วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552
ชม blog writer ให้สัมภาษณ์ ช่อง 11
ผมให้สัมภาษณ์ช่อง 11 ในรายการ “เจาะประเด็น” วันเสาร์ที่ 31 มกราคม 2552 เวลาประมาณ 6.15 น.
ท่านที่ต้องการชมเทปย้อนหลัง ไปที่เว็บนี้ครับ
http://www.udootv.com/tv/replay_tv.php
เมื่อเข้าไปแล้ว ให้ปรับดังนี้
- ตรง สถานี: เลือก ช่อง NBT
- ตรง วันที่: เลือก 31 มกราคม 2552
- ตรง เวลา: เลือก 06.00 – 06.59
- คลิก คลิกรับชม
- เมื่อภาพขึ้นจอเรียบร้อยแล้ว ให้ลาก slide bar ใต้จอ, จนมีตัวเลข 17:40 ปรากฏที่มุมขวาล่างของจอ
- ดับเบิ้ลคลิกที่จอ จะได้ชมเต็มจอ, ดับเบิ้ลคลิกอีกครั้งก็จะย่อลงมาเหมือนเดิม
เชิญได้เลยครับ
http://www.udootv.com/tv/replay_tv.php
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[955] D/L ครบชุด ‘ ไฟล์สุนทรพจน์ Obama’ รับตำแหน่ง
สุนทรพจน์ที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นาย Barack Obama กล่าวเมื่อเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2552 หลายคนบอกว่าเป็นสุนทรพจน์เกรด A++
สำหรับพวกเราในแง่ศึกษาภาษาอังกฤษ ท่านจะให้เกรดอะไร เชิญศึกษาจากไฟล์ครบชุดข้างล่างนี้ และให้เกรดเอาเองครับ
1.อ่านสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษhttp://edition.cnn.com/2009/POLITICS/01/20/obama.politics/index.html
2. อ่านคำแปลสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษเทียบภาษาไทย
http://www.buildingthailand.net/content/view/206/1/
3. ชมวีดิโอ online ขณะกล่าวสุนทรพจน์ จาก YouTube
http://www.youtube.com/watch?v=VjnygQ02aW4
4. ดาวน์โหลดไฟล์วีดิโอกล่าวสุนทรพจน์ (mp4) คลิก (96.5 MB)
5. ดาวน์โหลดไฟล์กล่าวสุนทรพจน์ mp3 คลิก (20 MB)
ลิงค์เดิม: [942] ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 44
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[954] ‘ภาษาอังกฤษวันละประโยค (ภาค 2)’
ผมสังเกตว่ารายการโทรทัศน์, คอลัมน์ในหนังสือพิมพ์, และเว็บพูดคุย ถาม-ตอบภาษาอังกฤษ เช่นที่ผมแนะนำไว้ที่ 2 ลิงค์นี้
[802] ค้นหาเรื่องที่ต้องการจากคอลัมน์ ถาม-ตอบ
[189] 3 รายการ TV สอนอังกฤษ ที่ชมได้จากเว็บ
มีคนชอบมากกว่าตำราหรือ CD หรือ Video ที่สอนภาษาอังกฤษอย่างเป็นงานเป็นการหรือเป็นชุดการสอนที่สมบูรณ์ ผมก็เลยถามตัวเองว่า ทำไม? เพราะตำรา ชุดการสอน หรือสื่อการสอนเหล่านี้ กว่าที่ผู้รู้จะทำออกมาได้ต้องเปลืองแรง เวลา มันสมอง และทุนไม่ใช่น้อย และพอผลงานสำเร็จ หลาย ๆ ชิ้นก็ดีจริง ๆ คือมีคำอธิบายหรือคำตอบแทบจะทุกเรื่องในหัวข้อนั้น ๆ แต่กลับได้รับความนิยมน้อยกว่ารายการโทรทัศน์หรือคอลัมน์ที่ผมเอ่ยถึงข้างต้น
เมื่อถามเองก็ลองตอบเอง แต่ไม่รู้ว่าจะตอบถูกหรือเปล่า ผมเดาเอาว่า มันน่าจะคล้าย ๆ กับที่เราได้รับเชิญไปงานเลี้ยง สำหรับผม ผมไม่ชอบเลยที่จะนั่งกินที่โต๊ะแบบ จัดไว้อย่างเป็นงานเป็นการ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะฝรั่ง (sit-down)หรือโต๊ะจีน มีอาหารเซ็ตไว้ตามเมนูเรียบร้อยยกมาเสิร์ฟ และผมก็มีหน้าที่หลักเพียง 2 อย่างคือ eat + talk กับคนที่นั่งร่วมโต๊ะ ห้ามพูดดังเกินไป และห้ามพูดข้ามโต๊ะเกินรัศมีสี่เมตร ไม่ชอบเลยครับนั่งกินแบบนี้ ยิ่งถ้าถูกซ้ำเติมด้วยอาหารไม่ถูกใจยิ่งไปกันใหญ่ (เออ! แล้วทำไมเขาใช้คำว่า ‘ไม่ถูกปาก’, ถ้าไม่ถูกปากมันจะเข้าไปในปากได้ยังไง ใครนะคิดตั้งศัพท์คำนี้) สำหรับผมการได้เดินไปตักเอามากินที่เรียกว่า buffet อร่อยและสนุกกว่าครับ ถ้าเอาการกินที่งานเลี้ยงไปเปรียบกับการเรียนภาษาอังกฤษของคนไทย ผมว่าคนไทยชอบเรียนภาษาอังกฤษแบบบุฟเฟ่ต์มากกว่า คือจะเลือกกินหรือไม่เลือกกินอะไร มากน้อยแค่ไหนก็ได้ตามใจชอบ และถ้าสามารถเลือกที่นั่งกินได้ด้วยยิ่งอร่อยเพิ่มขึ้นไปอีก
เราเลือกที่จะเรียนภาษาอังกฤษแบบบุฟเฟ่ต์กับคุณ Andrew Biggs หรือคุณ Chris เพราะเรารู้สึกว่า อาหารที่แกจัดให้เรากินมันน่าทาน กินสนุก นั่งลุกสบาย และหา gang รวมกินได้ไม่ยาก มองในอีกแง่หนึ่ง ผมว่ามันก็เป็นลักษณะนิสัยของไทย ๆ เรานะครับ คนไทยเราเป็นคนรักสนุก ก็เลยชอบที่จะเอาความสนุกแทรกเข้าไปในสิ่งที่อาจจะไม่ค่อยสนุก เช่น การเรียนเรื่องหนัก ๆ
แต่ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นถ่วงน้ำหนักไว้นิดนึงนะครับ ก็คือว่า แม้การเรียนภาษาอังกฤษให้สนุกเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ไม่ควรปฏิเสธเรื่องที่ไม่สนุกถ้ามันจำเป็นจะต้องเรียน ยกตัวอย่าง เราจะไม่มีทางอ่านและแปลภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องมั่นใจเต็มที่ ถ้าเราไม่รู้รอบในโครงสร้างพื้นฐานจำพวก tense, voice, phrase, part of speech เป็นต้น เพราะฉะนั้นถ้าของพื้นฐานจำเป็นพวกนี้ คุณ Biggs หรือคุณ Chris แกไม่ได้เอามาพูดหรือเอามาเล่น มันก็จำเป็นครับที่เราต้องไปหาเรียนเพิ่มเติม ของยากมักไม่สนุกและไม่ค่อยมีใครเอามาพูดยาว ๆ ให้คนเยอะ ๆ ฟังไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุใดก็ตาม แต่เราอย่าลืมนะครับ ถ้าอาหารบุฟเฟ่ต์ทางภาษาที่มีคนจัดให้เราเปิดกินทางทีวีมีสารอาหารไม่ครบ 5 หมู่ และเราหลงเพลินกินไปนาน ๆ อาจเป็นโรคขาดสารอาหารทางภาษาก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องระวัง ถ้าเราจำเป็นต้องเปิดตำราก็เปิดเถอะครับ เฉพาะเรื่องแกรมมาร์ผมเคยแนะนำไว้ที่ลิงค์นี้ [58] แนะนำหนังสือแกรมมาร์
แต่ถ้าท่านพลอินทรีย์เริ่มแข็งแกร่ง จะอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษที่เขามีให้ดาวน์โหลดฟรี ๆ ก็เชิญคลิกได้ครับ
เล่มที่ 1
เล่มที่ 2
รวมแกรมมาร์
หัวข้อที่ผมคุยกับท่านเมื่อวาน คือ [953] เรียนภาษาอังกฤษวันละประโยค เขาเอาภาษาอังกฤษมาให้เราศึกษาวันละประโยค วันนี้ ผมขอแนะนำเพิ่มเติม ดังนี้ครับ
1. เว็บนี้เริ่มคอลัมน์นี้ ตั้งแต่วันที่ 6 June 2006 จนถึงปัจจุบัน แต่คงจะมีเว้นบ้างบางช่วง ช่วงแรกหากจะฟังเสียงอ่านของประโยคต้องจ่ายเงิน แต่ในระยะต่อมาให้คลิกฟังฟรีได้ และมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอเนื้อหามาตามลำดับ
2. เขาเขียนแนะนำศัพท์หรือรูปประโยคที่ควรใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ บางทีก็ทำติดต่อกันหลายวันเป็น series ในเว็บเขาเรียงจากใหม่(ปัจจุบัน)ย้อนไปหาเก่า(อดีต) เพราะฉะนั้น ถ้าท่านศึกษาขณะต่อเน็ต ผมมีความเห็นว่า น่าจะคลิกเข้าไปหาหน้าเก่า ๆ ก่อน และอ่านจากเก่ามาหาใหม่จึงจะได้ความรู้ตามลำดับที่ถูกต้อง
ณ วันนี้ (31 มกราคม 2552)บทความแรกสุดของเขา ปรากฏในลิงค์ เขียนไว้ว่า Page=134 ดังข้างล่างนี้
ระดับ beginner
http://www.linguagum.com/listen-and-repeat-beginner/?currentPage=134
ระดับ Intermediate
http://www.linguagum.com/listen-and-repeat-intermediate/?currentPage=134
ระดับ Advanced
http://www.linguagum.com/listen-and-repeat-advanced/?currentPage=134
แต่ถ้าวันนี้ท่านเข้ามาอ่านที่บทความนี้ ผมเข้าใจว่า เลขหน้าของบทความแรกจะถูกผลักให้มากขึ้น เป็น Page=135, 136. 137….. ไปเรื่อย ๆ ถ้าท่านผู้อ่านเจอแบบนี้ ก็ย้อนไปอีกหน่อยเพื่อหาเลขหน้าของบทความแรกเอาเองแล้วกันนะครับ
ผมได้ดาวน์โหลดทั้งไฟล์ text และ mp3 ของเดือนมกราคม 2009 มาให้ท่านดาวน์โหลดไว้ศึกษา ข้างล่างนี้
ระดับ beginner.html
ระดับ intermediate.html
ระดับ advanced.html
และได้ดาวน์โหลดไฟล์ text ล้วน ๆ (ไม่มีไฟล์ mp3) อีกหลายบทความให้ท่านดาวน์โหลดข้างล่างนี้
0ne Sentence at a Time.html
จุดที่น่าสนใจมาก ๆ ของคอลัมน์นี้ก็คือ ฝรั่งซึ่งเป็นเจ้าของภาษา เขาจับเอาประโยคที่เขาเองใช้พูดบ่อย ๆ มาอธิบายให้เราฟังทีละประโยค ทำให้เราได้ศึกษาเชิงลึก แต่เป็นเชิงลึกของประโยคที่ใช้พูดบ่อย ขอยกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ ดีกว่าครับ
เช่น ประโยค: That’s quite impossible!
