู้สึกร้อนอกร้อนใจอะไรในชีวิตมากนัก มีงานประจำก็ทำไปให้มันดีที่สุด ว่างจากงานประจำและอย่างอื่นก็มานั่งคุยกับท่านผู้อ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์นี่แหละครับ ส่วนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนมีโชคดีในชีวิตก็อาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ครับ คือแม้ว่าตอนเด็กพ่อแม่ของผมจะเป็นคนจนหาเช้ากินค่ำ และคนจนก็ต้องเจอกับเรื่องร้าย ๆ บ้างเป็นธรรมดา แต่ผมมองใจตัวเองอยู่เรื่อย ๆ และก็เห็นว่า ผมไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย โลกนี้มีความดีความงามเยอะแยะให้เรามอง ไม่มีประโยชน์หรือ make sense เลยที่มัวแต่จ้องมองเรื่องร้าย ๆ ในชีวิต ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าพ่อแม่ของผมสอนผมยังไงในเรื่องนี้ แต่ท่านต้องสอนแน่ ๆ เพียงแต่ผมยังนึกไม่ออกเท่านั้นเองว่าท่านสอนยังไงให้เป็นคนมองโลกในแง่ดี
มานั่งนึกอีกที นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ผมมักจะเรียนท่านผู้อ่านว่า ถ้าท่านเห็นประโยชน์ของภาษาอังกฤษก็พยายามฝึกไปเถอะครับ และก็ไม่ต้องร้อนรนใจในขณะที่ฝึก ฝึกไปเรื่อย ๆ มันก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ เองแหละ นี่ผมคงจะเอาความรู้สึกลึก ๆ ส่วนตัวมาเขียนคุยกับท่านผู้อ่านโดยที่ผมเองไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเขียนเรื่องอะไรพอเขียนไปเขียนมาสักพักก็จะย้อนกลับมาเขียนทำนองนี้ทุกที ดู ๆ ไปแล้วก็น่าขำดี ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งเบื่อนะครับ ผมก็เป็นอย่างนี้แหละ
หลายปีมาแล้วสมัยที่ยังเป็นนักศึกษา ผมเคยอ่านพบว่าในพระไตรปิฎกในส่วนที่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้าท่านเปรียบบุคคลเหมือนบัว 3 เหล่า คือ 1. อุคฆฏิตัญญู – ผู้รู้เข้าใจได้ฉับพลัน เพียงได้ฟังแค่หัวข้อธรรมะที่ท่านยกขึ้นแสดงก็เข้าใจทันที 2. วิปจิตัญญู – ผู้รู้เข้าใจต่อเมื่อท่านขยายความ และ 3. เนยยะ – ผู้ที่พอจะแนะนำต่อไปได้ พระพุทธเจ้าไม่เคยเปรียบบุคคลเหมือนบัวเหล่าที่ 4. คือ ปทปรมะ – คือคนที่สอนยังไงก็ไม่เข้าใจ บัวเหล่าที่ 4 นี้เป็นสิ่งที่อาจารย์รุ่นหลังเติมเข้าไปเอง และต่อมาก็มีการเหมาเอาดื้อ ๆ ว่า พระพุทธเจ้าเปรียบบุคคลเหมือนบัว 4 เหล่าซึ่งศัพท์เทคนิคเขาเรียกเหตุการณ์อย่างนี้ว่าเป็นการ “กล่าวตู่พุทธพจน์”
ครั้งแรกที่ผมได้อ่านข้อความเช่นนี้ที่พระพุทธเจ้าแบ่งบุคคลออกเป็นบัวแค่ 3 เหล่า ไม่มีบัวเหล่าที่ 4 คือคนที่สอนยังไงก็ไม่ขึ้น มันรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาในหัวใจและรู้สึกว่า คนเราเมื่อเกิดมาแล้ว ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องที่ยากแค่ไหน หากมีความพยายามทำดีไม่ลดละมันก็ต้องได้ดีแน่ ๆ อาจจะเป็นเพราะความเชื่อฝังใจเช่นนี้กระมังครับที่บางครั้งดูเหมือนผมพยายามเขียนให้กำลังใจท่านผู้อ่าน แต่จริง ๆ แล้วที่ผมเขียนอย่างนั้นเพราะผมเชื่อจริง ๆ อย่างนั้น ไม่ได้เขียนเพราะจงใจจะให้กำลังใจท่านผู้อ่าน แต่เขียนเพราะความจริงมีอยู่ว่า คนทุกคนมีใจ และใจนั้นมีกำลัง ขออย่างเดียวเท่านั้นแหละ คือ ขอให้เราออกกำลังใจอยู่เรื่อย ๆ ใจก็จะมีกำลังและแข็งแรง
ผมชอบยกเอาสำนวนของโกวเล้งนักเขียนอมตะนิยายจีนกำลังภายใน ที่บอกว่า “ฟ้าไม่รานน้ำใจคนพยายาม” แต่ผมก็เชื่อเช่นนี้จริง ๆ เชื่อว่าถ้าท่านผู้อ่านรักที่จะเรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการฟัง – พูด – อ่าน – เขียน ถ้าพยายามไม่ลดละฟ้าก็จะไม่ละรานท่าน แต่ฟ้าก็ชอบเอาความยากมาลองใจผู้คนว่าเอาจริงหรือเปล่า ถ้าเอาจริงก็จะเป็นจริงอย่างที่บางคนพูดไว้ “ฟ้ามิอาจกั้น”
ย้อนกลับพูดเรื่องที่ผมบอกว่าตัวเองเป็นคนโชคดีในชีวิต เมื่อมานั่งนิ่งเงียบ ๆ นึกย้อนหลัง ก็ได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่เป็นโชคดีที่สุดในชีวิตคือการที่ผมได้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมไม่รู้ว่าธรรมศาสตร์เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร แต่บรรยากาศของสถาบันที่ท่าพระจันทร์เมื่อประมาณ 25 ปีที่แล้วเป็นบรรยากาศในอุดมคติของผมจริง ๆ ผมไม่รู้สึกว่าต้องรีบเรียนให้จบ จึงใช้เวลาที่รั้วท่าพระจันทร์ 5 ปีแทนที่จะเป็น 4 ปีตามปกติ ยังจำได้ถึงป้ายและสติกเกอร์ที่ติดตามตึกต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีกิจกรรมนักศึกษา เช่น “ที่นี่คือดินแดนแห่งเสรีภาพทุกตารางนิ้ว” หรือ “ฉันรักธรรมศาสตร์เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน” ณ วันนี้ห่างจากวันนั้นเนิ่นนานพอควร แต่ผมก็คงจะหาอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ เพื่อใช้หนึ้ประชาชน นักศึกษารุ่นเราถูกธรรมศาสตร์สอนว่า เราเป็นหนี้ประชาชน และเราก็เชื่ออย่างที่เราถูกสอน
การได้รู้ได้เห็นอะไรมากกว่า 1 อย่างนี่มันก็มีประโยชน์ดีเหมือนกันนะครับ เมื่อเรียนจบผมได้ทำงานในชนบท 10 ปี นี่คือช่วงเวลาของการรู้จักเมืองไทยอย่างแท้จริง รู้จักว่าความจน ความลำบากของผู้คนในต่างจังหวัดเป็นอย่างไร และพร้อมกันนั้นก็รู้จักความงดงามของพื้นที่และจิตใจของผู้คน หลังจากนี้ผมได้ย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพจนถึงวันนี้ประมาณ 15 ปี เมื่อเห็นคนชนบทโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอีสานที่มาทำงานในกรุงเทพ หรือที่ไปทำงานและผมได้ไปพบปะพูดคุยในต่างประเทศ ในใจมันไม่ได้รู้สึกห่างเหินเลยครับ คนเหล่านี้ก็คือคนที่ผมไปกินไปนอนด้วยในช่วง 10 ปีที่ใช้ชีวิตในชนบท ผมคงโชคร้ายถ้าไม่มีช่วงเวลา 10 ปีในชนบท มันเป็นช่วงเวลาของการศึกษาเมืองไทยอย่างแท้จริง
