วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552

[950] คุยเฟื่องเรื่องการแปล

สวัสดีครับ
ผมได้รับอีเมลส่งต่อจากเพื่อน (ว่าที่ร้อยตรีสมศักดิ์ พรหมดำ) เป็นรายงานทางการแทพย์ของโรงพยาบาลจอห์น ฮอปกินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งมีเนื้อหาเป็นประโยชน์มาก สรุปได้ว่า:
การรักษาโรคมะเร็งแบบเดิม ๆ ด้วยการทำคีโมและการฉายแสง มิใช่เป็นทางเลือกเดียวในการกำจัดโรคมะเร็ง วิธีเหล่านี้มีผลข้างเคียงหลายอย่างที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ทำลายเซลที่ดีของร่างกาย ทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย ถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก เป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย
โดยในรายงานได้เสนอทางเลือกใหม่ คือ การไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว โดยวิธีงดหรือลดอาหารที่ทำจากน้ำตาล น้ำตาลเทียม นม เนื้อสัตว์ ชา กาแฟ และให้เพิ่มบริโภคอาหารที่เป็นผัก ผลไม้สด อาหารเสริมบางอย่าง ออกกำลังกาย และทำจิตใจให้อยู่ในสภาพดี ร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอ


อันที่จริงคำแนะนำทำนองนี้เราคนไทยก็เคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว แต่รายงานภาษาอังกฤษพร้อมแนบคำแปลที่ผมได้รับครั้งนี้ มาจากโรงพยาบาลดังของสหรัฐอเมริกา และการเขียนมีลักษณะเป็นหลักเป็นฐานน่าเชื่อถือ ท่านคลิกเข้าไปดูก็ได้ครับ

ภาษาอังกฤษ: http://www.healthy-juicing-habits.com/johns-hopkins.html
ภาษาอังกฤษพร้อมคำแปลภาษาไทย:
เว็บที่ 1 http://www.phuket2u.com/misc/detail.php?post_id=16538
เว็บที่ 2
http://www.safety-stou.com/UserFiles/File/JOHN%20HOPKINS%20HOSPITAL%20REPORT.pdf

ผมลองเอาฉบับภาษาอังกฤษและฉบับแปลภาษาไทยมาเปรียบเทียบกันดูอย่างละเอียด และก็ได้ข้อสรุปว่า เขาแปลได้ดีจริง ๆ ผมเลยถือโอกาสเอาต้นฉบับและคำแปลนี้มาเป็นบทเรียนในวันนี้ซะเลย โดยได้นำเอาทั้ง 2 ภาษามาเทียบกันประโยคต่อประโยค หรือถ้าประโยคยาว หรือเนื้อหาชวนให้ใส่ใจเป็นพิเศษ ก็เทียบวรรคต่อวรรคให้เห็นชัด ๆ เลย ข้อความที่เทียบอยู่ท้ายข้อเขียนนี้

แต่ตอนนี้ขอให้ผมคุยอะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องการแปลก่อนนะครับ

เรื่องการแปลนี่นะครับ ผมว่ามันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย สมัยผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 เคยไปทำงานรับจ้างแปลข่าวที่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ก่อนไปทำงานผมเคยอ่านตำราที่แปลจากภาษาอังกฤษบางเล่ม และก็นึกบ่นในใจว่า “แปลยังไง (วะ) อ่านไม่รู้เรื่อง” พอไปทำงานรับจ้างเขาแปลงานถึงได้สำนึกว่า จะแปลให้ดีนี่ไม่ใช่ของง่ายเลย และเมื่อประเมินงานแปลของตัวเอง ก็จะไม่ว่าอะไรเลยถ้ามีคนอ่านสิ่งที่ผมแปลและพูดออกมาดัง ๆ ว่า “แปลยังไง (วะ) อ่านไม่รู้เรื่อง” - - ประโยคเดียวกับที่ผมบ่นตอนอ่านงานแปลของคนอื่นนั่นหละครับ

งานแปลที่ “ดี” ผมว่าจะต้องมีครบ 2 อย่าง คือ “ซื่อ” และ “สวย”

