[855 ทำ pictures of the day ของตัวเอง

สวัสดีครับ
ที่เว็บดิกชันนารี Longman http://www.ldoceonline.com/
เมื่อท่านพิมพ์คำศัพท์อะไรลงไปก็ตาม ที่ตอนล่างของหน้าจะมี Pictures of the day วันละ 3- 4 รูป ผมว่าเราสามารถเพิ่มคำศัพท์ให้แก่ตัวเองได้ง่าย ๆ ด้วยภาพเหล่านี้แหละครับ ซึ่งจะเปลี่ยนไปทุกวัน เราสามารถทำ folder เก็บภาพ เพื่อให้เรารู้จักศัพท์ภาษาอังกฤษของภาพเหล่านี้ ซึ่งจะช่วยให้เราจำศัพท์ได้อย่างรวดเร็วและจำได้นาน

วิธีทำ
1. ไปที่เว็บ http://www.ldoceonline.com/

2. พิมพ์คำว่า Thailand ลงไป, Enter

3. ใต้คำว่า pictures of the day Do you know what each of these is called? จะมีรูปแสดง 3 – 4 รูป ซึ่งเปลี่ยนทุกวัน

4. ให้ท่านดับเบิ้ลคลิกที่รูป

5. ดับเบิ้ลคลิกที่รูปอีกครั้งจนรูปขยายขนาดขึ้น

6. คลิกขวาที่รูปนั้น และคลิก Save picture as

7. ตั้งชื่อรูปเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษ ตามด้วยภาษาไทย เช่น camera - กล้องถ่ายรูป

8. ทำอย่างนี้กับทุกรูปโดยเก็บไว้ในโฟลเดอร์เดียวกันที่เราสร้างขึ้นมาเฉพาะเพื่อเก็บรูปเหล่านี้ อาจจะชื่อโฟลเดอร์ My pics-Longman Dict

9. ทำอย่างนี้ทุกวัน เพราะรูปจะเปลี่ยนไปทุกวัน เราก็จะได้เรียนรู้ภาพศัพท์ทุกวันพร้อมรูปประกอบที่สวยงาม ภาพเหล่านี้ท่านอาจจะไม่ได้ใช้ แต่ท่านสามารถเอาไปใช้เป็นอุปกรณ์สอนบุตรหลานของท่านได้สบายมาก ยิ่งทำทุกวัน ภาพก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ ตอนเวลาเราทบทวนศัพท์ เราก็เพียงคลิกทีละรูปไปเรื่อย ๆ หรือคลิก page down (คือเปิดด้วยโปรแกรม ASDCsee) ไปเรื่อย ๆ ภาพของชื่อไฟล์ก็คือคำศัพท์ของภาพนั่นเอง

10. ผมขอแนะนำว่าให้อ่านคำอธิบายความหมายที่เป็นภาษาอังกฤษด้วย ถ้าแปลไม่ถูกก็ใช้ดิก อังกฤษ / ไทย Longdo ที่อยู่ที่คอลัมน์ซ้ายมือของหน้าบล็อกนี้
เชิญดูตัวอย่างภาพของวันที่ 30 ตุลาคม 2551 ศัพท์ที่ผม save ไว้

ชื่อของภาพที่เราจะตั้งตามลำดับ ตือ
house-บ้าน,
computer-คอมพิวเตอร์,
camera - กล้องถ่ายรูป,
avocado - ผลอาโวคาโด

















วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551

[854] แนะนำโรงเรียนสอนพูดภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด

สวัสดีครับ
หนึ่งในคำถามยอดฮิตติดอันดับที่ผมได้รับจากท่านผู้อ่านก็คือ ขอให้ช่วยแนะนำโรงเรียนสอนพูดภาษาอังกฤษที่ดี ๆ ให้หน่อย และคำตอบยอดฮิตของผมก็มักเป็นแบบข้างล่างนี้ ดู ๆ ไปแล้วอาจจะไม่เป็นคำตอบเอาซะเลย คือ
1. ผมไม่รู้จริง ๆ ครับว่าโรงเรียนไหนสอนดี ในความเห็นของผม โรงเรียนไหน ๆ ก็ไม่ต่างกันมากนักหรอกครับ ถ้าเราเรียนคอร์สละหลาย ๆ คน เช่น 10 – 15 คน อาจารย์ก็ไม่มีทางดูทั่วหรอกครับว่าเรามีความสามารถเพิ่มขึ้นหรือเปล่า เขาอาจจะใช้เทคนิค repeat after me พูดตามที่ฉันพูด, หรือฉันพูดประโยคเหล่านี้ให้เธอฟังแล้ว ก็ให้เธอจับคู่กัน แล้วเอาประโยคเหล่านี้ไปฝึกพูด, หรืออาจารย์อาจจะเอาเกมมาเล่นและแทรกประโยคเหล่านี้เข้าไปในเกม ฯลฯ แต่เรื่องที่ผมอยากจะบอกก็คือว่า ต่อให้ครูสอนเก่งขนาดไหนก็ตาม ถ้านักเรียนตั้งใจไม่เต็มร้อย ผล(ไม้)ที่ได้รับจากการเรียนมันก็มีรสชาติเฝื่อน ๆ แกน ๆ หรือแม้ว่าครูบางคนเก่งทำให้บรรยากาศการสอนดี สนุก แต่นักเรียนต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่า ถ้าตัดเรื่องความสนุกสนานออกไปแล้ว เราได้อะไรเพิ่มเติมขึ้นมาหรือเปล่า และจริง ๆ แล้วสิ่งที่เราได้เพิ่มเติมขึ้นมานั้น ถ้าเราตั้งใจ เราเรียนเอาเองได้หรือไม่โดยไม่ต้องเสียเวลานั่งรถไปเรียนที่โรงเรียน และไม่ต้องเสียค่าเรียน

ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ผมมิได้แอนตี้โรงเรียนสอนภาษานะครับ ผมเพียงแต่ต้องการถามคำถามพื้นฐานว่า มันคุ้มค่าหรือเปล่ากับการลงทุนเสียเงินเสียเวลาไปเรียน และถ้าได้ไปเรียนแล้ว ทำอย่างไรจึงจะทำให้เราได้รับผลมากที่สุด-เร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนเป็นกลุ่มซึ่งอาจารย์ไม่สามารถดูแลผู้เรียนทุกคนได้อย่างทั่วถึง เพราะฉะนั้น แม้จะไปเรียนกับโรงเรียน ก็ยังเป็นหน้าที่ของผู้เรียนอยู่นั่นเองที่จะดูแลตัวเองให้ได้รับผลดีที่สุดจากการเรียน อย่าไปหวังอะไรจากโรงเรียนให้มากเกินไปเลยครับ สรุปก็คือ โรงเรียนหรือครูที่สอนดีที่สุด ไม่สำคัญเท่านักเรียนที่ตั้งใจเรียนมากที่สุด และผมเชื่อว่านักเรียนที่เรียนได้ดีที่สุดคือนักเรียนที่รู้จักวิธีเรียนโดยการสอนตัวเอง ไม่ต้องพึ่งครูมากนัก

2. พอพูดถึงการฟิตภาษาอังกฤษ หลายคนก็มุ่งไปที่การพูดอย่างเดียว หรือพูดว่าจะต้องเน้นการพูด ไม่เน้นอย่างอื่น ผมขอเปรียบเทียบอย่างนี้ครับ การเรียนภาษาอังกฤษก็มีอยู่ 4 เรื่อง คือ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน เหมือนเก้าอี้ที่มี 4 ขา ค้ำยันอยู่ได้ในคนนั่งได้สมดุลย์ เราจะบอกว่าเราขอนั่งเก้าอี้เพียง 3 ขา, หรือ 2 ขา, หรือขาเดียวก็พอ มันไม่ได้หรอกครับ แต่ละขาของเก้าอี้ต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำให้เก้าอี้ตั้งอยู่ได้เมื่อมีคนนั่ง ภาษาอังกฤษก็เช่นกัน มันต้องเรียนพร้อมกันไปทั้งฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ฉะนั้น แม้เราจะฝึกพูด ก็ต้องมีการฟัง-อ่าน-เขียน ร่วมอยู่ด้วย และก็อย่ามีน้อยเกินไป โปรดระลึกว่า ถ้าทักษะในการฟัง-อ่าน-เขียนของเรามีขนาดเท่างูดิน เราจะหวังให้ทักษะการพูดของเรามีขนาดเท่ามังกร คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ

มาถึงบรรทัดนี้ผมอยากจะบอกว่า การเรียนที่โรงเรียนเป็นกลุ่ม ต้องมีปัจจัยเกื้อหนุนหลายอย่าง คือนอกจากครูจะเก่งและใส่ใจแล้ว จำนวนคนในชั้นจะต้องไม่มากเกินไป พื้นฐานของผู้เรียนจะต้องใกล้เคียงกัน ครูจะต้องสามารถปรับวิธีสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน การเรียนเป็นกลุ่มจึงยากทั้งผู้สอนและผู้เรียน แต่ถ้าเรียนเดี่ยว ๆ กับครูที่เก่ง ๆ ผลที่ได้รับคงจะดีขึ้น แต่ก็ไม่แน่อีกนั่นแหละครับ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือเรียนเดี่ยวต้องใช้เงินมาก