(บทความของวันที่ 4 มกราคม 2009 ระดับ Intermediate)
ท่านจะแปล That’s quite impossible! ว่ายังไง? ผมแปลว่า “มันค่อนข้างจะเป็นไปไม่ได้” - - ผิดครับ ต้องแปลว่า “มันเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง” ทำไมถึงแปลอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ quite เรามักจะแปลว่า ‘ค่อนข้างจะ’ เชิญอ่านคำอธิบายที่ตัวเอนข้างล่างนี้ครับ
Notice today that there is only one sentence with quite.
Words like impossible / superb / fabulous / magnificent etc. are absolutes.
“Impossible” means 100% not possible.
So, we can’t use quite to mean “a bit / partially.”
Nothing can be a bit impossible, can it?
So, with these adjectives, quite is used for emphasis.
”Quite impossible” means “completely impossible.”
และอย่างที่เรียนท่านผู้อ่านแล้ว ประโยคที่ยกมามักจะเป็นประโยคที่ใช้พูด (ไม่ได้ขุดมาจากตำราทางวิชาการ) เราจึงได้ศึกษาประโยคจริง ๆ ที่เขาใช้พูด พร้อมคำอธิบายจากทัศนะของเจ้าของภาษา ผมเชื่อว่า ถ้าท่านขลุกอยู่กับเว็บนี้สักพักหนึ่ง อ่านไป – ฟังไป – ฝึกออกเสียงตามไป เรื่อย ๆ ทีละประโยค ๆ ไม่นานเท่าไหร่ก็เก่งครับ เก่งทั้งอ่าน เก่งทั้งฟัง – เก่งทั้งพูด เก่งโดยไม่ต้องกัดฟัน !
ผมไม่อวยพรล่ะครับ เพราะท่านต้องได้อยู่แล้ว เดินไปตามทางนี้แหละครับ ไม่นานก็ถึง
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552
[953] เรียนภาษาอังกฤษวันละประโยค
ก่อนที่ผมจะพูดอะไรจริง ๆ จัง ๆ ผมขอพูดอะไรเล่น ๆ ก่อนแล้วกันครับ
เมื่อหลายสิบปีที่แล้วเมื่อเมืองไทยยังไม่มีมือถือใช้ ตอนที่ผมกับเพื่อน ๆ เรียบจบมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ หลายคนได้งานทำพร้อม ๆ หรือในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน แต่กระจายกันไปคนละจังหวัด เราคุยกันว่า แยกกันแล้วอย่าแยกกันเลย เขียนจดหมายติดต่อกันบ้างนะ ถ้าใช้สำนวนอังกฤษก็คือ ‘Drop me a line’ หรือเขียนจดหมายถึงฉันบ้างนะ ไม่ต้องยาวหรอก แค่บรรทัดสองบรรทัดก็ใช้ได้แล้ว ไม่ใช่หายเงียบไปเลย ก็สัญญากันอย่างนี้ แต่แล้วก็มักจะลงเอยกันอย่างที่พูดเป็นลางไว้ คือหายเงียบไปเลย ในช่วงแรก ๆ จะพบกันบ่อยหน่อยคือระยะแต่งงานของเพื่อนฝูง แต่ถ้าพ้นระยะแต่งงานหรือ ‘อยู่คนเดียวจนอยู่ตัว' แล้ว ก็จะหายหน้าหายตากันไปเลย ถ้าเผอิญได้มาเจอกันก็อาจจะมีการต่อว่าต่อขานกันบ้างว่า “ทำไมหายเงียบไปเลย(วะ)?” คนที่ได้รับจดหมายและไม่ค่อยยอมตอบเพื่อน ก็มักจะพูดคำแก้ตัวมาตรฐาน คือ “งานยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลาเขียนจดหมาย(ว่ะ)”
ผมกำลังสงสัยว่า คำตอบแก้ตัวอย่างนี้มันฟังขึ้นหรือเปล่า เพราะเขียนจดหมายแค่ฉบับละ 1 บรรทัด (Drop me a line) มันจะใช้เวลาอะไรนักหนาเชียว และผมก็ได้ข้อสรุปตั้งแต่ตอนโน้นเลยว่า การที่เพื่อนสนิทจะเขียนจดหมายถึงกัน มันต้องมีทั้ง 2 อย่าง คือ ‘เวลา’ และ ‘อารมณ์’ เพราะถ้าไม่ได้ give me your mind ก็ยากที่จะ Drop me a line นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อะไร ๆหลายสิบ-หลายร้อยอย่างที่เราจะทำ จุดแรกต้องออกมาจากใจ ถ้าไม่มีใจให้กันถึงว่างมากแค่ไหนก็ไม่อยากจะพูดด้วย แต่ถ้ามีใจให้กันต่อให้ยุ่งขนาดไหนก็แหวกเวลาไปหาเธอจนได้
นั่นคือไตเติ้ลที่ผมจะพูดในวันนี้ คราวนี้ผมจะพูดจริงละนะครับ
ก็เรื่องเรียนภาษาอังกฤษนี่แหละครับ....
ท่านที่อยากได้อะไรต่ออะไรจากการเก่งอังกฤษ อย่าถึงขั้นรอจนกว่าท่านจะมีเวลาเลยครับ ต้องสร้างความรักอย่างรุนแรงให้เกิดขึ้นในใจก่อน และเวลาก็จะตามมาเองโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าไม่มีความรัก หรือมีแต่น้อยเกินไป เวลาก็ย่อมหายาก เพราะอย่างที่พูดแล้ว ถ้าไม่ได้ give me your mind ก็ยากที่จะ Drop me a line
เว็บที่ผมเอามาแนะนำในวันนี้ ให้ท่านเรียนภาษาอังกฤษครั้งละหรือวันละแค่ประโยคเดียวเท่านั้นแหละครับ เว็บนี้ครับ
http://www.linguagum.com/
โดยเขามี 3 ระดับ (เริ่มต้น – กลาง – สูง) ให้ท่านเลือกเรียน ทุกประโยคที่มีให้ศึกษา จะมี mp3 ให้คลิกฟังและออกเสียงตาม (ฝึกซ้ำกี่ครั้งก็ได้ตามใจชอบ) มีคำอธิบายการใช้ประโยคให้ท่านอ่าน ท่านที่มีเวลาน้อยแต่มีใจมากที่จะให้แก่ภาษาอังกฤษ เชิญเรียนที่เว็บนี้แหละครับ วันไหนมีเวลามากก็เพิ่มเป็น 2,3,4,5…. ประโยค วันไหนแทบไม่เวลาเลยก็ต้องกัดฟันฝึกมันให้ได้ ‘อย่างน้อยที่สุด’ 1 ประโยค ฝึกไปเรื่อย ๆ ท่านก็จะได้ทั้งฟัง – พูดหรือออกเสียงตาม – อ่านคำอธิบาย ถ้าขยันก็ฝึกเขียนตามไปด้วย ก็จะได้ฝึกครบทุกทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน
หมายเหตุ: ตอนคลิกไอคอนรูปสามเหลี่ยมในวงกลมเพื่อฟังเสียง
- ถ้าฟัง online: ให้คลิกขวาที่รูปสามเหลี่ยม, และคลิกซ้าย Opne Link in New Window
- ถ้าจะดาวน์โหลดเพื่อเก็บไฟล์ mp3 ไว้ฝึกฟังในอนาคต: ให้คลิกขวาที่รูปสามเหลี่ยม, และคลิกซ้าย Save Target As...และหาที่ save ไว้ในเครื่อง
English Essentials 1(ระดับเริ่มต้น)
http://www.linguagum.com/listen-and-repeat-beginner/
Page 1 2 3 4 5 Next 7 Entries
English Essentials 2 (ระดับกลาง)
http://www.linguagum.com/listen-and-repeat-intermediate/
Page 1 2 3 4 5 Next 7 Entries
English Situations (ระดับสูง)
http://www.linguagum.com/listen-and-repeat-advanced/
Page 1 2 3 4 5 Next 7 Entries
อย่าลืมนะครับ “give me your mind” และ “Drop me a line” - - - me นี่ไม่ได้หมายถึง ‘พิพัฒน์’ แต่หมายถึง ‘การเรียนภาษาอังกฤษ’, ใน 1 วันก็ แค่บรรทัดเดียว – ประโยคเดียวเท่านั้นแหละครับ
ศึกษาเพิ่มเติม คลิก: Very Useful Links!
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552
[952] ศัพท์หมวด: ของดีที่ขอพูดอีกครั้ง
ผมเคยแนะนำเว็บ ‘ภาพศัพท์หมวดพร้อมเสียง’ไว้ที่หัวข้อนี้
[264] ศึกษาภาพศัพท์ 7 หมวดพื้นฐาน พร้อมเสียงอ่าน
ท่านเพียงเอาเมาส์วางบนภาพ ก็จะปรากฏคำศัพท์และเสียงอ่านอย่างชัดเจน
คุณครูแป๋ว ถามมาว่า...
อยากจะบันทึกเสียงเป็น MP3 เพื่อไปใช้สอนให้เด็กนักเรียนออกเสียงตาม ไม่ทราบว่าจะบันทึกอย่างไร ใช้โปรแกรมอะไรบันทึกค่ะ.
ผมได้พยายามแล้ว ทำไม่สำเร็จครับ !
เอ๊ะ แต่จะว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิงก็คงไม่ใช่ เพราะแม้ว่าจะไม่สามารถบันทึกเป็นเสียง mp3 ได้ แต่ผม save ภาพไว้ได้ และเมื่อวางเมาส์บนภาพก็จะปรากฏคำศัพท์ภาษาอังกฤษของภาพนั้นให้เห็นทันที
คุณครูน่าจะสามารถเอาไปเล่นกับเด็ก ๆ ได้ โดยให้เด็กดูภาพและบอกเป็นคำศัพท์ออกมา และเฉลยโดยเอาเมาส์ไปวางบนภาพ หรือจะเอาไฟล์ชุดนี้ไปใส่ไว้ที่คอมพิวเตอร์ให้เด็กเล่นเองก็ได้โดยไม่ต้องต่อเน็ต
เชิญคลิกดาวน์โหลดได้เลยครับ คลิก
มีอีก 1 เว็บเป็น ‘เสียงศัพท์หมวด’ คล้ายข้างบน ผมเขียนแนะนำไว้ที่หัวข้อข้างล่างนี้:
[15] ฟังเสียงศัพท์หมวด 1,500 คำ
ส่วน 2 ลิงค์ข้างล่างนี้เป็น ‘ภาพศัพท์หมวด’
ลิงค์ที่ 1: http://www.text-reader.com/picdic/index.shtml
มีทั้งหมด 105 หน้า / แต่ละหน้าคือ 1 หมวดภาพ (เอาเมาส์ไปวางที่แถวลูกศรด้านบนหรือด้านล่างของหน้าเพื่อเลื่อนขึ้น – ลง) / คลิกบรรทัดที่ต้องการ / อาจต้องรอนิดนึงเพื่อดาวน์โหลดภาพ / คลิกที่หมายเลขบนภาพเพื่อดูคำศัพท์
ลิงค์ที่ 2: เป็นไฟล์ดิกชันนารีภาพให้ดาวน์โหลด ภาพในแต่ละหน้ามักจะเป็นศัพท์หมวดเดียวกัน
[831] แจกไฟล์ pdf ดิกชันนารีภาพ 8 เล่ม
ส่วนหัวข้อข้างล่างนี้ แม้ไม่มีภาพ – ไม่มีเสียง แต่ก็น่าสนใจครับ
- [161] รวมศัพท์หมวด พร้อมคำแปล และเกมให้เล่น
- [895] ศัพท์ 47 หมวด รวบรวมจากดิกชันนารี สอ เสถบุตร
- ศัพท์หมวด ไทย – อังกฤษจาก thai-language.com
- [46] หาศัพท์เป็นหมวดๆ โดยใช้ Google
เรื่องศัพท์หมวดนี่นะครับ ผมว่ามันเป็นเครื่องมือที่ดีมากที่ช่วยให้เราจำศัพท์ได้ และเมื่อถึงเวลาต้องพูดก็จะไม่ลำบากนัก ในศัพท์หมวดหนึ่ง ๆ อาจจะมีศัพท์ที่เราพบบ่อยหรือไม่บ่อยต่างกันไป แต่เมื่อเรามองศัพท์ทีเดียวทั้งหมวด การเกี่ยวเนื่องกันของศัพท์ในหมวดนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้วยความหมายเกี่ยวเนื่องกัน เสียงหรือรูปศัพท์คล้ายกัน หรือเกี่ยวเนื่องกันเพราะเหตุใดก็ตาม จะช่วยให้เราจำศัพท์ได้เร็วและนาน หรือถ้าจะลืม-ก็จะลืมได้ช้าและระลึกได้เร็ว เพราะศัพท์ที่เรายังจำได้จะช่วยจูงศัพท์ที่ลืมไปให้กลับมา แต่ถ้าจำศัพท์ทีละตัวมันก็ตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างจำ และก็ต่างคนต่างลืม ทำให้จำได้ช้า และลืมได้เร็ว อย่างนี้ถ้าใช้ภาษิตว่า ‘สามัคคีคือพลัง’ ก็น่าจะได้นะครับ
ศึกษาเพิ่มเติม รวมลิงค์ภาษาอังกฤษ:
http://www.skylinecollege.edu/la/esol/hba.htm
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552
[951]“English for Thais”ออกช่อง 11–เสาร์นี้ 6.00 น.