ยังไงเรียกว่า “ซื่อ” - - ก็คือแปลได้ตรงกับที่ต้นฉบับต้องการจะสื่อ นี่พูดง่ายแต่ทำอาจไม่ง่ายนัก เพราะการแปลมิใช่เป็นเพียงการเปลี่ยนจาก book เป็น หนังสือ, chair เป็น เก้าอี้, หรือ love เป็น รัก แต่ยังมีอีกหลายเรื่องเข้ามาเกี่ยวข้องที่จะทำให้เราสื่อความได้ตรงหรือไม่ตรงกับที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ เช่น การใช้แกรมมาร์ที่ต่างกันระหว่างภาษาอังกฤษและภาษาไทย เช่น ถ้าอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ มันบอกเลยว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นแล้วในอดีต กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนาทีนี้ หรือจะเกิดขึ้นในอนาคต, หรือถ้าเป็นคำนาม แค่เติม –s หรือไม่เติม –s ก็สื่อแล้วว่ามีแค่หนึ่งหรือหลาย (ชิ้น, อัน, คน, ครั้ง, สถานที่ ฯลฯ) เราก็ต้องตีให้แตกว่าการบอกกาลและจำนวนนี้ มันสำคัญต่อการสื่อความหมายหรือเปล่า ถ้าสำคัญและไม่แปลก็จะเป็นการแปลตกหล่น นี่พูดในฐานะที่เราผู้แปลรู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดีนะครับ แต่ถ้าไม่ค่อยรู้เรื่องโอกาสที่จะแปลบิดเบือนโดยไม่เจตนายิ่งมีมากขึ้น คือ “ตีความผิด” นั่นแหละครับ ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการแปลผิดซึ่งมาจากการตีความผิด ที่เจตนาหรือไม่เจตนา ที่ละเลย-หละหลวม-หรือหลงลืม ก็ถือว่าเป็นการแปลผิดอยู่นั่นเอง แปลผิดคือแปลได้ไม่ซื่อ หรือไม่ตรง แม้ว่าบางครั้งอาจจะเป็นการแปลที่สละสลวยสวยเก๋อ่านรู้เรื่องก็ตาม

เรื่องที่สองคือแปลให้ “สวย” - - นี่ก็ไม่ใช่ของง่ายเช่นกันครับ ถ้าเราเกร็งกลัวผิดมากเกินไป และพยายามแปลออกมาให้ตรงที่สุด สำนวนภาษาที่แปลออกมาอาจจะเทอทะ งุ่มง่าม น่ารำราญ น่าเบื่อ จนถึงน่าเอน็จอนาจใจ และนำไปสู่ความน่าสังเวชในที่สุด เพราะเหนื่อยแทบตายกว่าจะแปลเสร็จ แต่ไม่มีใครอยากหยิบอ่าน

และแม้จะมีคำแนะนำอันแสนหวังดีว่า เราต้องรู้จักถ่ายถอดให้คำแปลมีความสมดุลระหว่างความซื่อตรงต่อต้นฉบับและความไพเราะของสำนวนภาษา ด้วยความเคารพต่อครูบาอาจารย์ครับ ขอเรียนว่า บางทีผู้แนะนำก็ทำตามคำแนะนำของตัวเองไม่ได้

ผมยกเอาเรื่องนี้มาพูดมิได้ต้องการให้ท่านท้อใจ แต่ก็เหมือนกับที่ผมเคยยกตัวอย่างมาหลายต่อหลายครั้งแล้วในบล็อกนี้ เราฝึกภาษาอังกฤษไปเรื่อย ๆ เราก็จะค่อย ๆ เข้าใจและใช้เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหวัง perfect ทุกย่างก้าวก็ไม่มีทางได้ก้าวย่างไปที่ไหนหรอกครับ เพราะฉะนั้นแม้ทฤษฎีจะบอกว่าจะแปลได้ได้ดีต้องรู้เนื้อเรื่อง, รู้ศัพท์-สำนวน, รู้ไวยากรณ์, รู้วัฒนธรรมของภาษาอังกฤษ, รู้การใช้ถ้อยคำในภาษาไทย และแปลออกมาให้ตรง – ให้สละสลวย และได้ภาษาระดับเดียวกับต้นฉบับ ถ้าทำไม่ได้ในวันแรกก็ไม่ต้องถือสาหาความ ทะเลาะเบาะแว้ง หรือตัดสินลงโทษตัวเองหรอกครับ พยายามฝักใฝ่และฝึกฝน และเรียนรู้อย่างร่าเริงไปเรื่อย ๆ ... เราก็จะทำได้ดีขึ้นเอง เรื่องนี้เป็นกฎธรรมชาติ ถึงฟ้าจะมาห้ามก็ห้ามไม่ได้ อะไรก็ฝืนคนพยายามไม่ได้หรอกครับ