ผมอารัมภบทมามากพอสมควรแล้ว ก็ขอกลับมายังชื่อที่ผมตั้งไว้เป็นหัวข้อ คือ “โรงเรียนสอนพูดภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด” ท่านผู้อ่านที่คุ้นเคยกับบล็อกนี้คงจะเดาถูกว่า ผมกำลังจะแนะนำเว็บไซต์ที่ให้ท่านสามารถเข้าไปศึกษาเพื่อเพิ่มทักษะในการฟัง – พูด – อ่าน – เขียน ด้วยตนเอง อันที่จริงผมก็ได้รวบรวมเว็บไซต์เกี่ยวกับการฝึกสนทนาไว้มากพอสมควรแล้วที่ลิงค์นี้ การพูด การสนทนา การออกเสียง แต่ 2 เว็บไซต์ที่ผมจะแนะนำต่อไปนี้ผมรู้สึกว่าจะช่วยท่านที่ต้องการฝึกทักษะการพูดได้มากทีเดียว เลยขอเอามาแนะนำเป็นพิเศษ


เว็บที่ 1 คือ eslgold.com
มีส่วนของการพูดที่แบ่งออกเป็น 5 ระดับ คือ 1) Low Beginning 2) High Beginning 3)Low Intermediate 4) High Intermediate และ 5) Advanced ในแต่ละระดับจะมีสถานการณ์หนึ่ง ๆ ที่ใช้คำศัพท์ (vocabulary), วลี (phrase), และประโยค (sentence) สำหรับสถานการณ์นั้น ๆ

สิ่งที่ผมขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งก็คือ ในแต่ละหัวข้อของ 5 ระดับนี้ เมื่อคลิกเข้าไปแล้ว ท่านจะพบคำอธิบายเกี่ยวกับหลักการใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์นั้น ๆ ถ้าท่านได้อ่านคำอธิบายตรงนี้เสียก่อนก็จะมีประโยชน์มาก แต่โดยมากมักจะมีคำว่า phrase, vocabulary หรือคำอื่น ๆ ที่เป็นลิงค์ (ขีดเส้นใต้สีแดง) เมื่อคลิกที่ลิงค์นี้เข้าไป ก็มักจะพบคำว่า Click Here for Audio

เมื่อท่านพบคำว่า Click Here for Audio ท่านสามารถทำได้ 2 วิธีคือ
1. ถ้าต้องการฟังทันทีแบบ online (เน็ตต้องเร็วหน่อยจึงจะฟังไดไม่ติดขัด) ก็คลิกซ้ายที่ Click Here for Audio (หรือ Click for Audio)ได้เลย ก็จะได้ฟังเสียงซึ่งก็มี script พิมพ์อยู่ในหน้านั้นแล้ว (เครื่องผมที่ใช้อยู่ช้ามาก)
ที่ผมบอกว่าเว็บนี้ดีก็เพราะว่า เราจะได้ยินเสียงอ่าน และเขาจะหยุดเงียบเว้นระยะเพื่อให้เราฝึกอ่านตาม และเราจะฝีกฟัง – ฝึกพูดตาม กี่เที่ยวก็ได้ตามที่เราต้องการ อย่าลืมว่าท่านสามารถคลิกปุ่ม pause, forward, backward ได้ตามใจท่าน ซึ่งในแง่นี้อาจจะดีกว่าเรียนกับครูฝรั่งตัวเป็น ๆ ซะอีก เพราะเราคงขอให้เขาพูดซ้ำ หรือกลับไปกลับมาตามที่เราต้องการไม่ได้ เพราะ ‘คลิก’ ทำได้กับ ‘คอมฯ’ เท่านั้น ทำกับ ‘คน’ ไม่ได้

2. แต่ถ้าท่านต้องการ save ไฟล์ข้อความและไฟล์เสียง mp 3 เอาไว้ฟังในเวลาต่อไป ท่านก็สามารถทำได้ (ซึ่งผมอยากจะให้ทำ) โดยคลิกขวาที่ Click for Audio, คลิกซ้าย Save Target As… และหาที่ Save ไว้รวมกันในที่ใดที่หนึ่ง และก็ save หน้านี้ไว้ด้วย โดยใช้ชื่อไฟล์เดียวกันกับที่ Save ไฟล์ mp3, เมื่อคราวต่อไปเปิดศึกษาจะได้มีครบทั้งเสียงและข้อความ ได้ฝีกทั้งอ่าน – ฟัง – พูด

หรือถ้าจะฝึกเขียนด้วยก็ได้ โดย
1)ฟังเสียง
2)คลิก pause
3)พูดตาม จะพูดสัก 2 – 3 เที่ยวก็ได้เพราะเรากด pause แล้ว
4)เขียนลงสมุด
5) ทำตามข้อ 1) – 4) ไปจนครบทุกประโยค แล้วเอาที่เขียนไว้ในสมุด ไปเปรียบเทียบกับ script ที่ save ไว้ และอาจจะฝึกซ้ำอีกสักเที่ยวก็ได้ ด้วยวิธีอย่างนี้ก็จะได้ฝึกทั้งการฟัง – พูด – อ่าน – เขียน สมบูรณืแบบที่สุดเลยครับ


อนึ่ง หากท่านคลิกเข้าไปและพบคำว่า ESLgold resources หรือ Ads by Google ท่านไม่ต้องไปคลิกหัวข้อใต้ 2 ข้อความนี้นะครับ เพราะมันเป็นโฆษณาขายของ เมื่อเราไม่อยากซื้อก็ไม่ต้องไปคลิกให้เสียเวลา
คำแนะนำสำหรับเว็บที่ 1 น่าจะมีเพียงแค่นี้ เชิญท่าน

เชิญท่านคลิกเข้าไปในเว็บนี้ http://www.eslgold.com/speaking/speaking_situations.html
และศึกษาได้ตามใจชอบ ในเว็บนี้เขาอาจจะมีหัวข้อใหม่ ๆ มาเพิ่มเติมเป็นระยะ ๆ หรือท่านจะคลิกที่หัวข้อที่ผม copy มาไว้ข้างล่างนี้ก็ได้ครับ

[1] Speaking Situations - Low Beginning
Greetings (NEW!)
Introducing yourself (NEW!)
Introducing people (NEW!)
Identifying people, things (NEW!)
Classroom questions (NEW!)
Asking for information (NEW!)
Giving information (NEW!)
Simple sentences (NEW!)
Simple questions (NEW!)
Numbers and counting (NEW!)
Talking about family (NEW!)
Talking about favorite things (NEW!)
Talking about here and now (NEW!)
Describing People (NEW!)
Telling Time (NEW!)
Talking about past actions (NEW!)
Talking about the future (NEW!)
Talking about feelings/health (NEW!)
Talking about life events (NEW!)
Expressing likes and dislikes (NEW!)
Simple shopping (NEW!)
Contractions (NEW!)
Short questions and answers
Closing a conversation (NEW!)
Expressing thanks (NEW!)
Situation: At the Store
Describing a Picture (NEW!)
Talking about Occupations

[2] Speaking Situations - High Beginning
Introducing others (NEW!)
Encouraging words (NEW!)
Buying and selling
American numbers and prices
Making suggestions (NEW!)
Making plans for the weekend (NEW!)
Asking for favors (NEW!)
Asking for repetition (NEW!)
Requesting (NEW!)
Inviting (NEW!)
Offering (NEW!)
Talking about abilities (NEW!)
Expressing possibility
Talking about locations (NEW!)
Asking for directions
Giving directions
Asking about place/location
Talking about travel (NEW!)
Descriptions
Like / would like / look like / be like
Comparing things
Questions and expressions with time
Count and non-count nouns in context
Using measure words (NEW!)
Telephone talk (NEW!)
Narrating


[3] Phrases for Conversation - Low Intermediate
Conversation starters
Rejoinders
Giving opinions
Agreeing/disagreeing (NEW!)
Asking for details
Asking permission
Asking for and Giving Advice
Interrupting
Giving instructions
Simple presentations
Checking for Understanding
Conceding to Make a Point
Analyzing Problems

[4] Phrases for Conversation - High Intermediate
Supporting opinions
Exploring options
Contrasting
Classifying
Discussion techniques
Elaborating
Clarifying
Interrupting
Giving instructions
Simple presentations
Checking for Understanding
Conceding to Make a Point
Analyzing Problems

[[5] Phrases for Conversation – Advanced
Commenting
Paraphrasing


เว็บที่ 2 http://www.esl-aloud.com/
มีบทสนทนาในสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ท่านศึกษาประมาณ 40 บท และก็เช่นเดียวกันกับเว็บที่ 1 คือท่านสามารถ save ได้ทั้งไฟล์ข้อความ และเสียง mp 3 ของแต่ละตอน

วิธี save ไฟล์ mp3
1.ไปที่ http://www.esl-aloud.com/Lesson_List.html
2. คลิก Podcast หมายเลขที่ท่านต้องการ
3. เมื่อคลิกเข้าไปแล้ว ท่านจะเห็น script ของ podcast บทนี้
4. ผมอยากให้ท่านดาวน์โหลด mp 3 ของ podcast บทนี้ โดยเลื่อนลงไปที่บรรทัดสุดท้ายของหน้าที่เขียนไว้ว่า Direct download:ESL_Aloud_PodcastXX.mp3 นี่คือลิงค์ที่จะดาวน์โหลด, ให้ท่านคลิกขวาที่ลิงค์, คลิกซ้าย save Target As… และหาที่ save ในเครื่องไว้ในที่เดียวกัน

สำหรับเว็บที่ 2 นี้ท่านก็สามารถฝึกพูด (+ฟัง, อ่าน,เขียน) ได้เช่นเดียวกับเว็บที่ 1 เพียงแต่เนื้อหาอาจจะยากกว่าเว็บที่ 1 เล็กน้อย ก็ถือว่าเป็นบทเรียนที่ก้าวต่อจากเว็บที่ 1 ก็ได้ครับ