วันนี้นักข่าวช่อง 11 เขามาสัมภาษณ์ผมยังที่ทำงาน เรื่องแรงบันดาลใจในการทำบล็อกนี้ และผมก็เล่าเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับบล็อกนี้ให้เขาฟังด้วย
เขาจะออกอากาศ ในรายการ “เจาะประเด็น” ในวันเสาร์ที่ 31 มกราคม เวลาประมาณ 6.15 น. ซึ่งเป็นเบรกที่ 2 ของรายการ
ท่านผู้อ่านที่ตื่นเช้าอยู่แล้ว และไม่ได้ออกไปธุระที่ไหน จะพลิกไปฟังเสียงผมสักนิดก็เชิญครับ เพราะหน้าของผมท่านเห็นแล้ว ที่นี่ Pipat's English Fan Club
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552
[950] คุยเฟื่องเรื่องการแปล
ผมได้รับอีเมลส่งต่อจากเพื่อน (ว่าที่ร้อยตรีสมศักดิ์ พรหมดำ) เป็นรายงานทางการแทพย์ของโรงพยาบาลจอห์น ฮอปกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งมีเนื้อหาเป็นประโยชน์มาก สรุปได้ว่า:
การรักษาโรคมะเร็งแบบเดิม ๆ ด้วยการทำคีโมและการฉายแสง มิใช่เป็นทางเลือกเดียวในการกำจัดโรคมะเร็ง วิธีเหล่านี้มีผลข้างเคียงหลายอย่างที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ทำลายเซลที่ดีของร่างกาย ทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย ถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก เป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย
โดยในรายงานได้เสนอทางเลือกใหม่ คือ การไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว โดยวิธีงดหรือลดอาหารที่ทำจากน้ำตาล น้ำตาลเทียม นม เนื้อสัตว์ ชา กาแฟ และให้เพิ่มบริโภคอาหารที่เป็นผัก ผลไม้สด อาหารเสริมบางอย่าง ออกกำลังกาย และทำจิตใจให้อยู่ในสภาพดี ร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอ
อันที่จริงคำแนะนำทำนองนี้เราคนไทยก็เคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว แต่รายงานภาษาอังกฤษพร้อมแนบคำแปลที่ผมได้รับครั้งนี้ มาจากโรงพยาบาลดังของสหรัฐอเมริกา และการเขียนมีลักษณะเป็นหลักเป็นฐานน่าเชื่อถือ ท่านคลิกเข้าไปดูก็ได้ครับ
ภาษาอังกฤษ: http://www.healthy-juicing-habits.com/johns-hopkins.html
ภาษาอังกฤษพร้อมคำแปลภาษาไทย:
เว็บที่ 1 http://www.phuket2u.com/misc/detail.php?post_id=16538
เว็บที่ 2
http://www.safety-stou.com/UserFiles/File/JOHN%20HOPKINS%20HOSPITAL%20REPORT.pdf
ผมลองเอาฉบับภาษาอังกฤษและฉบับแปลภาษาไทยมาเปรียบเทียบกันดูอย่างละเอียด และก็ได้ข้อสรุปว่า เขาแปลได้ดีจริง ๆ ผมเลยถือโอกาสเอาต้นฉบับและคำแปลนี้มาเป็นบทเรียนในวันนี้ซะเลย โดยได้นำเอาทั้ง 2 ภาษามาเทียบกันประโยคต่อประโยค หรือถ้าประโยคยาว หรือเนื้อหาชวนให้ใส่ใจเป็นพิเศษ ก็เทียบวรรคต่อวรรคให้เห็นชัด ๆ เลย ข้อความที่เทียบอยู่ท้ายข้อเขียนนี้
แต่ตอนนี้ขอให้ผมคุยอะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องการแปลก่อนนะครับ
เรื่องการแปลนี่นะครับ ผมว่ามันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย สมัยผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 เคยไปทำงานรับจ้างแปลข่าวที่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ก่อนไปทำงานผมเคยอ่านตำราที่แปลจากภาษาอังกฤษบางเล่ม และก็นึกบ่นในใจว่า “แปลยังไง (วะ) อ่านไม่รู้เรื่อง” พอไปทำงานรับจ้างเขาแปลงานถึงได้สำนึกว่า จะแปลให้ดีนี่ไม่ใช่ของง่ายเลย และเมื่อประเมินงานแปลของตัวเอง ก็จะไม่ว่าอะไรเลยถ้ามีคนอ่านสิ่งที่ผมแปลและพูดออกมาดัง ๆ ว่า “แปลยังไง (วะ) อ่านไม่รู้เรื่อง” - - ประโยคเดียวกับที่ผมบ่นตอนอ่านงานแปลของคนอื่นนั่นหละครับ
งานแปลที่ “ดี” ผมว่าจะต้องมีครบ 2 อย่าง คือ “ซื่อ” และ “สวย”
ยังไงเรียกว่า “ซื่อ” - - ก็คือแปลได้ตรงกับที่ต้นฉบับต้องการจะสื่อ นี่พูดง่ายแต่ทำอาจไม่ง่ายนัก เพราะการแปลมิใช่เป็นเพียงการเปลี่ยนจาก book เป็น หนังสือ, chair เป็น เก้าอี้, หรือ love เป็น รัก แต่ยังมีอีกหลายเรื่องเข้ามาเกี่ยวข้องที่จะทำให้เราสื่อความได้ตรงหรือไม่ตรงกับที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ เช่น การใช้แกรมมาร์ที่ต่างกันระหว่างภาษาอังกฤษและภาษาไทย เช่น ถ้าอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ มันบอกเลยว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นแล้วในอดีต กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนาทีนี้ หรือจะเกิดขึ้นในอนาคต, หรือถ้าเป็นคำนาม แค่เติม –s หรือไม่เติม –s ก็สื่อแล้วว่ามีแค่หนึ่งหรือหลาย (ชิ้น, อัน, คน, ครั้ง, สถานที่ ฯลฯ) เราก็ต้องตีให้แตกว่าการบอกกาลและจำนวนนี้ มันสำคัญต่อการสื่อความหมายหรือเปล่า ถ้าสำคัญและไม่แปลก็จะเป็นการแปลตกหล่น นี่พูดในฐานะที่เราผู้แปลรู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดีนะครับ แต่ถ้าไม่ค่อยรู้เรื่องโอกาสที่จะแปลบิดเบือนโดยไม่เจตนายิ่งมีมากขึ้น คือ “ตีความผิด” นั่นแหละครับ ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการแปลผิดซึ่งมาจากการตีความผิด ที่เจตนาหรือไม่เจตนา ที่ละเลย-หละหลวม-หรือหลงลืม ก็ถือว่าเป็นการแปลผิดอยู่นั่นเอง แปลผิดคือแปลได้ไม่ซื่อ หรือไม่ตรง แม้ว่าบางครั้งอาจจะเป็นการแปลที่สละสลวยสวยเก๋อ่านรู้เรื่องก็ตาม
เรื่องที่สองคือแปลให้ “สวย” - - นี่ก็ไม่ใช่ของง่ายเช่นกันครับ ถ้าเราเกร็งกลัวผิดมากเกินไป และพยายามแปลออกมาให้ตรงที่สุด สำนวนภาษาที่แปลออกมาอาจจะเทอทะ งุ่มง่าม น่ารำราญ น่าเบื่อ จนถึงน่าเอน็จอนาจใจ และนำไปสู่ความน่าสังเวชในที่สุด เพราะเหนื่อยแทบตายกว่าจะแปลเสร็จ แต่ไม่มีใครอยากหยิบอ่าน
และแม้จะมีคำแนะนำอันแสนหวังดีว่า เราต้องรู้จักถ่ายถอดให้คำแปลมีความสมดุลระหว่างความซื่อตรงต่อต้นฉบับและความไพเราะของสำนวนภาษา ด้วยความเคารพต่อครูบาอาจารย์ครับ ขอเรียนว่า บางทีผู้แนะนำก็ทำตามคำแนะนำของตัวเองไม่ได้
ผมยกเอาเรื่องนี้มาพูดมิได้ต้องการให้ท่านท้อใจ แต่ก็เหมือนกับที่ผมเคยยกตัวอย่างมาหลายต่อหลายครั้งแล้วในบล็อกนี้ เราฝึกภาษาอังกฤษไปเรื่อย ๆ เราก็จะค่อย ๆ เข้าใจและใช้เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหวัง perfect ทุกย่างก้าวก็ไม่มีทางได้ก้าวย่างไปที่ไหนหรอกครับ เพราะฉะนั้นแม้ทฤษฎีจะบอกว่าจะแปลได้ได้ดีต้องรู้เนื้อเรื่อง, รู้ศัพท์-สำนวน, รู้ไวยากรณ์, รู้วัฒนธรรมของภาษาอังกฤษ, รู้การใช้ถ้อยคำในภาษาไทย และแปลออกมาให้ตรง – ให้สละสลวย และได้ภาษาระดับเดียวกับต้นฉบับ ถ้าทำไม่ได้ในวันแรกก็ไม่ต้องถือสาหาความ ทะเลาะเบาะแว้ง หรือตัดสินลงโทษตัวเองหรอกครับ พยายามฝักใฝ่และฝึกฝน และเรียนรู้อย่างร่าเริงไปเรื่อย ๆ ... เราก็จะทำได้ดีขึ้นเอง เรื่องนี้เป็นกฎธรรมชาติ ถึงฟ้าจะมาห้ามก็ห้ามไม่ได้ อะไรก็ฝืนคนพยายามไม่ได้หรอกครับ
เอาละครับ เชิญศึกษาต้นฉบับภาษาอังกฤษ และคำแปลภาษาไทย ประโยคต่อประโยค วรรคต่อวรรค ได้ข้างล่างนี้ สังเกตการเลือกใช้ภาษาไทย ในการถ่ายถอดศัพท์ภาษาอังกฤษ ผมว่าเขาทำได้ดีทีเดียวครับ
* * * * *
JOHN HOPKINS HOSPITAL REPORT (มีภาษาไทยด้วย สำหรับคนไม่อยากเป็นมะเร็ง หรือดูแลคนที่เป็น)
AFTER YEARS OF TELLING PEOPLE CHEMOTHERAPY IS THE ONLY WAY TO TRY AND ELIMINATE CANCER,
หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง
JOHNS HOPKINS IS FINALLY STARTING TO TELL YOU THERE IS AN ALTERNATIVE WAY .
ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก
Cancer Update from Johns Hopkins
ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์
1. Every person has cancer cells in the body.
ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย
These cancer cells do not show up in the standard tests until they have multiplied to a few billion.
เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล
When doctors tell cancer patients that there are no more cancer cells in their bodies after treatment,
เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว
it just means the tests are unable to detect the cancer cells
มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้
because they have not reached the detectable size.
เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น
2. Cancer cells occur between 6 to more than 10 times in a person's lifetime.
เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง
3. When the person's immune system is strong
เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ
the cancer cells will be destroyed and prevented from multiplying and forming tumours.
เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก
4. When a person has cancer it indicates the person has multiple nutritional deficiencies.
เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ
These could be due to genetic, environmental, food and lifestyle factors.
ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต
5. To overcome the multiple nutritional deficiencies,
เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ
changing diet and including supplements will strengthen the immune system.
การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
6. Chemotherapy involves poisoning the rapidly-growing cancer cells
การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
and also destroys rapidly-growing healthy cells
แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
in the bone marrow, gastro-intestinal tract etc, and can cause organ damage, like liver, kidneys, heart, lungs etc.
ในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ
7. Radiation while destroying cancer cells also burns, scars and ! damages healthy cells, tissues and organs.
การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ
8.. Initial treatment with chemotherapy and radiation will often reduce tumor size.
การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ
However prolonged use of chemotherapy and radiation do not result in more tumor destruction.
อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก
9. When the body has too much toxic burden from chemotherapy and radiation
เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป
the immune system is either compromised or destroyed,
ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง
hence the person can succumb to various kinds of infections and complications. ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น
10. Chemotherapy and radiation can cause cancer cells to mutate
การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์
and become resistant and difficult to destroy.
ดื้อยา และยากต่อการทำลาย
Surgery can also cause cancer cells to spread to other sites.
การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย
11. An effective way to battle cancer is
วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือ
to starve the cancer cells by not feeding it with the foods it needs to multiply.
การไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว
WHAT CANCER CELLS FEED ON:
อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง
a. Sugar is a cancer-feeder.
น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง
By cutting off sugar it cuts off one important food supply to the cancer cells .
การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง
Sugar substitutes like NutraSweet, Equal,Spoonful, etc are made with Aspartame and it is harmful.
สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น ' นิวตร้าสวีต ' ' อีควล ' ' สปูนฟูล ' ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย
A better natural substitute would be Manuka honey or molasses but only in very small amounts.
สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น
Table salt has a chemical added to make it white in colour.
เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว
Better alternative is Bragg's aminos or sea salt.
ควรหันไปเลือกใช้ ' แบรก อมิโน ' หรือเกลือทะเลแทน
b. Milk causes the body to produce mucus, especially in the gastro-intestinal tract.
นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร
Cancer feeds on mucus.
เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก
By cutting off milk and substituting with unsweetened soy milk,
การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม
cancer cells are being starved .
จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร
c. Cancer cells thrive in an acid environment.
เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด
A meat-based diet is acidic
อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น
and it is best to eat fish,
ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด
and a little chicken rather than beef or pork.
รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู
Meat also contains livestock antibiotics, growth hormones and parasites,
ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่
which are all harmful, especially to people with cancer.
ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง
d. A diet made of 80% fresh vegetables and juice, whole grains, seeds, nuts and a little fruits
อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย
help put the body into an alkaline environment.
จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง
About 20% can be from cooked food including beans.
อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว
Fresh vegetable juices provide live enzymes that are easily absorbed
น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่าย
and reach down to cellular levels within 15 minutes
และซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที
to nourish and enhance growth of healthy cells.
เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี
To obtain live enzymes for building healthy cells
เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี
try and drink fresh vegetable juice
ให้พยายามดื่มน้ำผักสด
(most vegetables including bean sprouts)
( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน)
and eat some raw vegetables 2 or 3 times a day.
และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน
Enzymes are destroyed at temperatures of 104 degrees F (40 degrees C).
เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)
e. Avoid coffee, tea, and chocolate, which have high caffeine.
ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง
Green tea is a better alternative and has cancer-fighting properties.
ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง
Water-best to drink purified water, or filtered,
น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง
to avoid known toxins and heavy metals in tap water.
เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา
Distilled water is acidic, avoid it.
น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง
12. Meat protein is difficult to digest
โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก
and requires a lot of digestive enzymes.
และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย
Undigested meat remaining in the intestines become putrified
เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่า
and leads to more toxic buildup.
และมีความเป็นพิษมากขึ้น
13. Cancer cell walls have a tough protein covering.
ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้
By refraining from or eating less meat
การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง
it frees more enzymes to attack the protein walls of cancer cells
จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง
and allows the body's killer cells to destroy the cancer cells.
และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น
14. Some supplements build up the immune system
สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