และเมื่อโชคอนุญาตให้ผมได้เดินทางไปประชุม อบรม ดูงาน และท่องเที่ยวในอีกประมาณ 30 ประเทศ แม้จะเป็นประเทศละนิดละหน่อย ผมก็อดไม่ได้ที่จะนึกเปรียบเทียบประเทศเหล่านั้นกับเมืองไทย ความรู้สึกเด่นที่สุดที่เกิดขึ้นก็คือ ถ้าผมมีบุญได้เกิดอีกครั้ง ผมก็จะขอเกิดเป็นคนไทย เกิดมาเพื่อรับรู้ทุกข์ ๆ สุข ๆ อย่างไทย ๆ เรานี่แหละ เมืองไทยจะน่าอยู่อีกเยอะถ้าคนไทยเราช่วยกันทำให้มันน่าอยู่มากกว่านี้
โลกทุกวันนี้ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากขึ้นและมากขึ้น เทคโนโลยีและนวัตกรรมหลายอย่างทำให้โลกนี้กลายเป็นโลกไร้พรมแดน การรู้ภาษาอังกฤษช่วยทำให้เราก้าวตามทันโลกที่หมุนเร็วมาก และผมหวังว่าบล็อกนี้จะช่วยท่านผู้อ่านได้บ้างไม่มากก็น้อย ท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับ บางครั้งที่ผมไปพบเว็บดี ๆ และเอามาเขียนแนะนำ มีบ้างที่เวลาล่วงเลยไปถึงตี 1 หรือเกือบตี 2 ผมเขียนคุยอย่างมีความสุขและล้มตัวลงนอนอย่างมีความสุข เพราะรู้ว่าในวันรุ่งขึ้นสิ่งที่เอามาแนะนำจะมีประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านบางท่าน ถึงแม้วันรุ่งขึ้นจะง่วงนอนในที่ทำงานบ้างก็ไม่เป็นไรครับ สบายมาก ก็อย่างที่เรียนแล้วว่างานที่ทำนี้เป็น labour of love
วันจันทร์นี้ (10 พย.51)ผมจะไปมาเลเซีย 10 วัน คงจะมีอะไรถือกลับมาเล่าให้ท่านฟังบ้างล่ะครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[863]ดาวน์โหลดหนังสือภาพ English through Pictures
สวัสดีครับ
หนังสือภาพ English through Pictures มีภาพศัพท์ประมาณ 500 คำ เป็นคำพื้นฐานสำหรับผู้ที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษ แต่ละคำมีคำศัพท์, ภาพหลายภาพที่ช่วยอธิบายศัพท์, และประโยคหลายประโยคที่ช่วยอธิบายศัพท์ ทำให้ท่านไม่ต้องออกแรงมากเกินไปในการเข้าใจและจดจำศัพท์
ถ้าท่านเรียนด้วยตัวเอง หนังสือเล่มนี้ก็จะช่วยให้การเรียนและจำศัพท์เป็นเรื่องที่เบาขึ้น ถ้าท่านเป็นอาจารย์ผู้สอน ผมก็เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้การสอนให้ศิษย์รู้จักและจดจำคำศัพท์เป็นเรื่องที่เบาขึ้นเช่นกัน
เชิญ คลิกดาวน์โหลด
ขอเพิ่มอีก 2 เล่มครับ:
English Grammar Book Pictures for Writing
เล่ม 1
เล่ม 2
ศึกษาเพิ่มเติม:
การศึกษาภาษาอังกฤษจากภาพ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
หนังสือภาพ English through Pictures มีภาพศัพท์ประมาณ 500 คำ เป็นคำพื้นฐานสำหรับผู้ที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษ แต่ละคำมีคำศัพท์, ภาพหลายภาพที่ช่วยอธิบายศัพท์, และประโยคหลายประโยคที่ช่วยอธิบายศัพท์ ทำให้ท่านไม่ต้องออกแรงมากเกินไปในการเข้าใจและจดจำศัพท์
ถ้าท่านเรียนด้วยตัวเอง หนังสือเล่มนี้ก็จะช่วยให้การเรียนและจำศัพท์เป็นเรื่องที่เบาขึ้น ถ้าท่านเป็นอาจารย์ผู้สอน ผมก็เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้การสอนให้ศิษย์รู้จักและจดจำคำศัพท์เป็นเรื่องที่เบาขึ้นเช่นกัน
เชิญ คลิกดาวน์โหลด
ขอเพิ่มอีก 2 เล่มครับ:
English Grammar Book Pictures for Writing
เล่ม 1
เล่ม 2
ศึกษาเพิ่มเติม:
การศึกษาภาษาอังกฤษจากภาพ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[862]รู้ศัพท์ทุกตัวแต่ก็ยังอ่านไม่รู้เรื่อง ทำไงดี?
สวัสดีครับ
คงมีบางท่านที่เมื่ออ่านภาษาอังกฤษ ไม่ว่าเป็นอ่านข่าว นิยาย การ์ตูน บทความ ตำรา ฯลฯ ทั้ง ๆ ที่รู้ศัพท์ทุกคำหรือแทบทุกคำ แต่ก็ยังอ่านไม่รู้เรื่อง หรือรู้เรื่องน้อยเกินไป แล้วจะทำยังไงดี?
ความคิดเห็นหรือคำแนะนำข้างล่างนี้มาจากประสบการณ์ส่วนตัวล้วน ๆ ผมไม่แน่ใจว่าถูกหลักวิชาการหรือเปล่า หากผิดพลาดท่านผู้รู้โปรดเมตตาแนะนำด้วยนะครับ
การที่เราจะเปลี่ยนจากอ่านไม่รู้เรื่องให้เป็นอ่านรู้เรื่อง ก็ต้องสาวไปหาสาเหตุ เมื่อแก้ที่สาเหตุได้ ผลดีที่หวังก็จะตามมาเอง ผมขอว่าเป็นข้อ ๆ ไปเลยนะครับ
1. เรื่องที่อ่านยากเกินไปสำหรับเรา เราก็เลยอ่านไม่รู้เรื่อง เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องดูอื่นไกลหรอกครับ ดูภาษาไทยเรานี่แหละ ท่านเคยหยิบตำราแคลคูลัส กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หลักเศรษศาสตร์มหภาคชั้นสูง หรือตำราอื่น ๆ ที่มีชื่อขึงขังทำนองนี้มาอ่านไหมครับ ทั้ง ๆ ที่เขียนเป็นภาษาไทยนี่แหละครับ แต่ถ้าท่านไม่มีพื้นความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือไม่ได้ทำงานในแวดวงนี้ อ่านไปเถอะครับ ยิ่งอ่านยิ่งไม่รู้เรื่อง นี่เป็นภาษาไทยยังมึนขนาดนี้ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็จะยิ่งมึนเนอร์ และมึนเนสต์ตามลำดับ (คือเป็นขั้นกว่า และขั้นที่สุดของความมึน) การอ่านเนื้อเรื่องที่ยากเกินไปนี้ ทำให้เกิดอะไรตามมา? มีหลายข้อครับ เช่น