ผม copy podcast ทั้งหมด มาไว้ที่ข้างล่างนี้ ท่านเลือกคลิกได้เลยครับ
Grammar and Usage
Podcast #3 Expressing Obligation
Podcast #6 Could've Would've Should've
Podcast #10 Asking Questions
Podcast #11 Not Just a Simple Question!
Podcast #15 Lesson 1 on 2-Part Verbs
Podcast #17 Answering questions that begin with IS, AR...
Podcast #18 The -ING Verb Form Used as a Noun
Podcast #19 The many meanings of GO
Podcast #20 Reflexive Pronouns with -SELF and -SELVES
Podcast #21 Question Word Followed by TO + Verb
Podcast #22 The indefinite use of THEY
Podcast #23 SOME and ANY
Podcast #30 The verb GET
Podcast #33 Introduction to Two-Part Verbs
Podcast #34 The Verb TO FALL
Podcast #36 Two-part verbs with BREAK
Podcast #38 Two-part verbs with TAKE
Podcast #42 Two-part verbs with BRING

General Practice
Podcast #1 In the Supermarket
Podcast #2 Talking About Movies
Podcast #4 My Sad Friend
Podcast #5 Changing Jobs
Podcast #7 A Day at the Beach
Podcast #8 A Bad Trip Home
Podcast #9 Retirement
Podcast #12 Working Out at the Gym
Podcast #13 Eating in a Restaurant
Podcast #14 Movies Through the Mail
Podcast #16 Maggie the Complainer
Podcast #24 Sarah is Number One
Podcast #25 My Trip to Canada
Podcast #26 Las Vegas
Podcast #27 Job Application
Podcast #28 Borrowing Money
Podcast #29 A Bank Robbery
Podcast #31 The Rain in Los Angeles
Podcast #32 Reading
Podcast #35 Making Friends in Santa Monica
Podcast #37 Theme Parks
Podcast #39 Global Warming and Automobiles
Podcast #40 The 2008 Olympics
Podcast #41 A Family

ผมเห็นว่าทั้ง 2 เว็บนี้เป็นโรงเรียนฝึกการเรียนภาษาอังกฤษของท่านได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับเริ่มต้น

ไฟล์ mp3 ของทั้งเว็บนี้ มีขนาดโตมากหลายร้อย MB ถ้าท่านมีเพื่อนหลาย ๆ คน แบ่งกันดาวน์โหลดก็ดีครับ (ดาวน์โหลดทั้ง Text และ mp3) เมื่อได้ครบแล้วก็เอามา burn ใส่แผ่น CD แจกจ่ายกันออกไป หรือคนอื่นจะมาขอ copy ต่อเราก็จะให้เขาได้ เป็นการทำบุญไปในตัว

สรุปอีกทีก็ได้ครับ ว่าโรงเรียนสอนพูดภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดที่ผมต้องการแนะนำก็ คือ 2 เว็บนี้แหละครับ เรียนฟรี ไม่ต้องเสียเงินครับ

ถ้าต้องการทำดิกชันนารีไว้ในก็คลิกอ่านวิธีทำ ที่นี่ครับ [853] ใช้ดิกคลิก online (อังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ)

ขอให้ประสบความสำเร็จทุกท่านครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

[853] ใช้ดิกคลิก online (อังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ)

สวัสดีครับ
จะเป็นการดีไหมครับถ้าขณะที่ท่านอ่านหนังสือจากหน้าจอขณะต่อเน็ต ท่านพบศัพท์อังกฤษที่ไม่รู้ความหมายก็เพียงคลิก 2-3 ทีก็มีความหมายภาษาไทยโชว์ให้เห็นทันที, หรือพบคำภาษาไทยและอยากทราบว่าตรงกับภาษาอังกฤษคำใด ก็ทำเหมือนเดิม คือเพียงคลิก 2-3 ทีก็มีความหมายภาษาอังกฤษโชว์ให้เห็นทันที หรืออยากทราบคำแปลของศัพท์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นไทยหรืออังกฤษที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า ก็สามารถพิมพ์หาความหมายได้ทันที พูดง่าย ๆ ก็คือมีคนคอยบอกศัพท์ให้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะแปลจากอังกฤษเป็นไทย หรือไทยเป็นอังกฤษ

ผมเองชอบบริการอย่างนี้มาก และทำไว้ที่เครื่องคอมฯตัวที่ใช้งานอยู่ประจำ ถ้าท่านต้องการมีเครื่องมือแปลศัพท์อย่างนี้บ้าง

เชิญทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ครับ
1. ดาวน์โหลดโปรแกรม Google Toolbar
เป็นภาษาไทย: http://toolbar.google.com/T4/intl/th/
เป็นภาษาอังกฤษ: http://toolbar.google.com/T4/index.html
และติดตั้งให้เรียบร้อย
ท่านใดมี Google Toolbar ติดตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ต้องทำข้อ 1. นี้

2. คลิกที่ลิงค์นี้
http://www.google.com/gadgets/directory?synd=toolbar&cat=reference&q=english-thai-dictionary&hl=th&gl=

3. ที่บรรทัดแรก ท่านจะเห็นคำว่า “english-thai-dictionary” ให้ท่านคลิกที่ “เพิ่มในแถบเครื่องมือ” ต่อจากนี้จะมีข้อความปรากฏ ก็ให้ท่านคลิก เพิ่ม/Add และ ตกลง/OK

4. ท่านจะพบว่าที่แถบท้ายช่อง ของ Google ที่ Menu bar มีตัว ตัวโต ๆ ปรากฏอยู่ เป็นอันว่าการติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว


วิธีใช้งาน
1. ขณะที่อ่านข้อความขณะต่อเน็จจาก web page ถ้าต้องการทราบคำแปลของคำใด ไม่ว่าจะเป็นคำอังกฤษหือคำไทย ก็ให้ highlight คำนั้น, และคลิกขวาที่คำนั้น, เลื่อนลงมาที่บรรทัด More Search Types ท่านจะเห็นคำว่า “ ก English-thai-dictionary” ต่อท้าย
ถึงตรงนี้มีวิธีใช้ 2 วิธี
- ถ้าท่านคลิกซ้ายที่ “ ก English-thai-dictionary” ก็จะมีคำแปลปรากฏขึ้นในหน้าเดิม เมื่อดูความหมายเสร็จแล้ว เมื่อต้องการกลับไปหน้าเก่าก็คลิก Back หรือกดที่คีบอร์ด backspace
- ถ้าท่านคลิกซ้ายที่ “ ก English-thai-dictionary” พร้อมกับกดคีบอร์ด shift ความหมายของคำศัพท์ก็จะปรากฏในหน้าต่างใหม่ เมื่อดูเสร็จแล้วก็คลิก close ได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลากด Back

2. ถ้าต้องการทราบคำแปลของคำศัพท์อื่น ที่ไม่ได้อยู่ในหน้า web page ที่กำลังอ่าน ก็ให้พิมพ์คำนั้น (ไทย หรือ อังกฤษ ก็ได้) ลงไปในช่อง Search ของ Google แล้วคลิกตัว ตัวโต ๆ ก็จะได้คำแปลทันที เมื่อต้องการกลับไปหน้าเก่าก็คลิก Back หรือกดที่คีบอร์ด backspace

หมายเหตุ: ที่ลิงค์นี้ ยังมีดิกอีกหลายเล่ม ถ้าท่านชอบก็ทำในทำนองเดียวกับที่ผมชี้แจงข้างบนนั่นแหละครับ
http://www.google.com/gadgets/directory?synd=toolbar&hl=th&cat=reference

เป็นอันว่าท่านได้ดิกคลิกไว้ใช้แล้ว คราวนี้จะไม่มีปัญหาเรื่องศัพท์อีกต่อไปแล้ว จะแปลอังกฤษเป็นไทย หรือไทยเป็นอังกฤษก็ได้ทั้งนั้น

สำหรับท่านที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการใช้คอมฯ วิธีทำที่ผมแนะนำมาทั้งหมดนี้อาจจะดูยุ่งยากจนบางท่านอาจรู้สึกท้อไม่อยากทำ ผมขอร้องให้ท่านลองทำดูเถอะครับ ลองคลิกไปคลิกมาสักพักเดี๋ยวก็ทำได้เองแหละ ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ วานคนที่เก่งคอมฯ มาข่วย ให้เขาอ่านคำแนะนำที่ผมเขียนไว้ รับรองว่าเขาทำได้ง่ายมากครับ

พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

[852] เรื่องของนาย Joe Plumber

สวัสดีครับ
เมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้ว ในการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐระหว่าง นาย Barack Obama และนาย John McCain มีชื่อของชายคนอื่นปรากฏเป็นข่าว คือ นาย Joe Wurzelbacher ซึ่งตอนหลังได้รับการขนานนามว่า "Joe the plumber" หรือนายโจ ช่างประปา

สำหรับท่านที่ไม่ได้ติดตามข่าวนี้ ขอเชิญ

อ่านข่าว จากสำนักข่าวไทย คลิก

หรือชมวีดิโอจากสำนักข่าวไทย คลิก

หรือ ดาวน์โหลดวีดิโอข่าว จาก CNN คลิก

หรือ อ่านข่าว BBC คลิก

หรือ อ่านข่าว CNN คลิก

เรื่องของเรื่องที่ผมต้องการเอาเรื่องของ "Joe the plumber" มาพูดในวันนี้ก็คือ ชื่อของแกอ่านว่าอย่างไรกันแน่ “โจ เดอะ พลัมเบอร์” หรือ “โจ เดอะ พลัมเมอร์”

ผมลองไปที่ google.com และพิมพ์คำว่า “โจ เดอะ พลัมเบอร์” ลงไป ปรากฏว่า มีถึง 339 หน้าที่มีชื่อนี้ คลิก