(IP6, Flor-essence, Essiac, anti-oxidants, vitamins, minerals, EFAs etc.)
( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ)
to enable the body's own killer cells to destroy cancer cells.
เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น
Other supplements like vitamin E are known to cause apoptosis,
สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล
or programmed cell death,
หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล
the body's normal method of disposing of
ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัด
damaged, unwanted, or unneeded cells.
เซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป
15. Cancer is a disease of the mind, body, and spirit.
มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ
A proactive and positive spirit will help the cancer warrior be a survivor..
การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง...
Anger, unforgiveness and bitterness put the body into a stressful and acidic environment.
ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น
Learn to have a loving and forgiving spirit.
ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย
Learn to relax and enjoy life.
เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต
16. Cancer cells cannot thrive in an oxygenated environment.
เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก
Exercising daily , and deep breathing help to get more oxygen down to the cellular level.
การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล
Oxygen therapy is another means employed to destroy cancer cells.
การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง
* * * *
มีเรื่องหักมุมนิดหน่อยครับ พอผมเขียนบรรทัดข้างบนเสร็จ ก็บังเอิญ Search เจอลิงค์ข้างล่างนี้
http://www.hopkinskimmelcancercenter.org/news/index.cfm?documentid=1020&newstype=News%20Releases&action=showthisitem
มีเนื้อความว่า:
ตามที่ได้มีรายงานเรื่อง “Cancer Update from Johns Hopkins” แพร่สะพัดไปในอินเตอร์เน็ต โดยอ้างว่ามาจากโรงพยาบาลจอห์น ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกานั้น โรงพยาบาลขอประกาศว่าไม่ได้รู้เรื่องและไม่ขอรับรองเนื้อหาในรายงานดังกล่าว อ้าว! ยังไงกันแหละเนี่ยะ
ก็อย่าไป serious อะไรมากเลยครับ ของอะไรทั้งหลายแหล่ที่ล่องลอยอยู่ในอินเตอร์เน็ตนี้ ดูไปดูมาก็อาจจะคล้าย ๆ นิยายเรื่องหนึ่ง คือ มีทั้ง truth, half-truth และ untruth ก็รับฟังทั้งความจริงและความเท็จนั่นแหละครับ เขียนมาถึงบรรทัดนี้ก็นึกถือถ้อยคำของโกวเล้งปรมาจารย์ของนิยายบู๊ลิ้มครั้งอดีต แกพูดว่า “จริงก็คือเท็จ เท็จก็คือจริง จริงกลายเป็นเท็จ เท็จกลายเป็นจริง, จริง ๆ เท็จ ๆ, เท็จ ๆ จริง ๆ ไม่ต้องไปยึดถืออะไรให้มากหรอก” ฟังไปฟังมาปรัชญาของนักประพันธ์ขี้เมาท่านนี้ก็น่ารับฟังเหมือนกัน ที่แน่ ๆ รู้มาว่า โกวเล้งแม้จะโด่งดังเรื่องการเขียนนิยายจีนกำลังภายใน แต่ความสามารถด้านภาษาอังกฤษของแกสูงมาก ๆ นิยายจีนกำลังภายในอมตะของแกหลายเรื่อง ดัดแปลงมาจากนิยายต้นฉบับภาษาอังกฤษ ซึ่งทำให้แกมีข้อมูลใช้เขียนนิยายจีนเลี้ยงตัวเองไปทั้งชีวิต รวมทั้งมีเงินซื้อเหล้าฝรั่งกินด้วย
ผมต้องจบบรรทัดนี้แล้วล่ะครับ รู้สึกว่ายิ่งคุยยิ่งหาที่จบไม่เจอ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552
[949] เว็บตอบสารพัดปัญหาอยู่ที่หน้านี้
พูดถึงการฟิตภาษาอังกฤษ มันคล้าย ๆ กับว่า ภาษาอังกฤษเป็นอะไรก้อนโต ๆ ก้อนหนึ่งที่เราต้องทำขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่าง และระหว่างที่ยังทำไม่สำเร็จนี้ก็ต้องทนทุกข์ทรมานไปเรื่อย ๆ จนกว่าเมื่อใดได้ผลก็ค่อยหายทุกข์ แต่ตอนนี้ก็ทุกข์ไปก่อน
ผมไม่อยากให้ท่านเรียนภาษาอังกฤษด้วยความทุกข์ทรมานอย่างนี้เลย แต่อยากจะให้ทุกนาทีที่ท่านคลุกคลีกับภาษาอังกฤษเป็นทุกนาทีที่คุ้มค่าและร่าเริง ด้วยเหตุนี้ผมจึงได้พูดไว้หลายครั้งว่า ให้เราหากิจกรรมที่เราทำแล้วสนุก เช่น ดูวีดิโอ ,ฟังเพลง อ่านนิทาน-นิยาย ที่สั้น ๆ และไม่ยากเกินไป เล่นเกมภาษา หรือทำอะไรก็ได้ครับที่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ถ้าทำแล้วสนุกก็ถือว่าใช้ได้ มันจะรู้เรื่องมาก รู้เรื่องน้อย หรือไม่รู้เรื่องเลย ก็ช่างมันเถอะครับ เล่นไปเรื่อย ๆ มันก็จะรู้เรื่องมากขึ้นเองแหละครับ
แต่ปัญหาอยู่ที่ไหนรู้ไหมครับ ตามความเห็นของผม อยู่ตรงที่หลายท่านหาไม่เจอสิ่งที่ทำกับภาษาอังกฤษแล้วสนุก หรือถ้าพูดตรง ๆ สักหน่อยก็ต้องพูดว่า บางท่านอาจจะไม่เคยหาเลย ก็เลยกลายเป็นว่า ไม่ขอคบหากับภาษาอังกฤษ แต่เรื่องนี้ก็บอกกันยากครับ ภาษิตอีสานมีอยู่บทหนึ่งว่า ‘ของแซบอยู่นำผู้มัก’ คือของจะอร่อยหรือไม่อร่อยมันอยู่ที่ว่าเราชอบกินหรือเปล่า ถ้าไอ้ของอย่างนั้นเราไม่ชอบกิน ต่อให้คนอื่นบอกว่าอร่อยขนาดไหน เราก็ไม่รู้สึกอร่อยอยู่นั่นเอง
ในบล็อกนี้ผมพยายามหาอะไรหลาย ๆ อย่างมาให้ท่านลองชิมดู เผื่อจะมีสักอย่างสองอย่างที่ท่านอาจจะ ‘มัก’ แต่ถ้าท่านไม่มักอะไรสักอย่างดียว ท่านก็ต้องหาเองให้เจอให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นท่านจะตกอยู่ในสภาพอย่างใดอย่างหนึ่งข้างล่างนี้ ซึ่งไม่น่าพิศมัยทั้งนั้น คือ
1. “ทนเรียนไปด้วยใจทุกข์” - แต่ต้องทนเรียนเพราะอยากเอาประโยชน์จากทักษะภาษาอังกฤษ
2. “ไม่เรียนมันเลย” – ก็ไม่ชอบนี่ครับก็เลยไม่อยากทน
เพราะฉะนั้นแง่มุมที่ท่านจะสามารถรักภาษาอังกฤษได้ ท่านต้องหาให้พบเองครับ เรื่องนี้ใครก็ช่วยใครไม่ได้หรอกครับ เพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้วมันยังไงรู้ไหมครับ มันก็คือว่า แม้ผมจะพยายามทำให้ บล็อกนี้มีเนื้อหาหลากหลาย เพียงใดก็ตาม มันก็อดไม่ได้ที่ผมจะเลือกเรื่องที่ผมชอบมากมาลงไว้เยอะเป็นพิเศษ เช่นท่านที่เป็นแฟนบล็อกนี้จะสังเกตได้ไม่ยากเลยว่า บล็อกนี้มีแทบจะทุกเรื่องเกี่ยวกับดิกชันนารี ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็คนเขียนบล็อกเป็นคนบ้าดิก นี่ครับ
และวันนี้ผมมีรวมลิงค์ข้างล่างนี้มาเสนอ เป็นการรวมเว็บไซต์ที่ตอบปัญหาสารพัดอย่าง ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ เช่น ตอบเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ หรือตอบคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ เช่น กลุ่มวัยรุ่น หรือบางเว็บก็อาจจะคละกันหลาย ๆ อย่าง เมื่อเข้าไปแล้ว เขามักจะทำ menu bar ให้ท่านหาประเภทของเรื่องได้ง่าย ๆ, อาจจะแสดงคำถาม – คำตอบยอดฮิต, คำถามที่ตอบแล้ว, คำถามที่ยังไม่ได้ตอบ, หรืออาจจะให้ท่านตั้งคำถามใหม่ที่ท่านอยากถาม, อาจจะมีคอลัมนิสต์ประจำคอยตอบ หรือเปิดกว้างให้ใครก็ได้เข้ามาตอบหรือแสดงความคิดเห็น นอกจากนี้ก็มักจะมีช่อง Search ให้ค้นเรื่อง สรุปก็คือที่เว็บพวกนี้ ท่านจะเข้าไปค้นหาเรื่องอ่าน จะเข้าไปเขียนถาม – เขียนตอบ – หรือเขียนแสดงความคิดเห็น ได้ทั้งนั้นครับ และมีสารพัดเรื่องตามรสนิยมของท่าน มันต้องมีสักเรื่องหนึ่งแหละครับที่ท่านชอบ และนี่อาจจะเป็นประตูที่พาท่านเข้าไปสู่โลกที่ท่านรักภาษาอังกฤษก็เป็นได้ ผมหวังไว้อย่างนั้นครับ
ลองคลิกเข้าไปหาดูได้เลยครับ
http://www.refdesk.com/expert.html
ผม copy มาให้ท่านอ่าน 2 เรื่อง เรื่องแรกเบา ๆ เรื่องหลังอาจจะหนักนิดนึง ถ้าท่านยังไม่ชอบใจเรื่องประเภทนี้ ให้ตะลุยเข้าไปหาเองที่นี่แหละครับ http://www.refdesk.com/expert.html ต้องเจอแน่ ๆ ครับ
เรื่องที่ 1:
Q: Why did a man tell his wife he had buried guns in their garden when he knew he had not?
A: Well, this guy was too lazy or a bit tired to dig his garden for planting his potatoes.Knowing that women cannot keep their tongues, he told her that he had buried guns in the garden.Next day at dawn, cops from the DHS come in and spent three hours digging the garden, to no avail.Then the guy said: Now I can plant my potatoes...
(http://able2know.org/topic/128381-1)
เรื่องที่ 2:
Q: What is Obamas policy
A: Since President Obama now has control of the House and the Senate, his policies will lean strongly towards Socialism. His policies will closely resemble the actiond taken by FDR in the early thirties. President Obama's rationale for the government's move towrds more and more power will, of course, be the "economy".However, since he is basically interested in keeping the Democrats and himself in power( for the "good" of the people, of course), he will not hesitate to pander to the wishes of the voting masses.It is considered criminal to "rob Peter to pay Paul" , but when there are more Pauls than Peters--income redistrbution must begin.
(http://able2know.org/topic/128283-1)
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[948]mp3‘อังกฤษสำหรับคนทำงานด้านท่องเที่ยว’10 เล่ม
วันก่อนผมมี [944]ฟรี‘อังกฤษสำหรับคนทำงานด้านท่องเที่ยว’10 เล่ม ให้ท่านดาวน์โหลด
และวันนี้ ผมมีไฟล์ mp3 ให้ท่านฟังประกอบหนังสือที่ท่านดาวน์โหลดไปวันก่อน ท่านจะดาวน์โหลดลงคอมฯ ฟังอยู่ที่บ้าน หรือจะดาวน์โหลดใส่เครื่องเล่น mp3 เสียบหูฟังเล่น ๆ ขณะเดินทาง โดยจะถือหนังสือ(ที่ print ออกมา)ดูตามไปด้วย หรือจะฟังเปล่า ๆ ก็ได้
ผมห่วงอย่างเดียว ท่านที่เน็ตช้าอาจจะมีปัญหาในการดาวน์โหลด เพราะไฟล์แต่ละไฟล์ขนาดใหญ่หลายสิบ MB ทั้งนั้นเลย ถ้าดาวน์โหลดเองไม่สำเร็จ ก็คงต้องวานเพื่อนที่มีเน็ตเร็วช่วยดาวน์โหลดให้ ของพวกนี้ช่วยกันก็ดีครับ จะได้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ไม่เหงา