- - - เมื่อเปิดดิก และดิกโชว์ไว้หลายความหมาย ก็ไม่รู้ว่าความหมายไหนมันตรงกับเรื่องที่อ่าน ยิ่งถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องนอกวงที่เราคุ้นเคย ถ้าเราเอาความหมายที่เราเคยรู้ไปแปลมันก็เข้าทำนองแปลไปคนละเรื่องเดียวกันเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น คำว่า cabinet ผมเองชอบอ่านข่าวการบ้านการเมือง พอเจอปุ๊บก็แปลปั๊บเลยว่า “คณะรัฐมนตรี” ส่วนรุ่นน้องของผมที่ทำงานในห้องเดียวกัน พวกนี้เป็นช่างทั้งนั้น ก็แปลทันทีเหมือนกันว่า “ตู้เก็บของ” ศัพท์ที่มีหลายความหมาย และความหมายของเนื้อเรื่องที่เรากำลังอ่านเป็นความหมายที่เราไม่รู้ และถ้าขืนดันทุรังแปลไปตามความหมายที่ตัวเองรู้ แล้วมันจะเป็นยังไงล่ะครับ ก็มั่วน่าชมซีครับ ผมว่านี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โปรแกรมแปลภาษา อังกฤษเป็นไทย หรือไทยเป็นอังกฤษ แปลออกมาแล้วจึงอ่านไม่รู้เรื่องหรือปนตลกขบขันหรือขมขื่น นี่คือความยากข้อแรก คือไม่รู้จะหยิบความหมายไหนจากดิกมาแปลเนื้อหาที่เรากำลังอ่าน
-- - การอ่านเรื่องที่ยากเกินไป พอติดขัดขึ้นมาทำให้เราเดาเนื้อเรื่องได้ยาก แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เราคุ้นเคยก็เดาได้ง่ายหน่อย ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็ได้ครับ เช่น หนังสือพิมพ์ The Nation ลงข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างคนใส่เสื้อเหลืองกับคนใส่เสื้อแดง กับสำนักข่าว CNN ลงข่าวการปะทะคารมทางการเมืองระหว่างโอบามากับแมคเคน ผมแน่ใจเลยว่าคนไทยเราเมื่ออ่านเนื้อข่าวและติดขัด จะสามารถเดาเนื้อเรื่องที่อ่านใน The Nation ได้ง่ายกว่าที่อ่านใน CNN เพราะเราคุ้นเคยหรือมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานในเรื่องนี้มากกว่า
- - - ข้อต่อไปเป็นเรื่องของการตีความ แม้เราจะรู้ว่าศัพท์ตัวนี้ ในกรณีเช่นนี้ ๆ แปลว่าอะไร แต่พอเอาไปรวมกับคำอื่น ๆ ในประโยคนั้น ๆ ซึ่งอาจจะเป็นคำที่ยากพอ ๆ กันหรือยากมากกว่า ก็เลยตีความไม่แตก ก็เลยมึนตึ๊บ ข้อนี้คือความยากของการตีความชั้นแรก คือตีความตามตัวอักษร แต่ก็ยังมีที่ยากกว่านี้ขึ้นไปอีก คือ ตีความตามเจตนารมย์ของตัวอักษรหรือเจตนารมย์ของผู้เขียน ไม่ต้องภาษาอังกฤษหรอกครับ ภาษาไทยนี่แหละก็มีข่าวทำนองนี้ให้อ่านเป็นระยะ ๆ
สรุปอีกทีก็คือ ถ้าอ่านเนื้อเรื่องที่ยากเกินไป ก็จะมีปัญหาอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ (1) เปิดดิกแล้วก็ยังเลือกความหมายไม่ถูก (2) เดาไม่ถูก และ (3) ตีความไม่ถูก
ทางแก้ง่าย ๆ ก็คือ อย่าไปอ่านเรื่องที่ยากเกินไป ให้อ่านเรื่องที่พอฟัดพอเหวี่ยง หรือถ้ามันยากเกินไปสักนิดก็หมายความว่าเรามีความสุขที่จะฟัดกับเรื่องที่อ่าน ท้าทายตัวเองให้อ่านรู้เรื่องให้ได้ อย่างนี้ก็ตามสะดวกครับ
แต่ถ้าเนื้อเรื่องนี้เรา “จำเป็น” ต้องอ่าน เพราะเป็นวิชาบังคับหรือเป็นงานบังคับที่ต้องทำ ก็ต้องไปสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นเป็นพื้นฐานไว้ก่อน เรียนรู้ศัพท์เทคนิคที่จะต้องอ่านพบ หรือให้ใครมาช่วยอธิบาย concept หลัก ๆ ของเรื่องที่จะอ่านซะก่อน ถ้าทำการบ้านอย่างนี้ไว้ก่อน ก็จะอ่านได้ง่ายขึ้น เข้าสนามรบไม่เตรียมอาวุธ ไม่เตรียมเครื่องป้องกันตัว ไม่เรียนรู้วิธีหลบหลีกการโจมตีของข้าศึก อย่างนี้โอกาสชนะมีน้อยครับ
ศึกษาเรื่องการเดาศัพท์ คลิก
2. ไม่เข้าใจแกรมมาร์เลยอ่านไม่เข้าใจ
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การอ่านภาษาอังกฤษมันยากนักคงเพราะว่า โครงสร้างประโยคมันมีวลี (phrase) และ อนุประโยค (clause) เยอะเหลือเกิน ขยายกันไปขยายกันมาอย่างซับซ้อนจนเรารู้สึกสับสนไม่รู้ว่าอะไรขยายอะไร อะไรคือประธาน อะไรคือกริยาหลัก ยิ่งถ้าเป็นประโยคยาว ๆ และเชิงซ้อนมากเท่าใด ก็ยิ่งยุ่งและยากมากเท่านั้น ผมพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้บ้างแล้งที่ลิงค์นี้ คลิก ท่านลองอ่านรายละเอียดดูแล้วกันครับ
3. อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้อ่านไม่รู้เรื่องก็เป็นเรื่องศัพท์อีกเหมือนกัน แต่เป็นศัพท์ที่เรียกว่า phrasal verb
phrasal verb ประกอบด้วย verb ที่รวมกับ preposition หรือ adverb หรือทั้งสองอย่าง รวมกันแล้วมีความหมายที่ต่างไปจากศัพท์แต่ละคำที่มารวมกัน
เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้าเรายังขืนแปลไปตามตัวมันก็เลยไม่รู้เรื่อง
ผมไม่รู้ว่าดิกอังกฤษ – ไทยคุณภาพดี ที่รวบรวม phrasal verb ไว้โดยเฉพาะมีหรือไม่ แต่ถ้าเป็นเว็บฝรั่งละก็มีแน่ ๆ ครับ ผมรวบรวมไว้แล้วที่ลิงค์นี้ครับ คลิก
หรือถ้าท่านต้องการดาวน์โหลดตำราเป็นเล่ม ๆ เกี่ยวกับ phrasal verb ก็ไปที่นี่ครับ คลิก
4. ใจร้อนเกินไป หรือสมาธิน้อยเกินไป ก็เลยอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่ควรจะรู้เรื่อง ถ้าถามว่าต้องมีสมาธิขนาดไหนล่ะ เอาอย่างนี้แล้วกันครับ สมมุติว่าท่านตั้งใจเจียดเวลาให้แก่การฝึกอ่านภาษาอังกฤษวันละ 30 นาที ให้ท่านนั่งสงบ ๆ และอ่านด้วยความรู้สึกว่า กำลังอ่านเพื่อทำข้อสอบไล่, 30 นาทีนี้คือ 30 นาทีที่กำลังนั่งในห้องสอบ พยายามอ่านด้วยใจที่เป็นสมาธิมากที่สุดโดยไม่ต้องร้อนรน พลังแห่งสมาธิเช่นนี้ถ้าฝึกเสมอ ๆ จะช่วยให้ท่านอ่านได้รู้เรื่องมากกว่าและเร็วกว่าอ่านด้วยใจที่มีสมาธิฝ่อ ๆ
5. ผมขอจบด้วยข้อสุดท้ายว่า จะฝึกอ่านภาษาอังกฤษให้เก่งต้องอาศัยเวลาครับ เพราะความพยายาม + เวลา = ความสำเร็จ ก็เหมือนภาษิตฝรั่งที่เขาว่าไว้นั่นแหละครับ
Where there's a will there's a way. ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ต่อให้ท่านทำมาอย่างถูกวิธีตั้งแต่ข้อ 1 – 4 แต่ถ้าขาดข้อ 5 คือความพยายามอย่างต่อเนื่อง ก็สำเร็จยากครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
คงมีบางท่านที่เมื่ออ่านภาษาอังกฤษ ไม่ว่าเป็นอ่านข่าว นิยาย การ์ตูน บทความ ตำรา ฯลฯ ทั้ง ๆ ที่รู้ศัพท์ทุกคำหรือแทบทุกคำ แต่ก็ยังอ่านไม่รู้เรื่อง หรือรู้เรื่องน้อยเกินไป แล้วจะทำยังไงดี?