เอาละครับ เชิญศึกษาต้นฉบับภาษาอังกฤษ และคำแปลภาษาไทย ประโยคต่อประโยค วรรคต่อวรรค ได้ข้างล่างนี้ สังเกตการเลือกใช้ภาษาไทย ในการถ่ายถอดศัพท์ภาษาอังกฤษ ผมว่าเขาทำได้ดีทีเดียวครับ

* * * * *
JOHN HOPKINS HOSPITAL REPORT (มีภาษาไทยด้วย สำหรับคนไม่อยากเป็นมะเร็ง หรือดูแลคนที่เป็น)
AFTER YEARS OF TELLING PEOPLE CHEMOTHERAPY IS THE ONLY WAY TO TRY AND ELIMINATE CANCER,
หลังจากหลายปีที่พูดกันว่าการทำคีโมเป็นทางเลือกเดียวที่จะ ลอง และใช้ในการกำจัดโรคมะเร็ง

JOHNS HOPKINS IS FINALLY STARTING TO TELL YOU THERE IS AN ALTERNATIVE WAY .
ในที่สุดโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์ก็เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆอีก

Cancer Update from Johns Hopkins
ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโรคมะเร็งจาก รพ.จอห์น ฮอพกินส์

1. Every person has cancer cells in the body.
ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย

These cancer cells do not show up in the standard tests until they have multiplied to a few billion.
เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล

When doctors tell cancer patients that there are no more cancer cells in their bodies after treatment,
เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว
it just means the tests are unable to detect the cancer cells
มันหมายถึงว่าระบบไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้
because they have not reached the detectable size.
เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น

2. Cancer cells occur between 6 to more than 10 times in a person's lifetime.
เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง

3. When the person's immune system is strong
เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ
the cancer cells will be destroyed and prevented from multiplying and forming tumours.
เซลมะเร็งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

4. When a person has cancer it indicates the person has multiple nutritional deficiencies.
เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ
These could be due to genetic, environmental, food and lifestyle factors.
ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต

5. To overcome the multiple nutritional deficiencies,
เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ
changing diet and including supplements will strengthen the immune system.
การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่างจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

6. Chemotherapy involves poisoning the rapidly-growing cancer cells
การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
and also destroys rapidly-growing healthy cells
แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
in the bone marrow, gastro-intestinal tract etc, and can cause organ damage, like liver, kidneys, heart, lungs etc.
ในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. Radiation while destroying cancer cells also burns, scars and ! damages healthy cells, tissues and organs.
การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ

8.. Initial treatment with chemotherapy and radiation will often reduce tumor size.
การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ

However prolonged use of chemotherapy and radiation do not result in more tumor destruction.
อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

9. When the body has too much toxic burden from chemotherapy and radiation
เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป
the immune system is either compromised or destroyed,
ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูกทำลายลง
hence the person can succumb to various kinds of infections and complications. ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. Chemotherapy and radiation can cause cancer cells to mutate
การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์
and become resistant and difficult to destroy.
ดื้อยา และยากต่อการทำลาย
Surgery can also cause cancer cells to spread to other sites.
การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

11. An effective way to battle cancer is
วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือ
to starve the cancer cells by not feeding it with the foods it needs to multiply.
การไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว

WHAT CANCER CELLS FEED ON:
อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง

a. Sugar is a cancer-feeder.
น้ำตาลคืออาหารของมะเร็ง

By cutting off sugar it cuts off one important food supply to the cancer cells .
การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง

Sugar substitutes like NutraSweet, Equal,Spoonful, etc are made with Aspartame and it is harmful.
สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น ' นิวตร้าสวีต ' ' อีควล ' ' สปูนฟูล ' ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย

A better natural substitute would be Manuka honey or molasses but only in very small amounts.
สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น

Table salt has a chemical added to make it white in colour.
เกลือสำเร็จรูปก็ใช้สารเคมีในการฟอกขาว

Better alternative is Bragg's aminos or sea salt.
ควรหันไปเลือกใช้ ' แบรก อมิโน ' หรือเกลือทะเลแทน

b. Milk causes the body to produce mucus, especially in the gastro-intestinal tract.
นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร

Cancer feeds on mucus.
เซลมะเร็งจะได้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก

By cutting off milk and substituting with unsweetened soy milk,
การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม
cancer cells are being starved .
จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร

c. Cancer cells thrive in an acid environment.
เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด

A meat-based diet is acidic
อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น
and it is best to eat fish,
ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานปลาจะดีที่สุด
and a little chicken rather than beef or pork.
รองลงไปคือรับประทานไก่แทนเนื้อและหมู

Meat also contains livestock antibiotics, growth hormones and parasites,
ในเนื้ออาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่
which are all harmful, especially to people with cancer.
ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง

d. A diet made of 80% fresh vegetables and juice, whole grains, seeds, nuts and a little fruits
อาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80% และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย
help put the body into an alkaline environment.
จะช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง

About 20% can be from cooked food including beans.
อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว

Fresh vegetable juices provide live enzymes that are easily absorbed
น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึมได้ง่าย
and reach down to cellular levels within 15 minutes
และซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที
to nourish and enhance growth of healthy cells.
เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี

To obtain live enzymes for building healthy cells
เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ในการสร้างเซลที่ดี
try and drink fresh vegetable juice
ให้พยายามดื่มน้ำผักสด
(most vegetables including bean sprouts)
( ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน)
and eat some raw vegetables 2 or 3 times a day.
และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน

Enzymes are destroyed at temperatures of 104 degrees F (40 degrees C).
เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F ( ประมาณ 40 องศา C)

e. Avoid coffee, tea, and chocolate, which have high caffeine.
ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง

Green tea is a better alternative and has cancer-fighting properties.
ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง

Water-best to drink purified water, or filtered,
น้ำดื่มให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง
to avoid known toxins and heavy metals in tap water.
เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา

Distilled water is acidic, avoid it.
น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง

12. Meat protein is difficult to digest
โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก
and requires a lot of digestive enzymes.
และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย

Undigested meat remaining in the intestines become putrified
เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่า
and leads to more toxic buildup.
และมีความเป็นพิษมากขึ้น

13. Cancer cell walls have a tough protein covering.
ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้

By refraining from or eating less meat
การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง
it frees more enzymes to attack the protein walls of cancer cells
จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง
and allows the body's killer cells to destroy the cancer cells.
และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

14. Some supplements build up the immune system
สารอาหารบางอย่างอาจช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
(IP6, Flor-essence, Essiac, anti-oxidants, vitamins, minerals, EFAs etc.)
( สาร IP6 [inositol hexaphosphate หรือ phytic acid], สาร Flor-essence, สาร Essiac, สารแอนตี้-อ๊อกซิแดนส์ , วิตามิน , เกลือแร่ , EFAs ฯลฯ)

to enable the body's own killer cells to destroy cancer cells.
เพื่อช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

Other supplements like vitamin E are known to cause apoptosis,
สารอาหารอื่นๆเช่น วิตามินอี เป็นที่ทราบกันดีว่าทำให้เกิดการตายลงของเซล
or programmed cell death,
หรือกำหนดระยะเวลาการตายของเซล
the body's normal method of disposing of
ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการกำจัด
damaged, unwanted, or unneeded cells.
เซลที่ถูกทำลาย ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ หรือไม่มีประโยชน์ออกไป

15. Cancer is a disease of the mind, body, and spirit.
มะเร็งเป็นโรคที่สัมพันธ์กับจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ

A proactive and positive spirit will help the cancer warrior be a survivor..
การป้องกันเชิงรุกและการคิดในเชิงบวกจะช่วยให้เราสามารถอยู่รอดจากการทำสงครามกับมะเร็ง...

Anger, unforgiveness and bitterness put the body into a stressful and acidic environment.
ความโกรธ การไม่รู้จักให้อภัย และความขมขื่นใจ จะทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียดและมีสภาวะเป็นกรดเพิ่มขึ้น

Learn to have a loving and forgiving spirit.
ให้เรียนรู้ที่จะมีความรักและจิตวิญญาณแห่งการให้อภัย
Learn to relax and enjoy life.
เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและมีความสุขกับชีวิต

16. Cancer cells cannot thrive in an oxygenated environment.
เซลมะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาวะที่มีอ๊อกซิเจนเป็นจำนวนมาก