ครั้นพิมพ์คำว่า “โจ เดอะ พลัมเมอร์” ลงไป ปรากฏว่า มีเพียง 180 หน้าที่มีชื่อนี้ คลิก

คำถามก็คือ คำว่า Plumber มันออกเสียงยังไงกันแน่ ผมก็เลยไปหาเว็บดิกชันนารีที่ออกเสียงได้มาออกเสียงให้ดู ขอให้ท่านผู้อ่าน พิมพ์คำว่า plumber ลงไปในช่องข้างล่างนี้ พิมพ์เสร็จแล้วคลิกที่ไอคอนรูปลำโพงเพื่อฟังเสียง





แล้วท่านก็จะเห็นได้ว่า จำนวนหน้าเว็บที่เป็นภาษาไทยที่สะกดเสียงอ่านของคำว่า plumber ได้ถูกต้องมีเพียง 180 หน้า แต่หน้าเว็บที่ออกเสียงผิดมีถึง 339 หน้า (ข้อมูลขณะที่ผมเขียนนี้คือวันที่ 27 ตุลาคม 2551เวลาบ่าย)

ถ้าจะให้ผมเดาว่าทำไมจึงออกเสียงผิดกันเยอะ ก็เดาได้ง่าย ๆ ว่า เพราะคำว่า plumber มีตัว b ก็ต้องอกเสียงตัว b ด้วย เป็น เบอร์

แต่เรื่องของเรื่องก็คือว่า ตัวอักษรของคำในภาษาอังกฤษมีอยู่ถึง 10 ตัวทีเดียว ทีเขียนแต่ไม่ออกเสียง (Written, but not spoken)คือตัว t, b, p, l, k, w, c, s, h, และ i
คลิกอ่านตัวอย่างที่ลิงค์นี้
http://www.ef-lynx.de/ab-eng/pronunciation.doc

ฉะนั้นคำว่า bomber, plumber, climber จึงออกเสียงว่า บอมเมอร์, พลัมเมอร์, และ ไคลเมอร์ , จำ ๆ เป็นข้อสังเกตไว้ ไว้ก็ดีครับ

ศึกษาเพิ่มเติม
[402] คำภาษาอังกฤษที่มักอ่านผิด

ขอแถมหนังสือดี 1 เล่มให้ดาวน์โหลดครับ “Commonly Pronounced Words”

และเว็บดีอีก 1 เว็บ http://www.teachingenglish.org.uk/

พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

[851] ดาวน์โหลด mp3 นิทาน + script หลายสิบเรื่อง

สวัสดีครับ
ท่านผู้อ่านเคยอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้ท่านรู้สึกอย่างนี้ไหมครับ ในกลุ่มที่นั่งคุยกันอยู่นั้นซึ่งมีเพื่อนของท่านบางคนอยู่ในนั้นด้วย เขาพูดภาษาอังกฤษกันได้ทุกคนยกเว้นท่าน และเมื่อมีการเปิดวีดิโอดูภาพยนต์ พอถึงตอนใดตอนหนึ่งเขาก็หัวเราะวีดิโอที่ชม แต่ท่านฟังไม่รู้เรื่องก็เลยไม่รู้สึกขำด้วย ไอ้ครั้นจะแกล้งหัวเราะตามเขาเพื่อไว้เชิงว่าเราก็พอฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่องนะ มันก็เหมือนเป็นการโกหกก็ไม่อยากทำเพราะอายตัวเอง แต่การนั่งร่วมตลอดเวลา และไม่มีความรู้และความรู้สึกร่วมกับคนที่เขารู้และรู้สึกกับภาษาอังกฤษที่เขากำลังพูดคุยหรือชมอยู่ ก็รู้สึกอายคนอื่น

หลังจากสถานการณ์ที่อาจจะทั้งอายตัวเองและอายคนอื่นเช่นนั้น ท่านมีทางเลือกให้เดินอยู่ 2 ทาง คือ ทางที่หนึ่ง ไม่ยุ่งกับภาษาอังกฤษอีกเลยถ้าไม่จำเป็น ในชีวิตนี้ขอไปเอาดีทางอื่นดีกว่า หรือทางที่สอง พยายามฝึกฝนตัวเองไปเรื่อย ๆ ทีละน้อย(หรือทีละมาก ๆ ก็ได้) เพื่อให้ตัวเองสามารถฟังและพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนเขา ทางที่สองนี้ต้องอาศัยความรักที่จะเรียน เวลา และความอดทนที่ไม่ปล่อยใจเป็นทุกข์ขณะที่เรียนแล้วยังไม่ได้ผลทันใจ หรือพูดสั้น ๆ ว่า “ใจเย็น” ซึ่งแปลว่า “ไม่ใจร้อน – ไม่ร้อนใจ - เมื่อยังไม่ได้ดังใจ” ท่านจะเลือกเดินทางไหนครับ?

ที่ผมเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ก็เพราะผมเคยฟังไม่รู้เรื่องและพูดไม่ได้มาก่อน และทุกวันนี้ก็ใช่ว่าจะฟังรู้ทุกเรื่องที่อยากรู้ หรือพูดได้ทุกเรื่องที่อยากพูด มันก็ฟังและพูดได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ก็ฝึกอย่างใจเย็นไปเรื่อย ๆ มันก็ต้องฟังได้ - พูดได้มากขึ้นเองแหละครับ

ผมอยากจะเปรียบเทียบเหมือนกับการเดินขึ้นภูกระดึง พวกที่เคยขึ้นไปแล้วเขาก็คุยกันอย่างสนุกสนาน เช่น ทางเดินขึ้นมันเหนื่อยและโหดยังไง แต่พอขึ้นถึงยอดภูแล้วได้ไปเดินชมพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก หน้าผา ป่าสน น้ำตก ป่าปิด มันงดงามและน่าสนุกน่าตื่นเต้นยังไง เขาคุยกันได้สนุกเพราะเขาเคยขึ้นไป เราไม่เคยขึ้นก็คุยกับเขาไม่ได้

แต่ถ้าท่านเป็นนักสู้ท่านต้องถามตัวเองว่า ทางเดินขึ้นเขาก็ตั้งอยู่ตรงนั้น ขา 2 ข้างของเราก็อยู่ตรงนี้ พวกเขากับเราไม่ต่างกันเลย ต่างก็มีขา 2 ข้างเหมือนกันและมีทางเดินเส้นเดียวกันให้เดิน เราจะเดินไหมล่ะ?

ท่านผู้อ่านครับ พอคุยถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านเดาได้ไหมครับว่า ประสบการณ์ที่ผมได้รับและรู้สึกจากสิ่งที่ท่านผู้อ่านเขียนมาถึงผมในช่วงที่ทำบล็อกมา 2 ปีนี้ เกี่ยวกับเรื่องที่ยากที่สุดในการเรียนภาษาอังกฤษคืออะไร? ผมเคยคิดว่า เนื่องจากการเรียนกับเว็บทางอินเตอร์เน็ตนี้เป็นการเรียนด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าพื้นฐานไม่แน่นพอ การเรียนด้วยตัวเองคงเป็นเรื่องยาก แต่ความจริงที่ผมสรุปได้ก็คือ เรื่องพื้นฐานไม่แน่นไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด แต่จริง ๆ แล้วในการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองของคนส่วนใหญ่ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ (1) ขาดกำลังใจ และ (2) ใจร้อนเกินไป เมื่อเรียนแล้วไม่ได้ผลไว ๆ ใจเลยร้อน เมื่อไม่มีความสุขกับการเรียนก็เลยเลิกเรียน เหมือนเดินขึ้นภูกระดึงไปได้แค่ชั่วโมงเดียวมันก็ยังไม่ถึงยอดดอยซะที เพราะฉะนั้น แม้ขาจะยังมีแรงแต่ใจหมดแรงซะแล้ว ก็เลยไม่เดินต่อไปข้างหน้าแต่หันหลังเดินกลับตีนดอย และไม่คิดจะกลับมาเดินขึ้นภูกระดึงอีกเลย

ท่านผู้อ่านครับ เว็บและเนื้อหาต่าง ๆ ที่มีในบล็อกนี้เปรียบเหมือนทางเดินขึ้นภูรอให้ท่านมาเดิน ในการศึกษาภาษาอังกฤษ ถ้าท่านขาดกำลังใจ ขาดคนให้กำลังใจ ไม่มีกลุ่มเพื่อนคอยให้กำลังใจ ท่านจะต้องเป็นกำลังใจให้ตัวเองโดยไม่ต้องรอกำลังใจจากผู้อื่น และโปรดทราบเถอะครับว่า ผมอยู่ตรงนี้และขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านก้าวเดินไปตามเส้นทางที่ท่านมุ่งหวัง และท่านก็ไม่ต้องใจร้อนหรอกครับ เส้นทางมีอยู่แล้วท่านเพียงเดินไปเรื่อย ๆ เท่านั้นแหละครับรับรองว่าถึงยอดดอยแน่ๆ การปล่อยใจให้ร้อนไม่ช่วยให้เราเดินเร็วขึ้นเลย แต่กลับเป็นการเดินที่เหมือนสะพายเป้แห่งความทุกข์ไว้ข้างหลังทำให้การเดินหนักและเหนื่อยมากขึ้นโดยไม่จำเป็น ทำให้ท่านไม่มีแก่ใจที่จะชมสองข้างทางเดินขึ้นดอยซึ่งมีนกและไม้ให้ท่านชมตลอดทาง การเรียนภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกันครับ เรียนไปเรื่อย ๆ – ใจไม่ร้อน และก็ชมนกชมไม้ตลอดเส้นทางของการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องรอให้ถึงที่หมายจึงค่อยมีความสุข อย่าทำอย่างนั้นเลยครับ ผมเหนื่อยแทน