ความคิดเห็นหรือคำแนะนำข้างล่างนี้มาจากประสบการณ์ส่วนตัวล้วน ๆ ผมไม่แน่ใจว่าถูกหลักวิชาการหรือเปล่า หากผิดพลาดท่านผู้รู้โปรดเมตตาแนะนำด้วยนะครับ
การที่เราจะเปลี่ยนจากอ่านไม่รู้เรื่องให้เป็นอ่านรู้เรื่อง ก็ต้องสาวไปหาสาเหตุ เมื่อแก้ที่สาเหตุได้ ผลดีที่หวังก็จะตามมาเอง ผมขอว่าเป็นข้อ ๆ ไปเลยนะครับ
1. เรื่องที่อ่านยากเกินไปสำหรับเรา เราก็เลยอ่านไม่รู้เรื่อง เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องดูอื่นไกลหรอกครับ ดูภาษาไทยเรานี่แหละ ท่านเคยหยิบตำราแคลคูลัส กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หลักเศรษศาสตร์มหภาคชั้นสูง หรือตำราอื่น ๆ ที่มีชื่อขึงขังทำนองนี้มาอ่านไหมครับ ทั้ง ๆ ที่เขียนเป็นภาษาไทยนี่แหละครับ แต่ถ้าท่านไม่มีพื้นความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือไม่ได้ทำงานในแวดวงนี้ อ่านไปเถอะครับ ยิ่งอ่านยิ่งไม่รู้เรื่อง นี่เป็นภาษาไทยยังมึนขนาดนี้ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็จะยิ่งมึนเนอร์ และมึนเนสต์ตามลำดับ (คือเป็นขั้นกว่า และขั้นที่สุดของความมึน) การอ่านเนื้อเรื่องที่ยากเกินไปนี้ ทำให้เกิดอะไรตามมา? มีหลายข้อครับ เช่น
- - - เมื่อเปิดดิก และดิกโชว์ไว้หลายความหมาย ก็ไม่รู้ว่าความหมายไหนมันตรงกับเรื่องที่อ่าน ยิ่งถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องนอกวงที่เราคุ้นเคย ถ้าเราเอาความหมายที่เราเคยรู้ไปแปลมันก็เข้าทำนองแปลไปคนละเรื่องเดียวกันเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น คำว่า cabinet ผมเองชอบอ่านข่าวการบ้านการเมือง พอเจอปุ๊บก็แปลปั๊บเลยว่า “คณะรัฐมนตรี” ส่วนรุ่นน้องของผมที่ทำงานในห้องเดียวกัน พวกนี้เป็นช่างทั้งนั้น ก็แปลทันทีเหมือนกันว่า “ตู้เก็บของ” ศัพท์ที่มีหลายความหมาย และความหมายของเนื้อเรื่องที่เรากำลังอ่านเป็นความหมายที่เราไม่รู้ และถ้าขืนดันทุรังแปลไปตามความหมายที่ตัวเองรู้ แล้วมันจะเป็นยังไงล่ะครับ ก็มั่วน่าชมซีครับ ผมว่านี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โปรแกรมแปลภาษา อังกฤษเป็นไทย หรือไทยเป็นอังกฤษ แปลออกมาแล้วจึงอ่านไม่รู้เรื่องหรือปนตลกขบขันหรือขมขื่น นี่คือความยากข้อแรก คือไม่รู้จะหยิบความหมายไหนจากดิกมาแปลเนื้อหาที่เรากำลังอ่าน
-- - การอ่านเรื่องที่ยากเกินไป พอติดขัดขึ้นมาทำให้เราเดาเนื้อเรื่องได้ยาก แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เราคุ้นเคยก็เดาได้ง่ายหน่อย ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็ได้ครับ เช่น หนังสือพิมพ์ The Nation ลงข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างคนใส่เสื้อเหลืองกับคนใส่เสื้อแดง กับสำนักข่าว CNN ลงข่าวการปะทะคารมทางการเมืองระหว่างโอบามากับแมคเคน ผมแน่ใจเลยว่าคนไทยเราเมื่ออ่านเนื้อข่าวและติดขัด จะสามารถเดาเนื้อเรื่องที่อ่านใน The Nation ได้ง่ายกว่าที่อ่านใน CNN เพราะเราคุ้นเคยหรือมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานในเรื่องนี้มากกว่า
- - - ข้อต่อไปเป็นเรื่องของการตีความ แม้เราจะรู้ว่าศัพท์ตัวนี้ ในกรณีเช่นนี้ ๆ แปลว่าอะไร แต่พอเอาไปรวมกับคำอื่น ๆ ในประโยคนั้น ๆ ซึ่งอาจจะเป็นคำที่ยากพอ ๆ กันหรือยากมากกว่า ก็เลยตีความไม่แตก ก็เลยมึนตึ๊บ ข้อนี้คือความยากของการตีความชั้นแรก คือตีความตามตัวอักษร แต่ก็ยังมีที่ยากกว่านี้ขึ้นไปอีก คือ ตีความตามเจตนารมย์ของตัวอักษรหรือเจตนารมย์ของผู้เขียน ไม่ต้องภาษาอังกฤษหรอกครับ ภาษาไทยนี่แหละก็มีข่าวทำนองนี้ให้อ่านเป็นระยะ ๆ
สรุปอีกทีก็คือ ถ้าอ่านเนื้อเรื่องที่ยากเกินไป ก็จะมีปัญหาอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ (1) เปิดดิกแล้วก็ยังเลือกความหมายไม่ถูก (2) เดาไม่ถูก และ (3) ตีความไม่ถูก
ทางแก้ง่าย ๆ ก็คือ อย่าไปอ่านเรื่องที่ยากเกินไป ให้อ่านเรื่องที่พอฟัดพอเหวี่ยง หรือถ้ามันยากเกินไปสักนิดก็หมายความว่าเรามีความสุขที่จะฟัดกับเรื่องที่อ่าน ท้าทายตัวเองให้อ่านรู้เรื่องให้ได้ อย่างนี้ก็ตามสะดวกครับ
แต่ถ้าเนื้อเรื่องนี้เรา “จำเป็น” ต้องอ่าน เพราะเป็นวิชาบังคับหรือเป็นงานบังคับที่ต้องทำ ก็ต้องไปสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นเป็นพื้นฐานไว้ก่อน เรียนรู้ศัพท์เทคนิคที่จะต้องอ่านพบ หรือให้ใครมาช่วยอธิบาย concept หลัก ๆ ของเรื่องที่จะอ่านซะก่อน ถ้าทำการบ้านอย่างนี้ไว้ก่อน ก็จะอ่านได้ง่ายขึ้น เข้าสนามรบไม่เตรียมอาวุธ ไม่เตรียมเครื่องป้องกันตัว ไม่เรียนรู้วิธีหลบหลีกการโจมตีของข้าศึก อย่างนี้โอกาสชนะมีน้อยครับ
ศึกษาเรื่องการเดาศัพท์ คลิก
2. ไม่เข้าใจแกรมมาร์เลยอ่านไม่เข้าใจ
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การอ่านภาษาอังกฤษมันยากนักคงเพราะว่า โครงสร้างประโยคมันมีวลี (phrase) และ อนุประโยค (clause) เยอะเหลือเกิน ขยายกันไปขยายกันมาอย่างซับซ้อนจนเรารู้สึกสับสนไม่รู้ว่าอะไรขยายอะไร อะไรคือประธาน อะไรคือกริยาหลัก ยิ่งถ้าเป็นประโยคยาว ๆ และเชิงซ้อนมากเท่าใด ก็ยิ่งยุ่งและยากมากเท่านั้น ผมพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้บ้างแล้งที่ลิงค์นี้ คลิก ท่านลองอ่านรายละเอียดดูแล้วกันครับ
3. อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้อ่านไม่รู้เรื่องก็เป็นเรื่องศัพท์อีกเหมือนกัน แต่เป็นศัพท์ที่เรียกว่า phrasal verb
phrasal verb ประกอบด้วย verb ที่รวมกับ preposition หรือ adverb หรือทั้งสองอย่าง รวมกันแล้วมีความหมายที่ต่างไปจากศัพท์แต่ละคำที่มารวมกัน
เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้าเรายังขืนแปลไปตามตัวมันก็เลยไม่รู้เรื่อง
ผมไม่รู้ว่าดิกอังกฤษ – ไทยคุณภาพดี ที่รวบรวม phrasal verb ไว้โดยเฉพาะมีหรือไม่ แต่ถ้าเป็นเว็บฝรั่งละก็มีแน่ ๆ ครับ ผมรวบรวมไว้แล้วที่ลิงค์นี้ครับ คลิก
หรือถ้าท่านต้องการดาวน์โหลดตำราเป็นเล่ม ๆ เกี่ยวกับ phrasal verb ก็ไปที่นี่ครับ คลิก
4. ใจร้อนเกินไป หรือสมาธิน้อยเกินไป ก็เลยอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่ควรจะรู้เรื่อง ถ้าถามว่าต้องมีสมาธิขนาดไหนล่ะ เอาอย่างนี้แล้วกันครับ สมมุติว่าท่านตั้งใจเจียดเวลาให้แก่การฝึกอ่านภาษาอังกฤษวันละ 30 นาที ให้ท่านนั่งสงบ ๆ และอ่านด้วยความรู้สึกว่า กำลังอ่านเพื่อทำข้อสอบไล่, 30 นาทีนี้คือ 30 นาทีที่กำลังนั่งในห้องสอบ พยายามอ่านด้วยใจที่เป็นสมาธิมากที่สุดโดยไม่ต้องร้อนรน พลังแห่งสมาธิเช่นนี้ถ้าฝึกเสมอ ๆ จะช่วยให้ท่านอ่านได้รู้เรื่องมากกว่าและเร็วกว่าอ่านด้วยใจที่มีสมาธิฝ่อ ๆ