เชิญดาวน์โหลดไฟล์ mp3 ได้เลยครับ
ภาษาอังกฤษสำหรับผู้ประกอบการด้านที่พัก (84 MB)
http://www.4shared.com/file/82510711/137e27b8/__online.html
ภาษาอังกฤษสำหรับผู้ประกอบการภัตตาคาร ร้านอาหาร (81 MB)
http://www.4shared.com/file/82512052/415d6d08/___online.html
ภาษาอังกฤษสำหรับผู้ให้บริการรถโดยสาร (67 MB)
http://www.4shared.com/file/82513613/ee07834d/__online.html
ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานขายของที่ระลึก (86 MB)
http://www.4shared.com/file/82514689/42c7e9a3/__online.html
ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานในโรงแรม แผนกเปิดประตู (47 MB)
http://www.4shared.com/file/82515548/238f4f05/___online.html
ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานในโรงแรม แผนกแม่บ้าน (44 MB)
http://www.4shared.com/file/82516091/fb83e4e9/___online.html
ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานในโรงแรม แผนกยกกระเป๋า (36 MB)
http://www.4shared.com/file/82516556/cf99fcad/___online.html
ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานสนามก็อล์ฟ (70 MB)
http://www.4shared.com/file/82517599/4b2fc955/__online.html
ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานในโรงแรม แผนกบริการในห้องออกกำลังกาย และสระว่ายน้ำ (83 MB)
http://www.4shared.com/file/82518824/86d1ef26/__online.html
ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานในโรงแรม แผนกรักษาความปลอดภัย (34 MB)
http://www.4shared.com/file/82520628/7eddc38/__online.html
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552
[947] การอกเสียง top-stop, park-spark, kill-skill
สวัสดีครับ
มีเรื่องง่าย ๆ ที่ผมไม่รู้จะไปถามใครอยู่เรื่องหนึ่ง คือในดิกชันนารี อังกฤษ – ไทย หลายเล่มที่วางขายในท้องตลาดเมืองไทย ทำไมเขาให้เสียง s ที่นำหน้า t, p, และ k อย่างนั้นนะ
เรารู้ว่า t ออกเสียง ‘ท’ แต่ st ใคร ๆ ก็รู้ว่า ต้องออกเสียง ‘สต’ ไม่ใช่ ‘สท’ ท่านไม่เชื่อผมก็คลิกฟังการออกเสียงข้างล่างนี้ก็ได้ครับ ผมเอามาจาก Webster Dictionary ดิกอันดับ 1 ของสหรัฐอเมริกา จะได้ยืนยันว่าผมไม่ได้มั่ว
คลิกฟังดูซีครับ
top-stop
http://www.merriam-webster.com/dictionary/top
http://www.merriam-webster.com/dictionary/stop
และ tart-start
http://www.merriam-webster.com/dictionary/tart
http://www.merriam-webster.com/dictionary/start
peak-speak
http://www.merriam-webster.com/dictionary/peak
http://www.merriam-webster.com/dictionary/speak
และ park-spark
http://www.merriam-webster.com/dictionary/park
http://www.merriam-webster.com/dictionary/spark
อันดับสุดท้าย เรารู้ว่า k ออกเสียง ‘ค’ แต่ sk ใคร ๆ ก็รู้ว่า ต้องออกเสียง ‘สก’ ไม่ใช่ ‘สค’ ท่านไม่เชื่อผมก็คลิกฟังการออกเสียงข้างล่างนี้ได้อีกเช่นกัน
kill-skill
http://www.merriam-webster.com/dictionary/kill
http://www.merriam-webster.com/dictionary/skill
และ kin-skin
http://www.merriam-webster.com/dictionary/kin
http://www.merriam-webster.com/dictionary/skin
ผมเชื่อว่า ท่านคงมีเหตุผลของท่าน ที่ให้คำอ่านไว้อย่างนั้น แต่ผมไม่ทราบจริง ๆ ว่าอะไรคือเหตุผล ท่านใดทราบช่วยบอกหน่อยเถอะครับ
วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552
[945]อังกฤษ 5 เล่มสำหรับคนทำงานโรงแรม-ร้านอาหาร
ข้างล่างนี้เป็น mp3 การสนทนาภาษาอังกฤษ 5 ชุด สำหรับผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร ผมขอแนะนำว่า ไม่ว่าท่านจะเป็น:-
1. ผู้ทำงานในตำแหน่งเหล่านี้
2. ครูหรือผู้ฝึกสอนผู้ทำงานในตำแหน่งเหล่านี้
3. ตัวท่านซึ่งเป็นลูกค้าไปรับบริการ
4. ตัวท่านซึ่งไม่ได้ไปใช้บริการจากเขา แต่ต้องการศึกษาภาษาอังกฤษ
5. ท่านมีญาติมิตรลูกหลานที่สามามารถใช้ประโยชน์จาก mp3 เหล่านี้
mp3 ทั้ง 5 ชุดนี้มีคุณภาพสูง จัดทำโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันที่จริงต้องเรียนคู่กับตำรา แต่เสียดายที่ผมไม่มีไฟล์ตำรา มีแต่ไฟล์ mp3 เป็นเสียงพูดภาษาอังกฤษ แต่ก็คิดว่าถึงอย่างไรก็น่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย
และต้องขอประทานโทษด้วยนะครับถ้าไฟล์ mp3 ชุดนี้เปืดแล้วขัดข้อง ตอนแรกมันก็ใช้งานได้ดีแต่ตอนหลังเปิดฟังแล้วติดขัดบ้าง ถ้าท่านฟังแล้วติดขัดบ้างอย่างที่ผมเจอ ช่วยบอกด้วยนะครับ
ทั้ง 5 ชุด มีดังต่อไปนี้ครับ
ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรม (security guards)
ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานยกกระเป๋าของโรงแรม (porters)
ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานแผนกแม่บ้านของโรงแรม (housekeepers)
ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานต้อนรับส่วนหน้าของโรงแรม (front office personnel)
ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานบริการอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรม (food and beverage servers)
ดาวน์โหลดเพื่อศึกษาเพิ่มเติม:
[944]ฟรี‘อังกฤษสำหรับคนทำงานด้านท่องเที่ยว’10 เล่ม
พิพัฒน์
GemTriple@gmail.com
วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552
[944]ฟรี‘อังกฤษสำหรับคนทำงานด้านท่องเที่ยว’10 เล่ม
ดาวน์โหลดเพิ่มเติม (26 มค. 52)
[948]mp3‘อังกฤษสำหรับคนทำงานด้านท่องเที่ยว’10 เล่ม
* * * * *
สวัสดีครับ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ได้จัดพิมพ์หนังสือ “ภาษาอังกฤษสำหรับผู้ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว” จำนวน 10 เล่ม โดยแบ่งตามลักษณะงานของกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้
1. ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานโรงแรมแผนกแม่บ้าน คลิกดาวน์โหลด
2. ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานโรงแรมแผนกยกกระเป๋า คลิกดาวน์โหลด
3. ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานโรงแรมแผนกเปิดประตู คลิกดาวน์โหลด
4. ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานโรงแรมแผนกรักษาความปลอดภัย คลิกดาวน์โหลด
5. ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานโรงแรมแผนกบริการในห้องออกกำลังกายและสระว่ายน้ำ คลิกดาวน์โหลด
6. ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานขายของที่ระลึก คลิกดาวน์โหลด
7. ภาษาอังกฤษสำหรับผู้ให้บริการรถโดยสาร คลิกดาวน์โหลด
8. ภาษาอังกฤษสำหรับผู้ประกอบการด้านที่พัก คลิกดาวน์โหลด
9. ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานภัตตาคาร ร้านอาหาร คลิกดาวน์โหลด
10. ภาษาอังกฤษสำหรับพนักงานสนามกอล์ฟ คลิกดาวน์โหลด
ต้องขอขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นอย่างสูงที่ได้เอื้อเฟื้อให้ไฟล์หนังสือครบชุดมาลงไว้ในบล็อกนี้
หนังสือแต่ละเล่มประกอบด้วย แบบฝึกออกเสียงศัพท์และสำนวนที่ผู้เรียนต้องใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยทุกบท - ทุกตอน - ทุกประโยค จะมี
1. คำอ่านภาษาอังกฤษ (เขียนเป็นภาษาไทย)
2. ข้อความภาษาอังกฤษ
3. คำแปลเป็นภาษาไทย
หนังสือชุดนี้จึงเหมาะสำหรับทั้งผู้สอน และผู้ที่ต้องการศึกษาด้วยตัวเองเพื่อใช้ในการทำงาน และแม้พวกเราที่อาจมีโอกาสไปรับบริการหรือจะไม่ได้ไปรับบริการก็เถอะ การได้ศึกษาหนังสือชุดนี้ก็ยังมีประโยชน์อยู่นั่นเอง เพราะเราสามารถจดจำศัพท์ สำนวน และความรู้จากคำอธิบายไปใช้ได้
ถ้าท่านไม่ได้ใช้ด้วยตัวเอง ดาวน์โหลดเก็บเอาไปให้คนอื่นที่คิดว่าเขาน่าจะได้ใช้ก็ดีครับ บอกได้เลยว่า ถ้าวางขายตามร้านหนังสือจะมีราคาแพงพอสมควรทีเดียว เพราะคุณภาพของหนังสือดีมาก นี่เป็นบริการที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีให้ประชาชน ก็ต้องชื่นชมและขอบคุณเขาแหละครับ
ดาวน์โหลดเพื่อศึกษาเพิ่มเติม:
[945]อังกฤษ 5 เล่มสำหรับคนทำงานโรงแรม-ร้านอาหาร
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2552
[943]วิธีใช้ “ดิก TH. – EN” ช่วย พูด – เขียนอังกฤษ
วันนี้ ผมตั้งใจจะคุยกับท่านในเรื่อง “วิธีใช้ประโยชน์จากดิกชันนารี ไทย – อังกฤษ เพื่อช่วยพัฒนาการพูดและการเขียนภาษาอังกฤษ”
เมื่ออ่านชื่อเรื่องแล้วฟังดูเกรงขามน่าหลีกหนียังไงพิลึก ดูเป็นวิชาการซะไม่มี ผมจึงขอจั่วหัวบอกท่านไว้ก่อนซะตอนนี้ว่า ถ้าท่านอ่านแล้วรู้สึกว่าบรรทัดไหนมันดูเป็นวิชาการจ๋า ขอได้โปรดทราบว่าผมนั่งเทียนเขียนจากประสบการณ์ของตัวเองล้วน ๆ ไม่มีทฤษฎีบทไหนทั้งนั้นมาอ้างอิง ฉะนั้น น้อง ๆ ที่เผลอมาอ่านเข้าจึงอย่าได้เอาไปอ้างอิงในรายงานส่งอาจารย์ ส่วนถ้าวรรคไหนอ่านแล้วรู้สึกว่าผมขี้โม้ไปหน่อย ก็ขอทุกท่านโปรดอภัยด้วยเพราะผมไม่ได้มีเจตนาจะโม้เลย เอาเป็นว่าผมเขียนแบบเพื่อนคุยกับเพื่อนแล้วกันครับ ท่านใดอ่านจบแล้วจะมี comment ต่อท้ายห้ามเรียกผมว่าอาจารย์เด็ดขาด
อันแรกก็ต้องบอกว่า ผมเห็นว่า Vocab และ Grammar คือเสาหลัก 2 ต้นของการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ภาษาอังกฤษ คือช่วยให้เรา (1)เข้าใจ และ (2)ใช้เป็น และระหว่างศัพท์กับแกรมมาร์ เท่าที่ผ่านมาผมใช้เวลาคลุกคลีตีโมงกับศัพท์มากกว่า ทั้ง 2 คนเป็นเพื่อนสนิท แต่ผมไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมแกรมมาร์ นาน ๆ จะโทรศัพท์ไปหาสักครั้ง แต่ Vocab ผมไปเยี่ยมบ่อย
ที่บล็อกนี้มีท่านผู้อ่านถามผมเรื่อง ‘การพูดภาษาอังกฤษ’ มากกว่าเรื่องอื่น ผมมักจะนึกถึงเรื่อง ‘ศัพท์’ ทุกครั้งที่ถูกถามเรื่องการพูด และแม้ผมมักจะตอบว่าแม้จะรู้ศัพท์ไม่เยอะก็สื่อสารได้ และอย่าท้อแท้แม้ไม่รู้ศัพท์เยอะ แต่เรื่องที่เป็นความจริงตลอดกาลก็คือ ศัพท์- ถ้าเข้าใจและใช้เป็น มีมากก็ย่อมดีกว่ามีน้อย เหมือนเงินในธนาคารที่ได้มาโดยความขยันและสุจริต มีเป็นล้านก็ย่อมดีกว่ามีเป็นร้อย