Exercising daily , and deep breathing help to get more oxygen down to the cellular level.
การออกกำลังกายทุกวัน และการหายใจลึกๆจะช่วยให้ร่างกายได้รับอ๊อกซิเจนเพิ่มขึ้นลงไปจนระดับเซล
Oxygen therapy is another means employed to destroy cancer cells.
การบำบัดด้วยอ๊อกซิเจนถือเป็นวิธีการอีกอย่างที่ใช้ในการทำลายเซลมะเร็ง

* * * *
มีเรื่องหักมุมนิดหน่อยครับ พอผมเขียนบรรทัดข้างบนเสร็จ ก็บังเอิญ Search เจอลิงค์ข้างล่างนี้
http://www.hopkinskimmelcancercenter.org/news/index.cfm?documentid=1020&newstype=News%20Releases&action=showthisitem
มีเนื้อความว่า:
ตามที่ได้มีรายงานเรื่อง “Cancer Update from Johns Hopkins” แพร่สะพัดไปในอินเตอร์เน็ต โดยอ้างว่ามาจากโรงพยาบาลจอห์น ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกานั้น โรงพยาบาลขอประกาศว่าไม่ได้รู้เรื่องและไม่ขอรับรองเนื้อหาในรายงานดังกล่าว อ้าว! ยังไงกันแหละเนี่ยะ

ก็อย่าไป serious อะไรมากเลยครับ ของอะไรทั้งหลายแหล่ที่ล่องลอยอยู่ในอินเตอร์เน็ตนี้ ดูไปดูมาก็อาจจะคล้าย ๆ นิยายเรื่องหนึ่ง คือ มีทั้ง truth, half-truth และ untruth ก็รับฟังทั้งความจริงและความเท็จนั่นแหละครับ เขียนมาถึงบรรทัดนี้ก็นึกถือถ้อยคำของโกวเล้งปรมาจารย์ของนิยายบู๊ลิ้มครั้งอดีต แกพูดว่า “จริงก็คือเท็จ เท็จก็คือจริง จริงกลายเป็นเท็จ เท็จกลายเป็นจริง, จริง ๆ เท็จ ๆ, เท็จ ๆ จริง ๆ ไม่ต้องไปยึดถืออะไรให้มากหรอก” ฟังไปฟังมาปรัชญาของนักประพันธ์ขี้เมาท่านนี้ก็น่ารับฟังเหมือนกัน ที่แน่ ๆ รู้มาว่า โกวเล้งแม้จะโด่งดังเรื่องการเขียนนิยายจีนกำลังภายใน แต่ความสามารถด้านภาษาอังกฤษของแกสูงมาก ๆ นิยายจีนกำลังภายในอมตะของแกหลายเรื่อง ดัดแปลงมาจากนิยายต้นฉบับภาษาอังกฤษ ซึ่งทำให้แกมีข้อมูลใช้เขียนนิยายจีนเลี้ยงตัวเองไปทั้งชีวิต รวมทั้งมีเงินซื้อเหล้าฝรั่งกินด้วย

ผมต้องจบบรรทัดนี้แล้วล่ะครับ รู้สึกว่ายิ่งคุยยิ่งหาที่จบไม่เจอ

พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com

13 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ28 มกราคม 2552 เวลา 00:17

    อืมมม...

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ28 มกราคม 2552 เวลา 06:15

    เนื้อหาดีมีสาระครับ

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณเสมอมา ในความเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนมนุษย์ ด้วยกัน

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ28 มกราคม 2552 เวลา 09:56

    Hi,
    Thank you so much for everything.

    **please don't forget!
    take care of yourself.**

    we're friends.

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ28 มกราคม 2552 เวลา 10:01

    Hi.

    thank you so much for everything.

    **please don't forget! take care of yourself.**

    ตอบลบ
  6. ผมไม่ได้ตั้งใจจะจับผิดการแปลของผู้แปล แต่เห็นมีบางจุดที่ควรต้องทักท้วง อย่างในข้อ 11 d ที่แปล a little fruits ว่าผลไม้จำนวนเล็กน้อย นี่ไม่น่าจะถูก รบกวนอาจารย์ช่วยเพิ่มเติมด้วยครับ

    ตอบลบ
  7. คุณ Wanachporn ครับ
    มันควรจะแปลว่าอะไรครับ
    พิพัฒน์

    ตอบลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ10 มีนาคม 2553 เวลา 14:41