5. ผมขอจบด้วยข้อสุดท้ายว่า จะฝึกอ่านภาษาอังกฤษให้เก่งต้องอาศัยเวลาครับ เพราะความพยายาม + เวลา = ความสำเร็จ ก็เหมือนภาษิตฝรั่งที่เขาว่าไว้นั่นแหละครับ
Where there's a will there's a way. ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ต่อให้ท่านทำมาอย่างถูกวิธีตั้งแต่ข้อ 1 – 4 แต่ถ้าขาดข้อ 5 คือความพยายามอย่างต่อเนื่อง ก็สำเร็จยากครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[861] ฝากดิกอังกฤษ - ไทย ขนาดเล็ก ๆ เอาไปใช้งาน
สวัสดีครับ
วันนี้ผมอยู่ต่างจังหวัด คิดถึงท่านผู้อ่าน แต่ไม่มีเวลาอยู่หน้าคอมฯนาน ๆ เลยขอฝากดิกชันนารี อังกฤษ - ไทย ขนาดเล็ก ๆ แต่มีศัพท์เยอะให้ท่านผู้อ่านเอาไปใช้งานสัก 2 โปรแกรม เป็นโปรแกรมที่ติดตั้งและใช้งานง่าย
1. ดิก Hope: ขนาด 9.7 MB
http://www.thaiware.com/main/info.php?id=1737
2. จ๊ะเอ๋ดิกชันนารี: ขนาด 6.58 MB
http://www.thaiware.com/main/info.php?id=2026
ดาวน์โหลดเสร็จแล้ว save ใส่ handy drive ไปฝากเพื่อนก็ได้ครับ ลงติดคอมไว้ ติดขัดเรื่องศัพท์ขึ้นมาจะได้เรียกใช้งานได้ง่าย ๆ และเนื่องจากมีขนาดเล็กจึงไม่น่าจะทำให้เครื่องอืด ลงไว้เหมือนมีคนรับใช้แต่ไม่ต้องจ่ายเงิน
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันนี้ผมอยู่ต่างจังหวัด คิดถึงท่านผู้อ่าน แต่ไม่มีเวลาอยู่หน้าคอมฯนาน ๆ เลยขอฝากดิกชันนารี อังกฤษ - ไทย ขนาดเล็ก ๆ แต่มีศัพท์เยอะให้ท่านผู้อ่านเอาไปใช้งานสัก 2 โปรแกรม เป็นโปรแกรมที่ติดตั้งและใช้งานง่าย
1. ดิก Hope: ขนาด 9.7 MB
http://www.thaiware.com/main/info.php?id=1737
2. จ๊ะเอ๋ดิกชันนารี: ขนาด 6.58 MB
http://www.thaiware.com/main/info.php?id=2026
ดาวน์โหลดเสร็จแล้ว save ใส่ handy drive ไปฝากเพื่อนก็ได้ครับ ลงติดคอมไว้ ติดขัดเรื่องศัพท์ขึ้นมาจะได้เรียกใช้งานได้ง่าย ๆ และเนื่องจากมีขนาดเล็กจึงไม่น่าจะทำให้เครื่องอืด ลงไว้เหมือนมีคนรับใช้แต่ไม่ต้องจ่ายเงิน
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[860] ดาวน์โหลด MP3 เพลงฝรั่งและเพลงไทย
สวัสดีครับ
ถ้าท่านต้องการไฟล์ mp3 เพลงฝรั่งหรือเพลงไทยที่ดัง ๆ ลองไปที่เว็บนี้ และพิมพ์ชื่อเพลงลงไป ถ้าเป็นเพลงดัง และท่านโชคดี อาจได้ไฟล์ mp3 เก็บไว้ฟัง ฟรี ๆ
เว็บนี้ครับ:http://www.4shared.com/
จะดาวน์โหลดหนังสือภาษาอังกฤษจากเว็บนี้ก็ได้ครับ มีมากมายจริง ๆ สมมุติว่า หนังสือเล่มที่ท่านต้องการชื่อว่า Basic Grammar ถ้าพิมพ์ลงไปแล้วเขาบอกว่า ไม่มี ก็ลองพิมพ์คำว่า Grammar เฉย ๆ ก็จะได้หนังสือลักษณะเดียวกันมาศึกษา
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ถ้าท่านต้องการไฟล์ mp3 เพลงฝรั่งหรือเพลงไทยที่ดัง ๆ ลองไปที่เว็บนี้ และพิมพ์ชื่อเพลงลงไป ถ้าเป็นเพลงดัง และท่านโชคดี อาจได้ไฟล์ mp3 เก็บไว้ฟัง ฟรี ๆ
เว็บนี้ครับ:http://www.4shared.com/
จะดาวน์โหลดหนังสือภาษาอังกฤษจากเว็บนี้ก็ได้ครับ มีมากมายจริง ๆ สมมุติว่า หนังสือเล่มที่ท่านต้องการชื่อว่า Basic Grammar ถ้าพิมพ์ลงไปแล้วเขาบอกว่า ไม่มี ก็ลองพิมพ์คำว่า Grammar เฉย ๆ ก็จะได้หนังสือลักษณะเดียวกันมาศึกษา
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[859]ฟังเล็กเชอร์ที่มหาวิทยาลัยเมืองนอกจากหน้าคอมฯที่บ้าน
สวัสดีครับ
ผมเคยเอาเว็บการเล็กเชอร์วิชาภาษาอังกฤษ และวิชาอื่น ๆ ซึ่งบรรยายที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงมาฝากท่านก่อนหน้านี้ที่ลิงค์นี้
[6] ฟังเทปคำบรรยาย 25 วิชา ภ.อังกฤษ ม.รามคำแหงฯ
http://www.e-ru.tv/
แต่ถ้าท่านใดสนใจที่จะฟังเล็กเชอร์ที่เขาบรรยายในห้องเรียนที่มหาวิทยาลัยเมืองนอก ก็เชิญไปที่เว็บนี้ครับ เลือกชมหรือฟังวิชาที่ท่านสนใจ บางวิชาอาจจะดาวน์โหลดไฟล์ได้ด้วย
http://www.freevideolectures.com/
ดีเหมือนกันนะครับ ไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องเดินทางไปนั่งเรียนกับเขา แต่ก็ได้ฟังเล็กเชอร์ฟรี ๆ จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านของท่านเอง
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ผมเคยเอาเว็บการเล็กเชอร์วิชาภาษาอังกฤษ และวิชาอื่น ๆ ซึ่งบรรยายที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงมาฝากท่านก่อนหน้านี้ที่ลิงค์นี้
[6] ฟังเทปคำบรรยาย 25 วิชา ภ.อังกฤษ ม.รามคำแหงฯ
http://www.e-ru.tv/
แต่ถ้าท่านใดสนใจที่จะฟังเล็กเชอร์ที่เขาบรรยายในห้องเรียนที่มหาวิทยาลัยเมืองนอก ก็เชิญไปที่เว็บนี้ครับ เลือกชมหรือฟังวิชาที่ท่านสนใจ บางวิชาอาจจะดาวน์โหลดไฟล์ได้ด้วย
http://www.freevideolectures.com/
ดีเหมือนกันนะครับ ไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องเดินทางไปนั่งเรียนกับเขา แต่ก็ได้ฟังเล็กเชอร์ฟรี ๆ จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านของท่านเอง
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[858]แนะนำเว็บ SEAlang Library(เพื่ออ่าน-เขียน-แปล)
สวัสดีครับ
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษที่ให้เราศึกษาการใช้คำศัพท์หาได้ไม่ยากนัก ในดิกอังกฤษ – อังกฤษประเภท learner’s dictionary ก็มีเยอะแยะให้เราศึกษา
แต่สิ่งที่ผมหามานานก็คือ มีเว็บไหนบ้างที่เมื่อพิมพ์ศัพท์ภาษาไทยลงไป 1 คำ เขาก็เอาคำนี้ไปแต่งป็นประโยคภาษาไทยหลาย ๆ ประโยค แล้วแปลเป็นภาษาอังกฤษให้เราศึกษาด้วย ผมหามาตั้งนานก็ไม่เจอ แต่ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสำหรับคนไทยเรา การแปลจากประโยคภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย ง่ายกว่าแปลจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ
แต่ในที่สุด ฟ้าก็เห็นใจ ผมเจอเว็บที่ผมต้องการแล้วครับ ที่นี่
ลิงค์ที่ 1: http://www.sealang.net/thai/bitext.htm
ในคอลัมน์ซ้ายมือใต้คำว่า Bitext Corpus Search มีช่อง 2 ช่อง, ให้ท่านพิมพ์ศัพท์ลงไปในช่องใดช่องหนึ่ง คือ ช่องบน-Thai ซึ่งให้ท่านพิมพ์ศัพท์ภาษาไทยลงไป หรือ ช่องล่าง- West ให้ท่านพิมพ์ศัพท์ภาษาอังกฤษลงไป แล้ว Enter, จะมีประโยคภาษาไทยเทียบภาษาอังกฤษมากมายให้ท่านศึกษา การศึกษาในลักษณะนี้มีประโยชน์มาก มากกว่าเทียบศัพท์ไทย – อังกฤษ คำต่อคำ ผมขอแนะนำให้ท่านที่ต้องการฝึกเขียน – ฝึกแปล- ฝึกพูด ใช้เวลาอยู่กับเว็บนี้ให้มากสักนิด เมื่ออ่านประโยคภาษาไทยจบก็ให้ละสายตาออกมาแล้วนึกว่า ถ้าจะต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษจะแปลอย่างไร? แล้วค่อยอ่านประโยคที่เขาแปลให้เราดู เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับการแปลของเขา แต่เราสามารถเอาประโยคแปลเทียบไทย-อังกฤษเหล่านี้เป็นครูได้ แต่เราอาจจะคิดต่างจากครูก็ได้