แต่ทำยังไงจึงจะมีศัพท์ตุนไว้ในสมองเยอะ ๆ? คำถามนี้มีคำตอบได้สารพัดอย่าง แต่ก่อนที่จะคุยกันเรื่องนี้ ผมขออนุญาตคุยถึงเรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึก.... จะเรียกว่าหงุดหงิดก็ไม่เชิง เออ ! ตอนนี้ผมยังนึกไม่ออกถึง adjective ที่ใช้เรียกความรู้สึกนี้ เดี๋ยวคงจะนึกออกเอง....
ก็คือว่า ผมได้ยินอาจารย์หลายท่านพูดว่า ถ้าจะพูดภาษาอังกฤษให้ได้ดีจะต้องคิดเป็นภาษาอังกฤษไปเลย เพราะถ้าต้องคิดเป็นภาษาไทยก่อนมันจะไม่ทันกิน ความคิดสะดุดเพราะต้องถ่ายไปถ่ายมาหลายทอด ผมเห็นว่าท่านพูดถูกและไม่ขอเถียง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงสมัยที่ผมพูดภาษาอังกฤษกับคนต่างชาติครั้งแรก ๆ น่าจะประมาณสัก 15 ปีที่แล้ว ตอนนั้นทำไม่ได้จริง ๆ ครับที่จะคิดและพูดเป็นภาษาอังกฤษออกไปเลยโดยไม่ต้องผ่านภาษาไทย แต่ทุกวันนี้ถ้าไม่ใช่เรื่อง serious หรือซับซ้อนจริง ๆ ผมสามารถคิดและพูดเป็นภาษาอังกฤษออกไปได้เลย ณ นาทีนี้ผมมานั่งระลึกชาติว่า มันเกิดอะไรขึ้นในช่วง 15 ปีนี้ที่ช่วยให้ผมไม่ต้องคิดเป็นภาษาไทยก่อนพูดเป็นภาษาอังกฤษ
นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ขณะนี้ ผมจะค่อย ๆ คิดไป – พิมพ์ไป หวังว่าผมคงจะลำดับเหตุการณ์ได้ถูกต้อง ไม่เลอะเลือนเพราะความชรา
ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมและมัธยม แม้ทักษะภาษาอังกฤษจะมีอยู่ 4 อย่าง คือ ฟัง – พูด – อ่าน – เขียน แต่ดูเหมือนผมเก็บมาจากโรงเรียนได้อย่างเดียว คือการอ่าน ส่วน ฟัง – พูด – เขียน เก็บมาได้น้อยมาก
ผมเริ่มใช้ดิกชันนารีครั้งแรกตอนอยู่ ม.ศ. 1 เป็นดิกอังกฤษ – ไทย เล่มเล็ก ๆ ราคา 10 บาทของ ม.ล. มานิช ชุมสาย และถ้าจำไม่ผิดคงจะเป็นตอนที่อยู่ชั้น ม.ศ. 4 ที่ผมเริ่มใช้ดิกชันนารีอังกฤษ – อังกฤษ Oxford Advanced Learner's Dictionary ฉบับ copy ราคา 70 บาท แต่งโดย A.S. Hornby การขยับขึ้นมาใช้ดิกอังกฤษ – อังกฤษ น่าจะเป็นการก้าวหน้า แต่ผมก็ไม่สามารถก้าวหน้าได้ตลอดเวลา เพราะผมต้องถอยหลังมาใช้ดิก อังกฤษ – ไทย ควบคู่กันไปกับดิกอังกฤษ – อังกฤษ ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ใช้ดิกอังกฤษ – อังกฤษแล้วไม่รู้เรื่อง ฉะนั้นจึงต้องมีดิกอังกฤษ – ไทย เป็นพี่เลี้ยง ท่านเชื่อไหมครับ กว่าผมจะสามารถเลิกใช้ดิกอังกฤษ – ไทย ได้เกือบ 100 % ก็น่าจะถึง ปี 2 ที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย ที่ผมใช้คำว่า ‘เกือบ’ ก็เพราะว่า ถึงยังไงดิกอังกฤษ – ไทย ก็ยังจำเป็นอยู่บ้าง อย่างน้อยใน 2 กรณี คือ
1. เมื่อเราต้องแปลความออกเป็นภาษาไทยให้คนอื่นอ่านหรือฟัง เช่น ถ้าท่านไปดูความหมายของคำว่า awkward ในดิก Oxford จะมี 5 ความหมาย โดยความหมายที่ 1 เขาแปลว่า “making you feel embarrassed” ถ้าไม่ต้องเปิดดิก และให้ท่านแปลเป็นภาษาไทยที่สื่อได้ตรงใจความ ท่านจะแปลว่าอะไร? หาคำไทยมาเทียบยากนะครับ แต่ถ้าไปเปิดดูดิกอังกฤษ – ไทย ของอาจารย์ สอ เสถบุตร จะให้คำแปลไว้ว่า “เก้อ, เคอะเขิน, เจื่อนๆ, เปิ่น, พะอืดพะอม, อึกอัก, อึดอัด” เป็นยังไงครับ แปลได้ใจไหมครับ อย่างนี้แม้จะอ่านคำนิยามเป็นภาษาอังกฤษแล้ว แต่ถ้าจะให้นึกเทียบคำไทยด้วยตัวเอง ผมคนนึงละครับนึกไม่ไหวแน่ ๆ
2. คำที่เป็นคำเฉพาะ คำทับศัพท์ ศัพท์บัญญัติ คำพวกนี้บางทีก็ต้องพึ่งดิกอังกฤษ – ไทย เพราะแม้ว่าเราอาจจะเข้าใจความหมาย แต่ก็อาจจะนึกคำไทยไม่ออก เช่น คำว่า ASEAN, globalization, piranha ถ้อยคำที่ใช้ในภาษาไทยของคำเหล่านี้คืออะไร? สะกดยังไง? ท่านแน่ใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ไหมครับโดยไม่ต้องเปิดดิกอังกฤษ – ไทย ที่อ้างอิงได้
แต่ถ้าไม่นับข้อยกเว้น 2 – 3 ข้อนี้ การใช้ดิกอังกฤษ – อังกฤษ ถือเป็นความก้าวหน้า ถ้าจะเปรียบเทียบกับการพูด ก็เหมือนคิดและพูดเป็นภาษาอังกฤษไปทันทีโดยไม่ต้องพูดเป็นภาษาไทยในสมองซะก่อน แต่การใช้ดิก อังกฤษ – ไทย ก็เหมือนการที่จะพูดอออกไปจากปากต้องคิดเป็นภาษาไทยในสมองซะก่อน มันก้าวหน้ากว่ากันเยอะเลย
เรื่องที่ผมต้องการจะพูดก็คือ สำหรับเด็กไทยอย่างผม ที่ไม่มีโอกาสไปเรียนเมืองนอก หรืออยู่เมืองไทยแต่ก็ไม่ได้เข้าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยนานาชาติ หรือไม่มีเงินจ้างฝรั่งมาสอนตัวต่อตัว หรือมีโอกาสน้อยมากที่จะได้สัมผัสกับฝรั่งตัวเป็น ๆ อย่างใกล้ชิดเป็นเวลานาน ๆ อย่างนี้ ดิกอังกฤษ – ไทย ก็เป็นสิ่งจำเป็นครับ
ก็คือว่าในระยะแรก ๆ หรือปีแรก ๆ ของการศึกษาภาษาอังกฤษ เมื่อใช้ดิกอังกฤษ – ไทยไปช่วงหนึ่ง พอรู้ศัพท์พื้นฐาน (คลิกดู 1 , 2) มากพอสมควรแล้ว ก็ค่อย ๆ เอา ดิกอังกฤษ – อังกฤษ มาแทรก ก็จะค่อย ๆ เก่งขึ้นไปเอง ถ้าผมเปรียบกับการวิ่งบางท่านที่ออกกำลังกายด้วยวิธีนี้คงจะเข้าใจดี เริ่มต้นก็อาจจะไปเข้าร่วมวิ่งกับเขาแบบ fun run ไม่เกิน 3 กม.ก่อน, แล้วค่อย ๆ ขยับเป็น 5 กม., 10 กม. หรือ mini-marathon, มากขึ้นไปเป็น 21 กม. หรือ half-marathon, และเมื่อวันหนึ่งถ้าฟิตร่างกายด้วยการวิ่งมาอย่างสม่ำเสมอจนพร้อม และ “ใจสู้” ก็ตัดสินใจลงวิ่ง 42 กม. หรือ marathon แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ การจะก้าวจากระดับหนึ่งขึ้นไปสู่อีกระดับหนึ่ง การฟิตภาษาอังกฤษไม่ต่างจากการวิ่งเลย คือ ต้องมีครบ 2 อย่าง ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ คือ “กายต้องซ้อม” และ “ ใจต้องสู้”
เอาละครับ ผมชวนท่านคุยเกี่ยวกับดิกชันนารีอังกฤษ – ไทย และ อังกฤษ – อังกฤษ มายาวพอสมควรแล้ว ผมขอวกเข้าเรื่องที่ผมตั้งใจจะคุยด้วยเป็นพิเศษในวันนี้ คือเรื่อง ดิกชันนารี ไทย – อังกฤษ
พอพูดถึงดิกชันนารี ผมก็มักจะได้ยินคนพูดถึงแต่ดิกชันนารี อังกฤษ – ไทย หรือ ดิกชันนารี อังกฤษ – อังกฤษ น้อยคนนักที่จะพูดถึงดิกชันนารี ไทย - อังกฤษ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ถ้าให้ผมระบุดิกชันนารี ไทย - อังกฤษ ที่ตีพิมพ์ขายอยู่ในขณะนี้ ผมขอเสนอ 3 เล่มนี้ครับ
ชุดที่ 1 (1 ชุด มี 2 เล่ม) ดิกชันนารี ไทย-อังกฤษ โดย สอ เสถบุตร. เล่มที่1 ก-บ และ เล่มที่2 ป – ฮ สำนักพิมพ์ ไทยวัฒนาพาณิช
เล่มที่ 2 พจนานุกรม ไทย อังกฤษ (ฉบับปรับปรุงใหม่) โดย ดำเนิน การเด่น และ เสฐียรพงษ์ วรรณปก สำนักพิมพ์ อัมรินทร์ พริ้นติ้งแอนด์พลับลิชชิ่งจำกัด.
เล่มที่ 3 พจนานุกรม ไทย – อังกฤษ โดย วงศ์ วรรธนพิเชฐ
ผมไม่ขอพูดว่าเล่มอื่น ๆ คุณภาพด้อยกว่า เอาเป็นว่า 3 เล่มนี้ผมดูแล้ว ซื้อแล้วไม่เสียดายเงินครับ
มาถึงเรื่องที่ผมตั้งเป็นชื่อหัวข้อวันนี้ “วิธีใช้ดิก ไทย – อังกฤษ ช่วยท่านพูด – เขียน ภาษาอังกฤษ”
แน่นอนครับ เราไม่สามารถเปิดดิกชันนารี ไทย – อังกฤษ แล้วดึงคำในนั้นออกมาใช้ได้ทันที เพราะว่านอกจากเรื่องคำศัพท์แล้ว ยังมีเรื่องการแต่งประโยคให้ถูกแกรมมาร์ และให้ถูกกาลเทศะอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ดิกชันนารี ไทย – อังกฤษ ที่ผมแนะนำข้างต้นก็พยายามที่จะช่วยผู้ใช้ให้มากที่สุด เช่น นอกจากเทียบคำศัพท์เดี่ยวเป็นคำ ๆ จากไทยเป็นอังกฤษแล้ว ยังเทียบศัพท์ประสมซึ่งมีการแจกลูกคำมากมาย เทียบวลี หรือแม้กระทั่งเทียบประโยคให้ดู เช่น ภาษาไทยว่าอย่างนี้ ภาษาอังกฤษจะว่าอย่างไร โดยอาจจะมิได้แปลคำต่อคำ มีประโยชน์มากครับ
ย้อนไปถึงเรื่องการใช้ดิกชันนารี 2 ภาษาที่ช่วยผู้ฝึกหัดฟิตภาษาอังกฤษ ที่ผมร่ายยาวไว้ข้างต้น เราสามารถรู้ศัพท์จากดิก อังกฤษ – ไทย ได้ฉันใด เราก็สามารถรู้ศัพท์จากดิก ไทย – อังกฤษ ได้ฉันนั้น และเอาเข้าจริง ๆ ผมว่าถ้ามุ่งเฉพาะเรื่องการฝึกพูดและฝึกเขียน สำหรับบางคนในบางคราว ดิก ไทย – อังกฤษ อาจจะมีประโยชน์มากกว่าซะอีก เพราะเมื่อเราลงมือจะพูดหรือเขียน สมองมันก็ start เป็นภาษาไทยก่อน แต่ถ้าเป็นเรื่องการอ่านและการฟัง ดิก อังกฤษ – ไทย อาจจะดีกว่า เพราะมัน start ด้วยการอ่านหรือการฟังเป็นภาษาอังกฤษ แล้วค่อยหาทางแปลเป็นภาษาไทย ถ้าพูดแบบกำปั้นทุบดินไม่ให้มีช่องผิดเลยก็ต้องพูดว่า ไหน ๆ ก็ใช้ดิกแล้ว ก็น่าจะใช้ทั้งดิก อังกฤษ-ไทย และดิก ไทย-อังกฤษ
การป้วนเปี้ยน ลูบ ๆ คลำ ๆ พลิกไปพลิกมา เปิดไปหน้านั้นกลับมาหน้านี้ แม้จะจำศัพท์ไม่ได้รวดเร็วทันใจ แต่ถ้าทำบ่อย ๆ มันก็ต้องได้อะไรบ้างแหละน่า
ดิกชันนารีนั้น มีให้เราทำ 4 อย่าง คือ
1. ถาม (เปิดดูคำศัพท์)
2. ท่อง (ดูแล้วเห็นว่าคำไหนจำเป็น ก็จดและจำให้ได้) และ
3. ทวน (พลิกดูคำที่เคยท่อง หรือแม้ไม่เคยท่อง แต่อาจจะเคยผ่านตาหรือผ่านหู มาก่อน ก็ลอง “นึกทบทวน” หรือ “นึกเดา” ก็จะช่วยปลุกศัพท์ที่ตายไปแล้วจากสมองให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้)
4. ทัวร์ (คลิก/พลิก ดูศัพท์คำนั้นคำนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำใหม่ ๆ ที่เราสนใจ)
ผมเองซื้อไว้ทั้งหมดเลยครับ แต่ปัญหาก็อย่างว่าแหละครับ อยู่ตรงที่ขี้เกียจเปิดครับ หนังสือมีเป็นร้อย ๆ หน้า ทั้งหนาและหนัก พกติดตัวไปด้วยยาก และแม้จะตั้งไว้ที่โต๊ะหนังสือก็ยังขี้เกียจเปิดอยู่นั่นเอง และแม้บางวันอารมณ์ดีขยันจะเปิด ในครึ่งชั่วโมงก็เปิดได้ไม่กี่คำ ทำไปทำมาของดีก็เลยไม่ค่อยมีประโยชน์ นอนจมอยู่ในนั้น ไม่ลุกขึ้นมาช่วยเรา เรื่องนี้ผมคิดอยู่นานทีเดียวว่าทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหาได้ คืออาจจะมีหลายท่านที่ขยันกว่าผม แต่ตอนนี้ขอให้ผมเหมาไว้ก่อนแล้วกันครับว่า หลายท่านขี้เกียจหรือขยันพอ ๆ กับผม แต่ก็ยังเอาประโยชน์จากดิกชันนารี ไทย – อังกฤษ ไม่ได้เท่าที่ควร จะทำยังไงดี ?
สิ่งที่ผมกำลังนำมาเสนอท่านต่อจากบรรทัดนี้เพื่อแก้ปัญหาข้างบน ผมไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้ผลหรือเปล่า ถ้าแจ้งผลการใช้ให้ผมทราบบ้างจะขอบคุณมากครับ
ผมขอแนะนำสินค้าเลยนะครับ....