และวันนี้ผมมีเว็บนิทานมาให้ท่านเรียนเล่น ๆ ผมขอสรุปอีกครั้งว่าการเรียนภาษาอังกฤษจากนิทานมีประโยชน์และได้ผลดียังไง แม้ท่านจะเป็นผู้ใหญ่และพ้นวัยฟังนิทานแล้วก็ตาม
1. เนื่องจากนิทานเป็นเรื่องง่าย ๆ ใช้ศัพท์ง่าย ๆ ประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ เราจึงรู้เรื่องได้ไม่ยากนัก และเราก็สามารถจำศัพท์ใหม่ได้ทีละคำ แต่ถ้าไปอ่านข่าวหรือบทความที่ยากเกินไป อาจจะมีศัพท์ใหม่โผล่หน้ามาให้เราเห็นมากกว่า 10 คำในเวลาไม่ถึง 5 นาทีที่อ่าน อย่างนี้อาจจะมากเกินไปจนทำให้อ่านไม่รู้เรื่อง หรือถ้าจะบังคับตัวเองให้อ่านรู้เรื่องให้ได้ ถ้าไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อบเบา สมองอาจจะล้าเร็วเกินไป ซึ่งไม่ใช่ของดีเลยครับ
2. เมื่อรู้เนื้อเรื่องแล้ว สมองก็จะมีแรงเหลือที่จะสังเกตและจดจำลักษณะการเล่าเรื่องการพูดคุยจากนิทาน และเมื่อถึงเวลาที่ท่านจะเล่าเรื่องและพูดคุยท่านก็จะสามารถดึง database จากสมองออกมาใช้ในการพูดได้ ท่านผู้อ่านลองนึกดูซีครับ ในชีวิตของคนเราก็พูดอยู่ 2 แบบเท่านั้นแหละครับ คือ (1) เล่าเรื่อง คือพูดยาว ๆ เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง และ (2) พูดคุย คือพูดสั้น ๆ โต้ตอบไปมากับคนอื่น การอ่านบทความหรือข่าวภาษาอังกฤษจะช่วยเรามากในการเล่าเรื่อง แต่บทความและข่าวไม่มีบทพูดคุยให้เราศึกษาหรือลอกเลียนแบบการพูดคุย แต่สิ่งนี้นิยายหรือนิทานมีให้เราครับ การอ่านหรือฟังนิทาน จึงได้ศึกษาครบทั้งการเล่าเรื่องและพูดคุย

ตอนนี้นึกออกแค่ 2 ข้อ แต่จริง ๆ แล้วปรโยชน์ของการอ่านและฟังนิทานมีมากกว่า 10 ข้อแน่ ๆ ครับ

เว็บที่ผมจะแนะนำวันนี้ มีนิทานของฝรั่งที่ง่าย ๆ และสนุกเป็นไฟล์ mp 3 ให้ท่านฟัง และมี script ให้ท่านอ่านหลายเรื่องทีเดียว ที่เว็บนี้ครับ http://storynory.com/

ท่านไปที่ลิงค์ข้างล่างนี้ ก็จะพบนิทานให้ท่านเลือกคลิกได้ง่าย ๆ
Junior
Educational
Original Stories
Fairytales
Classic Authors

เมื่อท่านคลิกเข้าไปในนิทานเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว ท่านจะพบ
1. ชื่อเรื่อง
2. ลิงค์ซึ่งมีคำว่า Download…. ถ้าท่านต้องการไฟล์ mp3 เพื่อเก็บไว้ฟังในครั้งต่อไปโดยไม่ต้องต่อเน็ต ให้ท่านคลิกขวาที่คำว่า Download, คลิกซ้าย Save Target As… , เลือกที่ Save และคลิก Save
3. ผมขอแนะให้ท่านดาวน์โหลดหน้านั้นไว้ด้วย เพราะมันเป็น script ของนิทานเรื่องนี้
4. ในบรรทัดถัดลงมาซึ่งมีไอคอนรูปลำโพง ให้ท่านคลิกที่รูปสามเหลี่ยม ท่านจะได้ฟังเสียงอ่านนิทาน online คนอ่านชื่อ Natasha ผมเคยฟังเปรียบเทียบกับคนอ่านนิทานที่เว็บอื่น และรู้สึกว่า Natasha อ่านได้สนุกสนาน เร้าใจ มีชีวิตชีวามากกว่า และก็ฟังง่ายด้วย
5. เรื่องอ่านและฟังนี่นะครับ ท่านเลือกฝึกได้ตามสะดวกเลยครับ อาจจะฟังไปพร้อมกับอ่านตาม, อ่านให้รู้เรื่องก่อนแล้วจึงฟัง, หรือฟังก่อนแล้วจึงมาอ่าน หรือใช้หลายวิธีปนกันก็ได้ อย่าลืมว่าท่านสามารถคลิกเพื่อให้ Natasha หยุดอ่านชั่วคราวก็ได้ หรือจะฟังซักที่เที่ยวก็ได้
6. ถ้าต้องการดิก ก็ใช้ดิกที่คอลัมน์ซ้ายมือของบล็อกนี้
7. ผมขอแนะนำให้ท่านที่มี ipod หรือเครื่องเล่น mp3 ดาวน์โหลดไฟล์ไปฟัง ถ้าเป็นไปได้ก็ print script ไปดูด้วยก็ได้ หรือจะ burn ใส่แผ่น CD ไปฟังขณะขับรถก็ได้ครับ

ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ

ศึกษาเพิ่มเติม:
ท่านสามารถดาวน์โหลดไฟล์ mp3 และไฟล์ pdf script ของเนื้อเรื่องที่ฟังได้อีกเป็นสิบ ๆ เรื่องได้ที่เว็บนี้ครับ
http://www.xsir.net/dil-okulu/45009-part-you-will-find-audio-books.html

ถ้าลิงค์ข้างบนตาย ก็ไปที่ลิงค์นี้ครับ
http://72.14.235.132/search?q=cache:http://www.xsir.net/dil-okulu/45009-part-you-will-find-audio-books.html

พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2551

[850]ศึกษาคำแปลแถลงการณ์ของ 'ทักษิณ' ต่อสื่อ ตปท.

สวัสดีครับ
หนังสือพิมพ์มติชนได้นำแถลงการณ์ของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีให้แก่สื่อมวลชนนานาชาติลงตีพิมพ์ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย (คลิกที่ลิงค์นี้ หรือลิงค์นี้ )

เพื่อประโยชน์ต่อการศึกษาภาษาอังกฤษ ผมได้นำต้นฉบับภาษาอังกฤษมาเทียบคำแปลภาษาไทย วรรคต่อวรรค ประโยคต่อประโยค ที่ข้างล่างนี้

ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยมีอยู่ 2 – 3 แห่งที่พิมพ์ผิด หรือแปลเพี้ยนไปบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ แต่มิใช่สาระสำคัญ และผมก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะไปแก้ไข ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาด้วยตัวเอง

ในความเห็นของผม การแปลภาษาเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ คือเราต้องแปลให้ใจความและรสของฉบับแปลตรงกับต้นฉบับ ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ใช่ของง่ายนัก และยังมีปัญหาเรื่องการ “ตีความ” ในกรณีที่ต้นฉบับสามารถแปลได้หลายนัย

ขอย้ำอีก 1 ครั้งว่า ผมเอาแถลงการณ์นี้มาลงใน blog นี้เพื่อประโยชน์ในการศึกษาภาษาอังกฤษเท่านั้น
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
* * * * *


Woodsome ManorSurrey, England
22 of October, 2008
วูดซัม แมเนอร์เซอร์เรย์, อังกฤษ
22 ต.ค. 51

Dear My Friends in International Media,
เรียน เพื่อนสื่อมวลชนต่างประเทศ

I am writing to you today to clarify few facts,
สิ่งที่ผมกำลังเขียนถึงพวกคุณในวันนี้เพื่อให้ความกระจ่างในข้อเท็จจริงบางอย่าง

The news headlines have reported that
ข่าวพาดหัวที่มีการรายงานว่า

I have been convicted of corruption for two years
ผมถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการทุจริตต้องโทษจำคุก 2 ปี

stemming from the purchase of land by my wife,
จากการซื้อที่ดินของภรรยาผม,

Khunying Potjaman Shinawatra.
คุณหญิงพจมาน ชินวัตร

What you have read is true,
สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้คือความจริง

I was convicted for two years,
ผมถูกตัดสินโทษจำคุก 2 ปี

but not because of corruption charge.
ไม่ใช่เพราะข้อหาทุจริต

The only reason I was sentenced to Jail is because
เหตุผลเดียวที่ผมถูกสั่งจำคุก เพราะ

at the time my wife bought the land through the open bid,
ในช่วงเวลาที่ภรรยาของผมซื้อที่ดินโดยการเปิดประมูลนั้น

I was the Prime Minister.
ผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

I listened to the judgment yesterday and even now
ผมได้ฟังคำตัดสินเมื่อวันก่อนและจนถึงตอนนี้