ลิงค์ที่ 2 เป็นดิกชันนารี ไทย – อังกฤษที่มีการแตกลูก – แจกคำอย่างน่าสนใจยิ่ง ที่เว็บนี้ครับ
http://www.sealang.net/thai/index.htm
ให้ท่านพิมพ์ศัพท์ภาษาไทยลงไปในช่อง Thai และ Enter และให้ท่านดูผลที่เว็บแสดง ถ้ามีช่องสี่เหลี่ยมพื้นสีขาวที่เขียนว่า SHOW ALL ให้คลิกตรงนั้น (ถ้ามี 2 ช่อง คือ บนและล่าง ให้คลิกทั้ง 2 ช่องเลย) ท่านจะพบคำแปลซึ่งบอกประเภทของคำด้วย เช่น V= verb, N=noun มีโฟเนติกส์สำหรับอ่านศัพท์ภาษาไทยให้ด้วย ถ้าท่านมีเพื่อนฝรั่งที่ต้องการศึกษาภาษาไทย เอาเว็บนี้ให้เขาดูเขาคงจะชอบใจ นอกจากนี้ยังมี synonym ภาษาไทยให้ดูอีกด้วย เช่น คำว่า ชอบใจ ในความหมาย to be satisfied, gratified. มีความหมาย = ถูกใจ, พอใจ ท่านที่ต้องการหาศัพท์เป็นหมวด ๆ ที่มีคำร่วมกัน หาจากเว็บนี้เหมาะมากครับ ลองพิมพ์คำว่า ใจ, บ้าน, รัก, ชอบ, กิน, ของ ฯลฯ ลงไป แล้วดูผลที่เว็บแสดงให้ดูด้วยตัวเองได้เลยครับ
ลิงค์ที่ 3: http://www.sealang.net/thai/vocabulary/
ที่คอลัมน์ซ้ายมือ ใต้บรรทัด SEAlang Thai Vocabulary นอกจากมีช่องให้ท่านพิมพ์หาคำแปลศัพท์แล้ว ล่างลงไป ใต้คำว่า Words and glosses มี 4 หัวข้อให้คลิกศึกษา มีศัพท์หมวดที่น่าศึกษาอย่างยิ่งครับ ผมขอแนะนำให้ท่านคลิกดูคร่าว ๆ สักหน่อย แล้วค่อยกลับมาศึกษารายละเอียดทีหลังก็ได้
ที่คอลัมน์ซ้ายมือ ใต้ 4 หัวข้อข้างล่างนี้ มีหัวข้อย่อยให้ศึกษามากทีเดียว
1.Thai AWl
2.AUA Reader
3.BYKI
4.SEAlang
ลิงค์ที่ 4: http://www.sealang.net/lab/index.htm?automaticity.htm
มีแบบฝึกหัดให้ท่านมากมายให้ท่าน R=Read, W=Write และ V=Vocabulary ท่านดูทั้งเมนูที่คอลัมน์ซ้ายมือและกลางหน้า ดูให้ละเอียดหน่อยนะครับ มีอะไรดี ๆ เยอะแยะเลย ถ้าอธิบายก็คงจะยาวมาก ท่านดูเอาเองแล้วกันนะครับ
เว็บนี้เหมือนขุมทรัพท์ของผู้ที่ต้องการฝึกการอ่าน – การแปล –และการพูด รวมทั้งคำศัพท์ต่าง ๆ แบบไทยเทียบอังกฤษ มีประโยชน์มากจริง ๆ ครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษที่ให้เราศึกษาการใช้คำศัพท์หาได้ไม่ยากนัก ในดิกอังกฤษ – อังกฤษประเภท learner’s dictionary ก็มีเยอะแยะให้เราศึกษา
แต่สิ่งที่ผมหามานานก็คือ มีเว็บไหนบ้างที่เมื่อพิมพ์ศัพท์ภาษาไทยลงไป 1 คำ เขาก็เอาคำนี้ไปแต่งป็นประโยคภาษาไทยหลาย ๆ ประโยค แล้วแปลเป็นภาษาอังกฤษให้เราศึกษาด้วย ผมหามาตั้งนานก็ไม่เจอ แต่ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสำหรับคนไทยเรา การแปลจากประโยคภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย ง่ายกว่าแปลจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ
แต่ในที่สุด ฟ้าก็เห็นใจ ผมเจอเว็บที่ผมต้องการแล้วครับ ที่นี่
ลิงค์ที่ 1: http://www.sealang.net/thai/bitext.htm
ในคอลัมน์ซ้ายมือใต้คำว่า Bitext Corpus Search มีช่อง 2 ช่อง, ให้ท่านพิมพ์ศัพท์ลงไปในช่องใดช่องหนึ่ง คือ ช่องบน-Thai ซึ่งให้ท่านพิมพ์ศัพท์ภาษาไทยลงไป หรือ ช่องล่าง- West ให้ท่านพิมพ์ศัพท์ภาษาอังกฤษลงไป แล้ว Enter, จะมีประโยคภาษาไทยเทียบภาษาอังกฤษมากมายให้ท่านศึกษา การศึกษาในลักษณะนี้มีประโยชน์มาก มากกว่าเทียบศัพท์ไทย – อังกฤษ คำต่อคำ ผมขอแนะนำให้ท่านที่ต้องการฝึกเขียน – ฝึกแปล- ฝึกพูด ใช้เวลาอยู่กับเว็บนี้ให้มากสักนิด เมื่ออ่านประโยคภาษาไทยจบก็ให้ละสายตาออกมาแล้วนึกว่า ถ้าจะต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษจะแปลอย่างไร? แล้วค่อยอ่านประโยคที่เขาแปลให้เราดู เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับการแปลของเขา แต่เราสามารถเอาประโยคแปลเทียบไทย-อังกฤษเหล่านี้เป็นครูได้ แต่เราอาจจะคิดต่างจากครูก็ได้
ลิงค์ที่ 2 เป็นดิกชันนารี ไทย – อังกฤษที่มีการแตกลูก – แจกคำอย่างน่าสนใจยิ่ง ที่เว็บนี้ครับ
http://www.sealang.net/thai/index.htm
ให้ท่านพิมพ์ศัพท์ภาษาไทยลงไปในช่อง Thai และ Enter และให้ท่านดูผลที่เว็บแสดง ถ้ามีช่องสี่เหลี่ยมพื้นสีขาวที่เขียนว่า SHOW ALL ให้คลิกตรงนั้น (ถ้ามี 2 ช่อง คือ บนและล่าง ให้คลิกทั้ง 2 ช่องเลย) ท่านจะพบคำแปลซึ่งบอกประเภทของคำด้วย เช่น V= verb, N=noun มีโฟเนติกส์สำหรับอ่านศัพท์ภาษาไทยให้ด้วย ถ้าท่านมีเพื่อนฝรั่งที่ต้องการศึกษาภาษาไทย เอาเว็บนี้ให้เขาดูเขาคงจะชอบใจ นอกจากนี้ยังมี synonym ภาษาไทยให้ดูอีกด้วย เช่น คำว่า ชอบใจ ในความหมาย to be satisfied, gratified. มีความหมาย = ถูกใจ, พอใจ ท่านที่ต้องการหาศัพท์เป็นหมวด ๆ ที่มีคำร่วมกัน หาจากเว็บนี้เหมาะมากครับ ลองพิมพ์คำว่า ใจ, บ้าน, รัก, ชอบ, กิน, ของ ฯลฯ ลงไป แล้วดูผลที่เว็บแสดงให้ดูด้วยตัวเองได้เลยครับ
ลิงค์ที่ 3: http://www.sealang.net/thai/vocabulary/
ที่คอลัมน์ซ้ายมือ ใต้บรรทัด SEAlang Thai Vocabulary นอกจากมีช่องให้ท่านพิมพ์หาคำแปลศัพท์แล้ว ล่างลงไป ใต้คำว่า Words and glosses มี 4 หัวข้อให้คลิกศึกษา มีศัพท์หมวดที่น่าศึกษาอย่างยิ่งครับ ผมขอแนะนำให้ท่านคลิกดูคร่าว ๆ สักหน่อย แล้วค่อยกลับมาศึกษารายละเอียดทีหลังก็ได้
ที่คอลัมน์ซ้ายมือ ใต้ 4 หัวข้อข้างล่างนี้ มีหัวข้อย่อยให้ศึกษามากทีเดียว
1.Thai AWl
2.AUA Reader
3.BYKI
4.SEAlang
ลิงค์ที่ 4: http://www.sealang.net/lab/index.htm?automaticity.htm
มีแบบฝึกหัดให้ท่านมากมายให้ท่าน R=Read, W=Write และ V=Vocabulary ท่านดูทั้งเมนูที่คอลัมน์ซ้ายมือและกลางหน้า ดูให้ละเอียดหน่อยนะครับ มีอะไรดี ๆ เยอะแยะเลย ถ้าอธิบายก็คงจะยาวมาก ท่านดูเอาเองแล้วกันนะครับ
เว็บนี้เหมือนขุมทรัพท์ของผู้ที่ต้องการฝึกการอ่าน – การแปล –และการพูด รวมทั้งคำศัพท์ต่าง ๆ แบบไทยเทียบอังกฤษ มีประโยชน์มากจริง ๆ ครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
[857]ศัพท์ใช้บ่อย+คำแปล 5,000 คำ(แยก n/v/adj/adv)
10 ธันวาคม 2552
บางลิงค์ที่ให้ไว้ในบทความข้างล่างนี้อาจจะตายแล้ว ผมขอแนะ 2 ลิงค์ใหม่ที่คล้าย ๆ กัน มีเนื้อหามาก ท่านคงต้องใช้เวลาพักใหญ่จึงจะสำรวจทั่วถึง ขอเชิญครับ
[1] http://www.teaching-english-in-japan.net/directory/cat/84
[2] http://www.uefap.com/index.htm
**********
**********
**********
สวัสดีครับ
ในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ภาษาอังกฤษ เราก็ต้องรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษ, อันนี้ใคร ๆ ก็รู้ แต่ต้องรู้กี่คำล่ะถึงจะพอใช้?