1. ผมไปเจอดิกเล่มนี้ Thai - English Quick Reference
ซึ่งแสดงคำแปลศัพท์จาก ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก ดังนี้
ก ข ค ฆ ง จ ฉ ช ซ ฌ ญ ฎ ฐ ณ ด ต ถ ท ธ น บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม ย ร ฤ ล ว ศ ส ห อ ฮ
2. ผมได้นำคำศัพท์ทุกคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะตัวหนึ่ง ๆ มาไว้ในหน้าเดียวกัน เพราะฉะนั้น พยัญชนะไทย 42 ตัว มี 5 ตัวที่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นพยัญชนะต้น คือ ฏ – ฑ – ฒ – ษ – ฬ ก็จะเหลือพยัญชนะที่ทำหน้าที่เป็นพยัญชนะต้น จำนวน 37 ตัว ซึ่งหมายความว่า ถ้าท่านคลิกทีจะตัว ๆ เพียงแค่ 37 ครั้ง ก็จะได้เห็นศัพท์ไทยทั้งเล่ม (ที่มีคำแปลเป็นภาษาอังกฤษในเว็บนี้)
3. ให้ท่านค่อย ๆ กวาดตาไปดูคำศัพท์ในแต่ละหน้า ถ้าต้องการรู้คำแปลของศัพท์ หรือวลีใด ก็คลิกที่ลิงค์ตรงนั้น
[Tip: ถ้าต้องการให้เว็บแสดงผลในหน้าต่างใหม่ ก็ให้คลิกที่ลิงค์คำศัพท์ พร้อมกับ กด shift, เมื่อจะเลิกดูก็สามารถคลิกเครื่องหมาย X (close) ได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาคลิก Back ]
4. เข้ามาที่หน้านี้บ่อย ๆ และใช้หน้านี้เป็นที่ถามศัพท์ – ท่องศัพท์ – และ ทบทวนศัพท์ ผมเชื่อมั่นว่าท่านจะรู้และจำศัพท์ได้มากขึ้นโดยใช้เวลาน้อยกว่าเดิม ผลที่ตามมาก็คือ ท่านจะพูดเก่งขึ้น และเขียนเก่งขึ้น
5. เหลือประการสุดท้ายที่อยากจะบอก ถ้าการแสดงผลคำแปลช้า ซึ่งเพราะว่าอินเตอร์เน็ตของท่านช้า ท่านอาจจะต้องตัดสินใจว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่จะติดตั้งอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งยังช่วยให้ท่านต่อ online ดาวน์โหลดไฟล์ mp 3, ไฟล์วีดิโอ และดาวน์โหลดไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ได้รวดเร็วขึ้นด้วย ลองพิจารณาดูแล้วกันนะครับ
- ขอความสำเร็จจงมีแด่ทุกท่านเทอญ –
* * * * *
@ชุดที่ 1 แสดงคำศัพท์โดยเรียงติดต่อในบรรทัดเดียวกันไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้าย
- ก - - ข - - ค - - ฆ - - ง – จ - - ฉ - - ช - - ซ - - ฌ - - ญ - - ฎ ฐ ณ - - ด - - ต - - ถ - - ท - - ธ - - น - - บ - - ป - - ผ - - ฝ - - พ - - ฟ - - ภ - - ม - - ย - - ร - - ฤ ล - - ว - - ศ - - ส - - ห - - อ - - ฮ -
@ ชุดที่ 2 แสดงคำศัพท์ 1 คำ ต่อ 1 บรรทัด
-ก- -ข- -ค- -ฆ- -ง- -จ- -ฉ- -ช- -ซ- -ฌ- -ญ- -ฎ ฐ ณ- -ด- -ต- -ถ- -ท- -ธ- -น- -บ- -ป- -ผ- -ฝ- -พ- -ฟ- -ภ- -ม- -ย- -ร- -ฤ ล- -ว- -ศ- -ส- -ห- -อ- -ฮ-
* * * * *
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
[942] ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 44
จะไม่เขียนถึงเขาสักหน่อยก็คงจะกระไรอยู่ Barak Obama
ประวัติ:
http://en.wikipedia.org/wiki/Obama
สุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่ง 20 มค. 09:
http://edition.cnn.com/2009/POLITICS/01/20/obama.politics/index.html
ดาวน์โหลดสุนทรพจน์ที่มีคำแปลเมื่อวางเมาส์บนคำศัพท์
http://www.4shared.com/account/file/81629159/f0904b55/Obama_speech.html
วีดิโอโดย Obama และบุคคลที่เกี่ยวข้อง
http://www.youtube.com/inauguration
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552
[941]แนะนำGoogle Dict.&ฐานข้อมูลดิก อ.<->ท.8 แห่ง
ผมเคยถูกแซวทำนองว่า ในบล็อกนี้ดูเหมือนจะแนะนำดิกชันนารีมากไปหน่อย ขอเรียนว่าอย่าว่าแต่ท่านเลยครับที่รู้สึกเช่นนี้ ผมเองเป็นคนแนะนำก็ยังรู้สึก แต่จะให้ผมทำกระไรได้ล่ะครับ ใจมันลงรักปักลึกซะแล้ว เพราะเมื่อเจอดิกใหม่ดี ๆ ครั้งใดก็อดที่จะเอามาแนะนำไม่ได้ ขอเปรียบอย่างนี้แล้วกันครับ ท่านไปงานเลี้ยงงานหนึ่ง เขาเลี้ยงแบบบุปเฟ่ต์ ผมขอให้ท่านเลือกระหว่างงานที่มีอาหารให้เลือกไม่กี่อย่าง และท่านก็ไม่ต้องเสียเวลาเลือกมาก เพราะมีให้เลือกเพียง 2 อย่าง คือจะกินหรือไม่กิน กับอีกงานเลี้ยงหนึ่งที่มีอาหารให้เลือกมากเหลือเกิน จนท่านเลือกไม่ถูก และต้องใช้เวลามากหน่อยในการเลือกตักอาหาร ท่านจะเลือกที่จะไปเจองานเลี้ยงบุปเฟต์แบบไหน ถ้าบล็อกนี้เปรียบเหมือนอาหารบุปเฟต์ที่ผมเอามาตั้งเสิร์ฟท่าน ผมก็คิดว่าผมเลือกทำอย่างหลังดีกว่า คือให้มากไว้ก่อน ส่วนท่านใดได้อาหารหรือเว็บดิกที่ถูกใจไว้ก่อนหน้านี้แล้ว จะไม่สนใจอาหารถาดอื่นหรือเว็บดิกอื่นที่ผมทยอยมาเสิร์ฟอีกก็ตามสะดวกครับ
วันที่ผมมีเว็บอังกฤษ – ไทย, ไทย – อังกฤษ มาแนะนำอีก 1 เว็บ เป็นของ Google ครับ
http://www.google.com/dictionary
เมื่อท่านพิมพ์คำศัพท์ลงไป จะเป็นคำไทยหรือคำอังกฤษก็ได้ ให้ท่านคลิกที่สามเหลี่ยมหัวลงท้ายคำว่า English Dictionary, เลื่อนลงไปถึงบรรทัด Thai และเลือก English > Thai หรือ Thai > English ตามต้องการ, และคลิก Search Dictionary ก็จะมีคำแปลปรากฏ
เรื่องฐานข้อมูลดิกชันนารี English > Thai หรือ Thai > English ที่มีให้เราใช้ฟรี ๆ ในเน็ตนี่นะครับ เท่าที่ผมรู้จัก ก็มีอยู่ 8 ฐาน คือ
1. ฐานข้อมูลของ ศูนย์ เทคโนโลยีอิเลิกทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ National Electronics and Computer Technology Center หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า NECTEC ซึ่งมีดิก Lexitron ให้ใช้ อยู่ที่นี่ครับ http://lexitron.nectec.or.th/
และมีเว็บอื่น ๆ หลายเว็บเอาข้อมูลของดิก Lexitron ไปใช้หรือพัฒนาใช้ที่เว็บของตนเอง
2. ดิกชันนารีที่ ดร. วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม เป็นคนเรียบเรียง ผมไม่รู้หรอกครับว่าในแง่กฎหมายใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ฐานข้อมูล หรืออะไรทำนองนี้ แต่ก็มีคนเอาฐานข้อมูลนี้ไปทำอย่างข้อ 1 เยอะเหมือนกัน
3. ฐานข้อมูลของ ลอย ชุนพงษ์ทอง
ฐานข้อมูลของทั้งข้อ 2 และ 3 มีอยู่ที่เว็บนี้ครับ เป็นดิก อังกฤษ – ไทย (เฉพาะฐานข้อมูลที่ 2 มีให้พบที่อื่นอีกหลายเว็บ)
http://www.babylon.com/define/122
4. ฐานข้อมูลดิกของอาจารย์ สอ เสถบุตร เท่าที่พบมีอยู่แห่งเดียว คือที่ใน ห้องสมุดความรู้ ของ sanook.com ที่พิเศษคือเป็นดิกไทย online ที่มีเสียงอ่านทั้งอังกฤษ และ ไทยให้คลิกฟังด้วย-: อังกฤษ-ไทย-: ไทย-อังกฤษ
5. ฐานข้อมูลดิกซึ่งฝรั่งชื่อคุณ Glenn ทำขึ้น ที่เว็บนี้นอกจากดิกแล้ว ยังมีอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ
http://www.thai-language.com/dict/
6. ฐานข้อมูลของ Nontri ผมไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับฐานข้อมูลนี้ รู้แต่ว่าถ้าต้องการเปิดดิกจากฐานนี้ ให้พิมพ์คำศัพท์ลงไปที่เว็บนี้ http://dict.longdo.com/ คำแปลที่โชว์ใต้บรรทัด English-Thai: Nontri Dictionary ก็คือคำแปลจากฐานข้อมูลนี้แหละครับ
7. ดิกจากฐานข้อมูลของ SEAlang library
http://www.sealang.net/thai/index.htm
อ่านคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ คลิก ดูที่หัวข้อ ลิงค์ที่ 2
8. Webster's Online Dictionary ภาษาไทย > ภาษาอังกฤษ, พจนานุกรม & การแปล
http://www.websters-online-dictionary.org/definition/Thai-english/
เว็บนี้ลองเข้าไปดูซะหน่อยก็ดีครับ
ผมลองตรวจคำแปลที่ Google Dictionary โชว์ ไม่ว่าจะเป็นดิก English > Thai หรือ Thai > English ก็เห็นว่า ไม่ซ้ำกันเด๊ะกับฐานข้อมูลทั้ง 8 ฐานข้างต้นนี้ และนี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่เมื่อผมได้รับการแนะนำจากคุณชานุวัลภ์ ชินโกมุท ผมตัดสินใจเอา Google Dictionary มาแนะนำที่บล็อกนี้ (ต้องขอขอบคุณคุณชานุวัลภ์ ชินโกมุท ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ) ผมไม่ทราบว่าใครคือผู้เรียบเรียงดิก English > Thai และ Thai > English ให้ Google ท่านใดทราบช่วยบอกหน่อยนะครับ
จากที่เป็น “คนบ้าดิก” มาหลายปี มีเรื่องหนึ่งที่ผมค่อนข้างจะแน่ใจและอยากจะแสดงความคิดเห็นต่อท่านผู้อ่าน คือ ไม่มีดิกเล่มไหนหรอกครับที่ดีจนไร้ที่ติ และในทำนองเดียวกันก็ไม่มีดิกเล่มไหนที่มีแต่ข้อให้ติหาข้อดีไม่ได้เลย เมื่อเราปิดดิกก็เอาดิกเป็นที่ปรึกษา แต่ก็อย่าเชื่อที่ปรึกษา 100 % นะครับ
อาหารบุปเฟต์พร้อมแล้ว ขอเชิญเลือกรับประทานได้เลยครับ !
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com