    Little fruits แปลว่าผลไม้จำนวนเล็กน้อย ถูกต้องแล้วค่ะ เนื่องจาก Fruits เป็นนามที่แทนผลไม้ทั่วๆไป ดังนั้น ใช้ Little นำหน้า เมื่อแปลรวมกัน จึงหมายถึง ผลไม้จำนวนเล็กน้อย ซึ่งเป็นความจริงที่สอดคล้องตามหลักโภชนาการทางเลือกในการรับประทานผลไม้ในจำนวนที่น้อยกว่าผัก เนื่องจากผลไม้มีปริมาณน้ำตาลสูงกว่าผักมากๆ โดยเฉพาะเมื่อสุกแล้ว ปริมาณน้ำตาลจะสูงกว่าผลดิบ 2-3 เท่า
    เนื้อหาบทความดีมากๆ ค่ะ แต่ขอท้วงติงในบางข้อความแปลนิดนึงนะคะ
    1.a better natural substitute หมายถึง สารทดแทนแบบธรรมชาติ เช่น น้ำผึ้งที่ให้ความหวานน้ำตาลจากอ้อย
    2.a little chicken rather than beef or pork หมายถึง ทานไก่ในปริมาณเล็กน้อย มากกว่าการทานเนื้อวัวหรือเนื้อหมู
    3.whole grains หมายถึง เมล็ดพืชทั้งเมล็ดที่ไม่ขีดสี
    4.live enzyme หมายถึง เอ็นไซม์ที่ยังคงมีประสิทธิภาพ ถ้าถูกทำลายด้วยความร้อน แล้วจะหมดสภาพ ถูก denature กลายเป็น death enzyme
    5.digestive enzyme หมายถึง เอ็นไซม์ที่มีหน้าที่ในการย่อยอาหาร เนื่องจากเอ็นไซม์แต่ละประเภทมีความเกี่ยวข้องกับแต่ละระบบในร่างกายแตกต่างกันค่ะ
    Food Sience Master....

    ตอบลบ
  9. ใช่แล้วครับ เนื่องจาก little ทำหน้าที่ deteminant ก็ได้ จึงแปลว่าจำนวนเล็กน้อย ถ้าเป็นคุณศัพท์จึงแปลว่าขนาดเล็ก เช่น little boys ผมสับสนเองครับ ขอโทษที่ comment ผิดๆไปครับอาจารย์

    ตอบลบ
  10. เป็นประเด็น Grammar จริงๆ ครับผม... ปริมาณเล็กน้อย คือคำว่า a little, little ใช้กับ uncountable noun
    ส่วน a few, few ใช้กับ countable noun ในบทความนี้ จำนวนเปอร์เซนต์ส่วนน้อยของ diet คือ ไม่เกิน 20% (100-80) นั้น (จำนวนเปอร์เซนต์ เป็น uncountable noun) ได้มาจากผลไม้ต่างๆ ถ้าเขียนเต็มๆ จะเขียนแบบนี้ครับ a little percent from fruits
    ดูอีกที่ในบทความจะเข้าใจ คือตรง a little chicken [เนื้อไก่/ไม่ใช่ตัวไก่ ซึ่ง คำว่า chicken,beef,pork,fish(ในความหมายเนื้อปลาไม่ใช่ตัวปลา ล้วนเป็น uncountable] หมายถึงบริโภคเนื้อไก่ในปริมาณเล็กน้อยพอประมาณ Grammarเรื่อง a little คือแปลว่า น้อยพอมีบ้าง (ให้ความรู้สึกแง่บวก) แต่ little คือ น้อยมากๆ (ให้ความรู้สึกแง่ลบ)... เรื่องมันก็มีอยู่แค่นี้แหละครับ เป็น ไวยากรณ์ ของ a little, little, a few, few ซึ่งต้องจำซึ้งขึ้นใจรู้จักใช้ให้แม่นยำสมกับที่ครูอังกฤษเคยสอนเน้นมาครับผม

    ตอบลบ
  11. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  12. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  13. ปรับแก้ตัวเลขที่ผมแสดงไว้นิดหนึ่งครับ พอดีลืมดูประโยคถัดไป ปริมาณ fruits นั้นอยู่ในส่วนน้อยของ 80% นั่นแหละครับ ไม่ต้องนำ 100 ลบ 80 ครับ เพราะอีก 20% กล่าวไว้ในประโยคหลังต่อไปแล้วว่า from cooked food including beans

    ตอบลบ