มีหลายเว็บที่แสดงคำศัพท์ที่ใช้บ่อย 1,000 คำแรกบ้าง, 2,000 คำแรกบ้าง, หรือ 3,000 คำแรกบ้าง ผมเห็นว่าเว็บเหล่านี้มีประโยชน์มาก เพราะแม้ว่าศัพท์ที่เขานำมาแสดงจะต่างกันบ้างแต่ก็นิดหน่อยเท่านั้นแหละครับ แต่ word list ที่ทุกเว็บแสดงก็มักจะมาจากการเก็บข้อมูลและคัดกรองมาแล้วอย่างเป็นระบบ ทำให้เราไม่เสียเวลาไปพยายามจำศัพท์ที่นาน ๆ จะเจอสักครั้ง การจำศัพท์ที่ใช้บ่อยไว้มาก ๆ จึงช่วยให้เรา (ฟังและอ่าน)เข้าใจ และใช้(พูดและเขียน)เป็น และเมื่อไปเจอศัพท์ที่ไม่เคยเจอ ศัพท์พื้น ๆ เหล่านี้ก็จะช่วยเป็นฐานให้เราเดาศัพท์ที่สูงขึ้นไปได้ไม่ยาก สรุปสั้น ๆ ให้จำง่ายก็คือ ศัพท์พื้นฐานช่วยให้เรา เดาได้-เข้าใจ-ใช้เป็น เมื่อต้อง ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ภาษาอังกฤษ
แต่ผมต้องขอสารภาพกับท่านผู้อ่านครับ ผมรู้สึกว่าศัพท์ระหว่าง 1,000 – 3,000 คำนี่มันน้อยเกินไปหน่อย ในความรู้สึกของผม ถ้าจำศัพท์ได้สักประมาณ 5,000 คำละก็จะดีมาก นี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะครับ ท่านผู้อ่านอาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้
และผมก็ไม่ขอพูดเฉย ๆ ผมไปเอาศัพท์จากแผนก Computing Department ของ Lancaster University ประเทศอังกฤษ ที่เว็บนี้
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/
ซึ่งเขารวบรวมศัพท์ไว้ 5,000 กว่าคำ เรียงลำดับจากคำที่พบบ่อยมากไปหาคำที่พบไม่ค่อยบ่อย แล้วยังแยกเป็นคำ noun, verb, adjective, adverb, preposition, conjunction อีกด้วย ซึ่งผมนำเอามาให้ท่านชมข้างล่างนี้
ผมได้อาศัยบริการของเว็บ http://dict.longdo.com/ ช่วยแปลศัพท์ทั้ง 5 พันกว่าคำนี้ให้ท่านด้วย เพียงแค่ท่านวางเมาส์บนคำศัพท์ คำแปลก็จะปรากฏทันที แต่ก่อนที่ท่านจะพบกับคำศัพท์ทั้ง 5 พันกว่าคำพร้อมคำแปล ผมขอเวลาชี้แจงอะไรนิดหน่อยนะครับ คือ
1. คำแปลของ dict.longdo.com มาจาก 3 ฐานข้อมูล คือ NECTEC, ดิก HOPE และดิก Nontri (มีคำเหล่านี้อยู่ท้ายบรรทัดคำแปล) เมื่อวางเมาส์บนคำศัพท์จึงมีคำแปลโชว์ให้ท่านเห็นมากมาย ซึ่งคำแปลของทั้ง 3 ฐานข้อมูลนี้อาจจะซ้ำกันบ้าง, ท่านก็เลือกจำเฉพาะคำแปลพื้นฐานก็พอครับ ซึ่งโดยมากมักจะอยู่ในตอนต้น ๆ หรือเมื่อมองไปทั่ว ๆ แล้วท่านพบคำแปลที่เหมาะเจาะกับเรื่องที่ท่านกำลังอ่านอยู่เฉพาะหน้า ก็เลือกจำคำแปลนั้นก็ได้ครับ อีกอย่างหนึ่ง ศัพท์อังกฤษคำหนึ่ง ๆ อาจทำได้หลายหน้าที่ เช่น เป็นได้ทั้งคำ noun, verb, adjective เช่น light n.=แสง, v.=จุดไฟ, adj.=เบา เพราะฉะนั้น ถ้าท่านกำลังดูคำศัพท์ในกลุ่มใด ก็ให้เลือกดูความหมายที่สอดคล้องกับคำประเภทนั้น ๆ
2. เฉพาะฐานข้อมูลของดิก HOPE เท่านั้น ที่มีคำอ่านเป็นภาษาไทยให้ ถ้าศัพท์คำใดมีหลายพยางค์, พยางค์ที่ลงเสียงหนักจะมีขีดเหนือท้ายพยางค์นั้น เช่น คำว่า basic จะมีคำอ่านให้ว่า (เบ'ซิค) คือลงเสียงหนักที่ เบ คำถามก็คือ ลงเสียงหนักลงยังไง ตอบง่าย ๆ ว่า เสียงหนักก็คล้าย ๆ กับเสียงตรีในภาษาไทยนั่นแหละครับ ในภาษาไทยเสียงมี 5 ระดับ คือ สามัญ-เอก-โท-ตรี-จัตวา ก็เป็น เบ-เบ่-เบ้-เบ๊-เบ๋, เพราะฉะนั้น เสียงตรีก็คือ เบ๊ และพยางอื่น ๆ ก็ต้องออกเสียงที่มีระดับต่ำกว่านี้ เพราะฉะนั้น คำว่า basic ที่ให้คำอ่านไว้ว่า (เบ' ซิค) เวลาออกเสียงเฉพาะคำนี้ ก็จะต้องออกเสียงว่า (เบ๊ – สิค) ท่าน คลิกฟังที่นี่ ก็ได้ครับ ถ้าจะฟังช้ำให้เอาเมาส์วางบนคำว่า basic สีชมพู
3. ถ้าท่านรู้สึกหงุดหงิดว่าหน้าต่างสีเหลืองของคำแปลเกะกะ ท่านเพียงขยับเมาส์นิดเดียวไปข้าง ๆ ลงบนตัวเลข หน้าต่างสีเหลืองก็จะหายไป
เอาละครับ เชิญพบกับศัพท์ที่ผมว่าได้แล้วครับ ท่านจะใช้มันเป็นสิ่งที่เช็คตัวเอง เอาไว้ทบทวน เอาไว้ท่อง หรือส่งไปให้เพื่อนก็ได้ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมทำไฟล์ให้ท่านดาวน์โหลดศัพท์พร้อมคำแปลที่ท้ายบทความนี้ ท่านสามารถดาวน์โหลดและส่งเป็นไฟล์แนบ(Attachment) ไปให้เพื่อน ๆ ได้สบายมากเลยครับ เพราะมีขนาดแค่ 1.13 MB เท่านั้นเอง
[1] noun จำนวน 3,030 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_1_all_rank_noun.txt
ดูคำแปลขณะต่อเน็ต: http://tinyurl.com/6jawbf
[2] Verb จำนวน 1,112 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_2_all_rank_verb.txt
ดูคำแปลขณะต่อเน็ต: http://tinyurl.com/6eq726
[3] Adjective จำนวน 1,035 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_3_all_rank_adjective.txt
ดูคำแปลขณะต่อเน็ต: http://tinyurl.com/5ptjon
[4] Adverb จำนวน 429 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_4_all_rank_adverb.txt
ดูคำแปลขณะต่อเน็ต: http://tinyurl.com/5brjn8
[5] Pronoun จำนวน 50 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_5_all_rank_pron.txt
ดูคำแปลขณะต่อเน็ต: http://tinyurl.com/5q28so
[6] Preposition จำนวน 122 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_8_all_rank_preposition.txt
[7] Conjunction จำนวน 50 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_9_all_rank_conjunction.txt
[8] Interjection จำนวน 18 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_10_all_rank_interjection.txt
ดาวน์โหลดศัพท์พร้อมคำแปล คลิก
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
บางลิงค์ที่ให้ไว้ในบทความข้างล่างนี้อาจจะตายแล้ว ผมขอแนะ 2 ลิงค์ใหม่ที่คล้าย ๆ กัน มีเนื้อหามาก ท่านคงต้องใช้เวลาพักใหญ่จึงจะสำรวจทั่วถึง ขอเชิญครับ
[1] http://www.teaching-english-in-japan.net/directory/cat/84
[2] http://www.uefap.com/index.htm
**********
**********
**********
สวัสดีครับ
ในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ภาษาอังกฤษ เราก็ต้องรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษ, อันนี้ใคร ๆ ก็รู้ แต่ต้องรู้กี่คำล่ะถึงจะพอใช้?