I am still confused ;
ผมยังคงสับสน

there is no evidence of fraud,
เพราะไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการฉ้อฉล

corruption nor abuse of power
คอร์รัปชั่น หรือกระทั่งการใช้อำนาจในทางมิชอบ

in relation to the bid in question;
ที่เกี่ยวเนื่องกับประมูล

my wife was the one who involved
คำถามคือ ภรรยาของผมเป็นผู้ที่เกี่ยวข้อง

and made decision to bid for the land,
และตัดสินใจยื่นประมูลที่ดินดังกล่าว

offered a lot more seller,
เป็นผู้ยื่นเสนอราคาจำนวนมากแก่ผู้ขาย

Financial Institution Development Fund (FIDF),
ซึ่งคือ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน

than other bidders,
มากกว่าผู้ยื่นประมูลรายอื่นๆ

signed the contract with the seller,
เป็นผู้เซ็นสัญญาซื้อขายกับผู้ขาย

paid for the land
จ่ายเงินค่าที่ดิน

with no involvement from her husband
โดยที่สามีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆเลย

except when he was required to sign a spousal consent form,
ยกเว้นเมื่อต้องเซ็นชื่อยินยอมในเอกสาร

In terms of any alleged influence
ในแง่ของข้อกล่าวหาเรื่องอิทธิพลอำนาจ

I may have had no direct supervisory power over the FIDF.
ที่ผมอาจมีเหนือกองทุนฟื้นฟูฯ

มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องชี้ให้เห็นว่าคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีไม่ได้มีอำนาจควบคุมโดยตรงเหนือกองทุนฟื้นฟูฯ [ข้อความภาษาไทยท่อนนี้ ไม่มีต้นฉบับภาษาอังกฤษให้ดู]

Interestingly,
เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

the Court did not find the sale transaction of my wife unlawful
ที่ศาลไม่ได้พบว่าการซื้อขายที่ดินของภรรยาผมมีอะไรที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

or illegal,
หรือเป็นการกระทำนอกกฎหมาย

they did not convict her
เขาไม่ได้ตัดสินว่าเธอมีความผิด

because she is not a politician;
เพราะเธอไม่ใช่นักการเมือง

nevertheless, I was .
แต่ผมเป็น


I trust that you will independently verify the above facts
ผมเชื่อว่าพวกคุณจะตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เหลือ

as professional journalists often do.
อย่างอิสระเยี่ยงผู้สื่อข่าวมืออาชีพปฏิบัติกัน

Unfortunately,
แต่น่าเสียดาย

most of you professional colleagues in Thailand
ที่เพื่อนร่วมอาชีพของคุณส่วนใหญ่ในประเทศไทย

refuse to do so.
ปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น


The best. I can comprehend is that
สิ่งที่ผมจะสามารถทำความเข้าใจได้ดีที่สุดก็คือ

I was convicted simply because
ผมถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงอย่างง่ายๆ เพียงเพราะ

I was a politician .
ผมเป็นนักการเมืองคนหนึ่งเท่านั้นเอง

In that case I was quite guite guilty cause
ผมผิดเพราะ

I was quite a successful politician,
ผมเป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จ

I got elected twice by the majority of thai people as Prime Minister.
ผมได้รับเลือกตั้งขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีถึงสองสมัยเพราะเสียงส่วนใหญ่จากประชาชน

If I were to be guilty of anything,
ถ้าหากผมจะมีความผิดอะไรสักอย่าง

that would be what I have shown to the Thai people,
นั่นก็คงเป็นสิ่งที่ผมได้แสดงออกมาให้ประชาชนชาวไทย

especially those underprivileged rural thais that
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยกลุ่มที่อยู่ในชนบทและไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ ได้เห็นว่า

they can, and have the right to, demand their government
พวกเขาสามารถเรียกร้องและมีสิทธิเรียกร้องให้รัฐบาลของพวกเขา

to provide effective policy
จัดทำนโยบายที่มีประสิทธิภาพ

and programs
และทำโครงการต่างๆ

to improve their lives.
ที่จะยังผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น

I received this judgment with mixed feeling;
ผมยอมรับคำตัดสินนี้ด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกัน

relief for my wife as I pulled her into enough troubles
รู้สึกโล่งใจสำหรับภรรยาที่ผมดึงเธอเข้าไปสู่ความยากลำบากมากทีเดียว

because of my political ambition
เพราะความทะเยอทะยานทางการเมืองของผม

to bring greatness and well-being to my country and my people,
ในการที่จะนำความยิ่งใหญ่และความเป็นอยู่ที่ดีมาสู่ประเทศและประชาชนของผม

amused and bitter
ทั้งรู้สึกนึกขัน ปนขมขื่น

with the illogical of the judgment,
กับคำตัดสินที่ไร้เหตุผล

and worry for those politicians in Thailand that
และรู้สึกกังวลแทนนักการเมืองในประเทศไทยว่า

they could go to jail
พวกเขาสามารถเดินเข้าคุก

simply because their unhappy spouses may sought to manipulate the law.
ไปได้ง่ายๆเพียงเพราะภรรยาที่โชคร้ายของพวกเขาพยายามทำตามกฎหมาย

For those of you who may not be too familiar with Thailand,
สำหรับพวกคุณที่อาจไม่คุ้นเคยกับประเทศไทย

state offices and enterprises in Thailand are doing so many businesses
ภาครัฐและภาคเอกชนในไทยที่กำลังดำเนินธุรกิจหลายๆ ด้าน

from telecommunication, banking, power generator
ตั้งแต่ สื่อสารโทรคมนาคม ธนาคาร ไฟฟ้า

or even owning gas stations.
หรือแม้กระทั่งปั๊มน้ำมัน

I do not know should I laugh or cry to see the direction Thailand is moving forward:
ผมไม่ทราบว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับทิศทางที่ประเทศไทยกำลังมุ่งไป

a democratically elected leader was put out of job
ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยถูกขับพ้นจากตำแหน่ง

because he cooked on a TV show
เพียงเพราะว่าเขาทำรายการโทรทัศน์

but those who unlawfully trespassed and occupying the government house
แต่กลุ่มคนที่ล่วงละเมิดผิดกฎหมายและยึดครองทำเนียบรัฐบาล

got protection from the Court.
กลับได้รับความคุ้มครองจากศาล

Whatever happen to me
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผม

is a political driven actions
ล้วนแต่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงขับเคลื่อนทางการเมือง

collaborated by various group of privileged elites
ซึ่งเป็นการสมคบกันของ บรรดาชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย

who believe in anything but democracy.
ผู้เชื่อในทุกสิ่งอย่าง ยกเว้นประชาธิปไตย

I am a threat to them
ผมเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา

because I represent the principle of liberal democracy
เพียงเพราะผมเป็นตัวแทนของหลักการแห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย

which promote hope and pride
ซึ่งส่งเสริมความหวังและความภาคภูมิใจ

of the poor of my country.
ของคนยากคนจนในประเทศของผม

Thailand is and will remain a great and beautiful country.
ประเทศไทยเป็นและจะยังคงเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม

Few people cannot face the face,
คนจำนวนไม่มากที่ไม่สามารถเผชิญกับความจริงได้

obstructing the will of majority of the people.
กำลังขัดขวางเจตจำนงของคนส่วนใหญ่

I believe that at the end
ผมเชื่อว่าในท้ายที่สุด

Thai people will win over this struggle.
พี่น้องชาวไทยจะเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้

And the end of their nightmare is not far.
และการสิ้นสุดของฝันร้ายอยู่ไม่ไกล

I thank you for the opportunity
ผมขอขอบคุณที่ให้โอกาสผม

to share the facts with you.
ได้ร่วมแบ่งปันข้อเท็จจริงกับคุณ

Truly Yours,
ด้วยความนับถือ

Dr. Thaksin Shinawatra
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

.......................................

[849] ESL ย่อมาจากอะไร?

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน
ผมทำบล็อกต่อด้วยเว็บ e4thai.com นี้มาได้เกือบ 7 ปีกว่าแล้ว ในช่วง 7 ปีนี้บางครั้งผมถูกถามว่า ทำอย่างไรผมจึงไปซอกแซกหาเว็บนั้นเว็บนี้แปลก ๆ มาได้? ผมจะตอบคำถามนี้ยังไงดีนะ เพราะผมไม่เคยถามตัวเองจริง ๆ จัง ๆ สักทีว่ามีเคล็ดลับอะไรหรือเปล่าในการหาให้พบ หรือ Search เว็บที่ต้องการ

ผมใช้คำว่า search นี่น่าจะถูกต้องนะครับ เหมือนตำรวจคนหนึ่งที่รู้แน่ ๆ ว่าผู้ร้ายคนนี้ซุกซ่อนยาเสพติดไว้ที่เสื้อผ้าหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ก็พยายามค้นตัวคนร้ายจนทั่วด้วยความพิถีพิถันระมัดระวัง และในที่สุดก็ค้นจนพบยาเสพติดที่ซุกซ่อนอยู่ นี่คือการ search

ผม search เน็ตก็ด้วยวิธีและความรู้สึกเดียวกัน คือแทบทุกครั้งผมจะตั้งเป้าไว้ในใจก่อนเลยว่า ผมต้องการเอาเว็บหรือเนื้อหาอะไรมาเป็นบรรณาการแด่ท่านผู้อ่าน ที่ผมใช้คำว่า “บรรณาการ” นี่ก็น่าจะถูกต้องอีกเช่นกันนะครับ เพราะบรรณาการแปลว่า “สิ่งที่ส่งไปให้ด้วยความเคารพนับถือหรือด้วยไมตรี” ผมเคารพนับถือท่านผู้อ่านเพราะผมเห็นว่า การมาศึกษาภาษาอังกฤษเป็นการใช้เวลาที่เป็นประโยชน์ ถ้าผู้อ่านเป็นน้อง ๆ ที่อายุยังน้อยและพยายามสอบภาษาอังกฤษผ่านให้ได้เพื่อน้องจะได้เรียนจบและมีงานทำ ผมก็เคารพที่น้องพยายามทำความดีเพื่อช่วยเหลือตัวเอง-ทำให้ตัวเองพึ่งตัวเองได้ แต่ถ้าท่านผู้อ่านเริ่มมีอายุและการพยายามหาความรู้ด้านภาษาอังกฤษจาก blog นี้มีส่วนช่วยให้ท่านมีงานทำพึ่งตัวเองได้ หรือสามารถเอาความรู้ไปเผื่อแผ่ให้แก่คนอื่นอีกต่อหนึ่ง ผมก็เคารพท่านในลักษณะเดียวกัน ผมคิดว่าด้วยเหตุผลเช่นนี้ที่ทำให้ผมเคารพท่านผู้อ่าน และพยายามหาสิ่งที่มีประโยชน์มาเป็นบรรณาการ น่าจะเป็นเหตุผลที่พอฟังขึ้น