มีหลายเว็บที่แสดงคำศัพท์ที่ใช้บ่อย 1,000 คำแรกบ้าง, 2,000 คำแรกบ้าง, หรือ 3,000 คำแรกบ้าง ผมเห็นว่าเว็บเหล่านี้มีประโยชน์มาก เพราะแม้ว่าศัพท์ที่เขานำมาแสดงจะต่างกันบ้างแต่ก็นิดหน่อยเท่านั้นแหละครับ แต่ word list ที่ทุกเว็บแสดงก็มักจะมาจากการเก็บข้อมูลและคัดกรองมาแล้วอย่างเป็นระบบ ทำให้เราไม่เสียเวลาไปพยายามจำศัพท์ที่นาน ๆ จะเจอสักครั้ง การจำศัพท์ที่ใช้บ่อยไว้มาก ๆ จึงช่วยให้เรา (ฟังและอ่าน)เข้าใจ และใช้(พูดและเขียน)เป็น และเมื่อไปเจอศัพท์ที่ไม่เคยเจอ ศัพท์พื้น ๆ เหล่านี้ก็จะช่วยเป็นฐานให้เราเดาศัพท์ที่สูงขึ้นไปได้ไม่ยาก สรุปสั้น ๆ ให้จำง่ายก็คือ ศัพท์พื้นฐานช่วยให้เรา เดาได้-เข้าใจ-ใช้เป็น เมื่อต้อง ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ภาษาอังกฤษ
แต่ผมต้องขอสารภาพกับท่านผู้อ่านครับ ผมรู้สึกว่าศัพท์ระหว่าง 1,000 – 3,000 คำนี่มันน้อยเกินไปหน่อย ในความรู้สึกของผม ถ้าจำศัพท์ได้สักประมาณ 5,000 คำละก็จะดีมาก นี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะครับ ท่านผู้อ่านอาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้
และผมก็ไม่ขอพูดเฉย ๆ ผมไปเอาศัพท์จากแผนก Computing Department ของ Lancaster University ประเทศอังกฤษ ที่เว็บนี้
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/
ซึ่งเขารวบรวมศัพท์ไว้ 5,000 กว่าคำ เรียงลำดับจากคำที่พบบ่อยมากไปหาคำที่พบไม่ค่อยบ่อย แล้วยังแยกเป็นคำ noun, verb, adjective, adverb, preposition, conjunction อีกด้วย ซึ่งผมนำเอามาให้ท่านชมข้างล่างนี้
ผมได้อาศัยบริการของเว็บ http://dict.longdo.com/ ช่วยแปลศัพท์ทั้ง 5 พันกว่าคำนี้ให้ท่านด้วย เพียงแค่ท่านวางเมาส์บนคำศัพท์ คำแปลก็จะปรากฏทันที แต่ก่อนที่ท่านจะพบกับคำศัพท์ทั้ง 5 พันกว่าคำพร้อมคำแปล ผมขอเวลาชี้แจงอะไรนิดหน่อยนะครับ คือ
1. คำแปลของ dict.longdo.com มาจาก 3 ฐานข้อมูล คือ NECTEC, ดิก HOPE และดิก Nontri (มีคำเหล่านี้อยู่ท้ายบรรทัดคำแปล) เมื่อวางเมาส์บนคำศัพท์จึงมีคำแปลโชว์ให้ท่านเห็นมากมาย ซึ่งคำแปลของทั้ง 3 ฐานข้อมูลนี้อาจจะซ้ำกันบ้าง, ท่านก็เลือกจำเฉพาะคำแปลพื้นฐานก็พอครับ ซึ่งโดยมากมักจะอยู่ในตอนต้น ๆ หรือเมื่อมองไปทั่ว ๆ แล้วท่านพบคำแปลที่เหมาะเจาะกับเรื่องที่ท่านกำลังอ่านอยู่เฉพาะหน้า ก็เลือกจำคำแปลนั้นก็ได้ครับ อีกอย่างหนึ่ง ศัพท์อังกฤษคำหนึ่ง ๆ อาจทำได้หลายหน้าที่ เช่น เป็นได้ทั้งคำ noun, verb, adjective เช่น light n.=แสง, v.=จุดไฟ, adj.=เบา เพราะฉะนั้น ถ้าท่านกำลังดูคำศัพท์ในกลุ่มใด ก็ให้เลือกดูความหมายที่สอดคล้องกับคำประเภทนั้น ๆ
2. เฉพาะฐานข้อมูลของดิก HOPE เท่านั้น ที่มีคำอ่านเป็นภาษาไทยให้ ถ้าศัพท์คำใดมีหลายพยางค์, พยางค์ที่ลงเสียงหนักจะมีขีดเหนือท้ายพยางค์นั้น เช่น คำว่า basic จะมีคำอ่านให้ว่า (เบ'ซิค) คือลงเสียงหนักที่ เบ คำถามก็คือ ลงเสียงหนักลงยังไง ตอบง่าย ๆ ว่า เสียงหนักก็คล้าย ๆ กับเสียงตรีในภาษาไทยนั่นแหละครับ ในภาษาไทยเสียงมี 5 ระดับ คือ สามัญ-เอก-โท-ตรี-จัตวา ก็เป็น เบ-เบ่-เบ้-เบ๊-เบ๋, เพราะฉะนั้น เสียงตรีก็คือ เบ๊ และพยางอื่น ๆ ก็ต้องออกเสียงที่มีระดับต่ำกว่านี้ เพราะฉะนั้น คำว่า basic ที่ให้คำอ่านไว้ว่า (เบ' ซิค) เวลาออกเสียงเฉพาะคำนี้ ก็จะต้องออกเสียงว่า (เบ๊ – สิค) ท่าน คลิกฟังที่นี่ ก็ได้ครับ ถ้าจะฟังช้ำให้เอาเมาส์วางบนคำว่า basic สีชมพู
3. ถ้าท่านรู้สึกหงุดหงิดว่าหน้าต่างสีเหลืองของคำแปลเกะกะ ท่านเพียงขยับเมาส์นิดเดียวไปข้าง ๆ ลงบนตัวเลข หน้าต่างสีเหลืองก็จะหายไป
เอาละครับ เชิญพบกับศัพท์ที่ผมว่าได้แล้วครับ ท่านจะใช้มันเป็นสิ่งที่เช็คตัวเอง เอาไว้ทบทวน เอาไว้ท่อง หรือส่งไปให้เพื่อนก็ได้ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมทำไฟล์ให้ท่านดาวน์โหลดศัพท์พร้อมคำแปลที่ท้ายบทความนี้ ท่านสามารถดาวน์โหลดและส่งเป็นไฟล์แนบ(Attachment) ไปให้เพื่อน ๆ ได้สบายมากเลยครับ เพราะมีขนาดแค่ 1.13 MB เท่านั้นเอง
[1] noun จำนวน 3,030 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_1_all_rank_noun.txt
ดูคำแปลขณะต่อเน็ต: http://tinyurl.com/6jawbf
[2] Verb จำนวน 1,112 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_2_all_rank_verb.txt
ดูคำแปลขณะต่อเน็ต: http://tinyurl.com/6eq726
[3] Adjective จำนวน 1,035 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_3_all_rank_adjective.txt
ดูคำแปลขณะต่อเน็ต: http://tinyurl.com/5ptjon
[4] Adverb จำนวน 429 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_4_all_rank_adverb.txt
ดูคำแปลขณะต่อเน็ต: http://tinyurl.com/5brjn8
[5] Pronoun จำนวน 50 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_5_all_rank_pron.txt
ดูคำแปลขณะต่อเน็ต: http://tinyurl.com/5q28so
[6] Preposition จำนวน 122 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_8_all_rank_preposition.txt
[7] Conjunction จำนวน 50 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_9_all_rank_conjunction.txt
[8] Interjection จำนวน 18 คำ
http://www.comp.lancs.ac.uk/ucrel/bncfreq/lists/5_10_all_rank_interjection.txt
ดาวน์โหลดศัพท์พร้อมคำแปล คลิก
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com