เมื่อผมตั้งเนื้อหาที่พิจารณาแล้วว่า มันน่าจะมีคนจัดทำขึ้นไว้แล้วในโลกนี้ และผมจะต้อง Search ให้ได้ ผมก็ตั้งความเชื่อไว้เลยว่า เว็บหรือเนื้อหาที่ผมอยากได้นี้ ในโลกอันกว้างใหญ่และในเน็ตอันไพศาลนี้ ผมคงไม่ใช่คน ๆ เดียวที่อยากได้ของสิ่งนี้ และเมื่อมี demand ก็ต้องมี supply มันต้องมีอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งหรือหลายแห่งใน world of webs ที่สุดแสนจะ wide แห่งนี้ และผมก็ตั้งต้นค้นหา โดยมีเงื่อนไขว่าจะถือว่าหาจนพบก็ต่อเมื่อสิ่งที่พบจะต้องดีมีคุณภาพและฟรีไม่ต้องจ่ายตังค์ และผมก็ค่อย ๆ พบทีละเว็บ ๆ เมื่อผ่านไปหลายวัน หลายสัปดาห์ หลายเดือน เว็บฟรีและดีตามเกณฑ์ที่ผมตั้งไว้มันก็ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนประจำ blog นี้คงจะผ่านตามาบ้างที่ผมเล่าว่า ผมหาเว็บแบบนี้ ๆ มาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะพบวันนี้เอง พูดอีกอย่างก็คือ เว็บบางอย่างก็หาง่าย บางอย่างก็หายาก แต่เมื่อ start ด้วยความเชื่อว่ามันต้องมี ผมก็อยากจะเชื่ออย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้าเว็บเช่นนี้มีอยู่จริงใน world wide web มันจะหนีพ้นมือผมไปได้ก็ให้มันรู้ไป ดูไปก็บ้า ๆ อยู่เหมือนกันนะครับ

ผมไม่ได้มีเคล็ดลับพิเศษอะไรในการหา ก็เพียงแต่ศึกษาหลักเบื้องต้นในการใช้ Search Engine ของ Google แล้วก็หาไปตามหลักนั้น และคำค้น หรือ search terms ที่ผมใช้บ่อย ๆ ก็คือ “ESL” หลายท่านคงทราบแล้วว่า ESL ย่อมาจาก English as a Second Language ซึ่งตาม Cambridge Dictionary อธิบายว่าเป็น the teaching of English to speakers of other languages who live in a country where English is an official or important language หรือ “การสอนภาษาอังกฤษให้แก่ผู้ที่พูดภาษาอื่นซึ่งอยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการหรือภาษาสำคัญ” สำหรับประเทศไทย แม้ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาทางการ แต่ก็ต้องถือว่าเป็นภาษาที่มีความสำคัญมากขึ้น ๆ ทุกวัน

ใน search engine ของ Yahoo และ DMOZ ได้รวบรวมเว็บที่เกี่ยวกับ ESL ไว้อย่างเป็นระบบและมีมากทั้งปริมาณและคุณภาพ ท่านคลิกดูก็ได้ครับ ที่นี่  English as a Second Language และที่นี่ English: English as a Second Language

ด้วยเหตุที่ผมพยายามหาอยู่บ่อย ๆมาอย่างต่อเนื่อง ในระยะหลัง ๆ ก็ชักจะหาได้เร็วขึ้น ตรงกับสิ่งที่ต้องการมากขึ้น หรือบางครั้งถึงขั้นได้ดีกว่าสิ่งที่ใจหวังไว้ซะอีก เข้าทำนองลงไปคลุกขุดดินหวังจะได้พลอยสักเม็ดแต่กลับได้เพชรมาโดยไม่คาดฝัน คำเปรียบเทียบเช่นนี้อาจจะดูเว่อไปสักนิด แต่ผมรู้สึกอย่างนี้จริง ๆเมื่อเจอเว็บที่มีคุณภาพดีกว่าที่มุ่งไว้หลายเท่า ท่านผู้อ่านจะไม่ให้ผมดีใจได้ยังไงล่ะครับ ท่านลองคำนวณง่าย ๆ อย่างนี้ก็ได้ครับ ในวันหนึ่ง ๆ มีคนเข้ามาใช้เว็บนี้ประมาณ 7,000 – 9,000 คน โดยเป็นคนที่ log-in จากในประเทศไทยประมาณ 92 % อีก 8 % เป็นคนไทยที่ log-in จากต่างประเทศ ถ้าเนื้อหาที่ผมนำมาเสนอนี้ ช่วยผู้อ่านเพียงสัก 100 คนให้ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อหนังสือ หรือ CD หรือจ้างฝรั่งมาสอนภาษาอังกฤษ เพียงแค่คนละ 10 บาท ก็เท่ากับช่วยประหยัดเงินให้กับท่านผู้อ่าน 1,000 บาทต่อวัน การได้มีโอกาสช่วยเหลือคนไทยด้วยกันเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ ก็ถือว่าผมโชคดีมากพอสมควรแล้วล่ะครับ แล้วจะไม่ให้ดีใจได้ยังไง

มาคิดดูอีกแง่หนึ่ง การที่ทักษะภาษาอังกฤษของผมอยู่แค่ระดับปานกลางไม่ได้ดีเลิศประเสริฐศรีอะไรนัก นี่ก็มีข้อดีอยู่นะครับ ผมว่าอย่างน้อยมันทำให้ผมรู้ใจคนที่ไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษ ถ้าผมเก่งเอามาก ๆ ผมอาจจะไม่ค่อยเข้าใจว่าคนไม่เก่งเขารู้สึกยังไง พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า การมีพรสวรรค์ด้านภาษาเป็นเรื่องไม่ดี ไม่ได้หมายความเช่นนี้เลยครับ ผมเพียงแต่อยากจะบอกว่า การไม่เก่งก็ทำให้ไม่เหงา ทำให้รู้ใจคนอื่น และมีอะไรให้ทดสอบตัวเอง เป็นการออกกำลังใจไปในตัว

ย้อนกลับมาพูดถึงคำค้น คือ ESL ถ้าจะพูดให้ง่ายเข้าก็คือ ESL เป็นประตูบานใหญ่ให้ผมเดินเข้าไปค้นหาเว็บภาษาอังกฤษมาลงแนะนำในเว็บนี้

จากงานอดิเรกที่เป็น labour of love นี้ ช่วยให้ผมสรุปบทเรียนที่สำคัญของชีวิตได้ 1 บท คือ ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมานี้ ผมได้ใช้ความพยายาม (Effort)หาเว็บนั้นเว็บนี้มาลงแนะนำในเว็บนี้ และก็อย่างที่เรียนให้ท่านทราบแล้ว พอพยายามบ่อย ๆ เข้าผมก็เริ่มมีความชำนาญ (Skill) สามารถหาจนพบเว็บที่ผมตั้งใจจะหา และนี่ก็คือโชค (Luck) ที่ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่เป็นโชคที่มาจากความชำนาญ และก็เป็นความชำนาญที่มาจากความพยายามอีกต่อหนึ่ง เพราะฉะนั้นสำหรับผมแล้ว ESL ไม่ใช่เพียงแค่เป็นคำย่อของ English as a Second Language เท่านั้น แต่ ESL ยังเป็นคำย่อของอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่า คือ Effort, Skill & Luck ซึ่งก็คือ ความพยายาม, ความชำนาญ และโชค ซึ่งเกิดขึ้นตามลำดับ 1, 2, และ 3 โดยอันแรกเป็นเหตุของอันหลัง อันหลังมาจากอันแรก ถ้าอยากได้ความสำเร็จ หรือ โชค หรือ Luck จะต้องทำให้ตัวเองมีความชำนาญ หรือ Skill, แต่ความชำนาญ หรือ Skill ก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไร้สาเหตุ, Skill ต้องมาจากความพยายาม หรือ Effort นั่นเอง

ผมอยากให้ท่านผู้อ่านของผมทุกท่าน เรียน ESL ไปตามเส้นทางของ “ESL”
เหนือสิ่งอื่นใด ผมอยากให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีโชค(luck) อันเกิดจากฝีมือ (skill) ที่ท่านสร้างขึ้นด้วยความพยายาม (effort) ของท่านเอง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นการศึกษาภาษาอังกฤษ หรือเป็นการทำความดี-ความงามด้านใดก็ตามในชีวิตของท่าน

พิพัฒน์
e4thai@live.com

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551

[848] ดาวน์โหลดดิกชันนารีลงมือถือ

24 กันยายน 2553:
[1586] ดาวน์โหลดโปรแกรมดิกชันนารี ลงโทรศัพท์มือถือ

**********

สวัสดีครับ
ท่านที่ใช้มือถือรุ่นที่มี JAVA (ผมเข้าใจว่ามือถือรุ่นใหม่มี JAVA ทั้งนั้น) สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งดิกชันนารี อังกฤษ – ไทย(ศัพท์ ประมาณ 37,000 คำ) และ ดิกชันนารี ไทย – อังกฤษ (ศัพท์ประมาณ 40,000 คำ)ลงในมือถือของท่านได้ ทำให้ท่านมีดิกชันนารีพกพาติดตัวตลอดเวลา ต้องการแปลศัพท์เมื่อใดก็หยิบขึ้นมากดใช้ได้ทันที

ข้อความข้างล่างนี้ น้อง(เซ่ง) และเพื่อน(พต)ของผม ช่วยเขียนให้ด้วยความเต็มใจ จึงต้องขอขอบคุณทั้ง 2 ท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

วิธีนำดิกไปใช้ในมือถือ
1. ดาวน์โหลดไฟล์ชื่อ LekLekDictLH-0.3.3 จากเว็บ http://project-ile.net/lulu/leklekdict/ ท่านเข้าไปอ่านรายละเอียดก่อนแล้วกันครับ หรือจะคลิกดาวน์โหลดที่นี่เลยก็ได้ Download

2. ไฟล์ที่ได้มาเป็นไฟล์บีบอัด (ไฟล์ zip)

3. เมื่อแตกไฟล์ที่ดาวน์โหลดเสร็จแล้ว จะได้ไฟล์ 3 ไฟล์คือ
(1) GPL.txt (2) LekLekDictL.exe และ (3) LekLekDictL.jad

4. ให้ copy 2 ไฟล์หลัง คือ LekLekDictL.exe และ LekLekDictL.jad ไปไว้ในมือถือ

5. ถอดมือถือจากการติดต่อกับคอมพ์แล้วติดตั้งไฟล์ที่ 3 คือไฟล์ LekLekDictL.jad ด้วยมือถือ

6. รอไม่นานให้ติดตั้งเสร็จก็จะได้ดิกไว้ใช้ในมือถืออย่างสะดวกและง่ายดาย

เซ่ง – พต – พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

[847]นิทานอีสปแปลไทยเทียบอังกฤษ(บรรทัดต่อบรรทัด)

สวัสดีครับ
ผมไปเจอ เว็บนี้ โดยบังเอิญ มีนิทานอีสป 22 เรื่อง โดยแปลเป็นไทยเทียบต้นฉบับภาษาอังกฤษ บรรทัดต่อบรรทัด ต่อท้ายด้วยแง่คิดและคำศัพท์ที่ควรทราบ ผมคิดว่าท่านผู้อ่านและน้อง ๆ บางคนอาจจะสนใจ เลยเอามาฝาก ข้างล่างนี้ครับ

1.เด็กเลี้ยงแกะ
2.หมาจิ้งจอก กับ อีกา
3.หมาจิ้งจอก กับ หน้ากาก
4.หมาจิ้งจอก กับ พวงองุ่น
5.พ่อไก่ กับ เม็ดพลอย
6.กบ กับ วัว
7.หมาป่า กับ นกกระสา
8.ลาที่คลุมด้วยหนังสิงโต
9.อันโดรเคิลส์
10.ไม้ยืนต้น กับ ไม้ล้มลุก
11.หมาป่า กับ ลูกแกะ
12.กวาง กับ นายพรานหนุ่ม
13.หมาป่าคลุมด้วยหนังแกะ
14.สิงโต กับ หนู
15.งู กับ ตะไบ
16.หมาป่า กับ ลูกแหง่
17.คน กับ ต้นไม้ในป่า
18.หมาในรางหญ้า
19.คนตัดฟืน กับ งูพิษ
20.หมาบ้าน กับ หมาป่า
21.หมาจิ้งจอก กับ นกกระสา
22.ชาย กับ รูปเทพสลักไม้

ศึกษาเพิ่มเติม
[136] อ่านนิทานอีสป ไทย – อังกฤษ
http://www.4shared.com/file/124974046/e2b6ed83/Aesop_Fables.html?s=1

พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551

[846]โหลด Songs Stories and Games For Children

สวัสดีครับ
ผมอยากเชิญขวนท่านดาวย์โหลดไฟล์ British Council Songs Stories and Games For Children.rar จาก 4shared.com


ไฟล์นี้มีขนาดใหญ่สักหน่อย คือ 38.7 MB แต่เนื้อหาของไฟล์น่าสนใจมาก เพราะมี story ประกอบเพลง และเกมสนุก ๆ ให้เล่น กว่า 60 เรื่อง แต่ละเรื่องมีไฟล์ mp 3 หรือวีดิโอ พร้อมกับ script เป็นไฟล์ pdf ให้ท่านศึกษาอย่างสะดวก ทุกเรื่องสนุก เป็นเรื่องเบา ๆ สำหรับเด็ก หรือสำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่ชอบเรื่องหนัก ๆ

ยอมลงทุนเสียเวลาดาวน์โหลดไฟล์นี้ไปชุดเดียว ได้ฝึกทั้ง reading, listening, ฟังเพลง, เล่มเกม ครบถ้วนกระบวนความ และเมื่อดาวน์โหลดเสร็จแล้วสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องต่อเน็ต

ถ้าท่านพบปัญหาดาวน์โหลดแล้วหลุดบ่อย หรือดาวน์โหลดได้ช้า ท่านสามารถไปดาวน์โหลดโปรแกรม Download Accelerator มาเพื่อช่วยให้ดาวน์โหลดเร็วขึ้นและขณะดาวน์โหลดเน็ตไม่หลุดง่าย ๆ

สนุกเพิ่มเติม:
http://www.bbc.co.uk/cbeebies/tweenies/storytime/
[74]วีดิโอการ์ตูนภ.อังกฤษเด็กอนุบาล (ผู้ใหญ่ดูได้)
[420] เชิญดาวน์โหลดไฟล์การ์ตูนฝรั่ง
[151] อ่านการ์ตูนฝรั่ง สนุก และไม่ได้ยากดังที่คิด !
[245] ชมการ์ตูน animation สนุก ๆ
[34] ดูหนังการ์ตูนและฝึกภาษา จากเน็ต

พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551

[845] ดาวน์โหลดโปรแกรมดิกชันนารี สอ เสถบุตร

สวัสดีครับ
ดิกชันนารีเล่มใหญ่ที่สุดที่ผมเคยซื้อครั้งแรกในชีวิต คือ ดิกชันนารี อังกฤษ – ไทย ฉบับตั้งโต๊ะของอาจารย์ สอ เสถบุตร สมัยนั้นอยู่ชั้นมัธยมต้น ยังจำความรู้สึกได้เลยว่าตื้นเต้นมากที่ได้เปิดดิกเล่มนี้เป็นครั้งแรก ท่านจะเข้าใจความรู้สึกของผมได้ดีถ้าท่านได้อ่านสิ่งที่ผมเขียนไว้ในเรื่อง “คนบ้าดิก”

เมื่อผมขยับชั้นสูงขึ้น จนเข้ามหาวิทยาลัย เมื่อมีหนังสือภาษาอังกฤษที่ต้องอ่านมากขึ้น และเปิดหาในดิกของอาจารย์สอแล้วไม่พบ ผมจึงตัดสินเลยว่า ดิกของสอ เสถบุตรไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะมีศัพท์น้อย ก็ด้วยความไร้เดียงสานี่แหละครับที่ทำให้ผมมีเกณฑ์เพียง 1 ข้อในการตัดสินว่าดิกเล่มใดดีที่สุด คือ ดิกเล่มนั้นจะต้องมีศัพท์มากที่สุด

ทุกวันนี้มีดิกมากมายหลายยี่ห้อวางขายในท้องตลาด ผมไม่รู้ว่าเคยมีการทำวิจัยกันหรือเปล่าว่า ดิกเล่มใดได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ถ้าจะให้ผมเดา ถ้าดิกของอาจารย์สอ เสถบุตรไม่ใช่ดิกที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 แต่อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในความนิยมระดับแนวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ดิกที่ scope ของศัพท์ไม่กว้างมากนัก เช่นนักศึกษาระดับประถม และมัธยมที่มีอยู่ทั่วประเทศ

ดิกของอาจารย์สอ เสถบุตร ที่มีวางขายขณะนี้มีทั้งขนาดจิ๋ว ขนาดตั้งโต๊ะ และฉบับห้องสมุด และมีทั้งฉบับดั้งเดิม และฉบับปรับปรุงซึ่งเท่าที่ผมเห็นก็มีอยู่ 2 เวอร์ชั่น ผมคาดว่าคงเป็นเหตุผลทางลิขสิทธิ์หรือทางอะไรสักอย่างหนึ่งจึงทำให้ดิกของอาจารย์สอมีวางขายถึง 3 เวอร์ชั่นในเวลาเดียวกัน คือเวอร์ชั่นดั้งเดิม และเวอร์ชั่นใหม่อีก 2 เวอร์ชั่น เอาเถอะครับ แม้ดูแล้วเวอร์ชั่นใหม่จะมีคุณภาพดีกว่าเวอร์ชั่นเก่า แต่ผมขอพูดถึงเวอร์ชั่นเก่าแล้วกันครับ ก็คือว่ามีเหตุผลที่ทำให้คนจำนวนมากยังนิยมดิกของสอ เสถบุตร

ทำไมผมถึงตัดสินอย่างนี้? ถ้ามองให้แง่ความทันสมัยของศัพท์ พูดได้เลยว่าดิกของอาจารย์สอแพ้ขาด ดิกยี่ห้อใหม่ ๆ มีศัพท์มากกว่า มากกว่าทั้งจำนวนคำศัพท์ มากกว่าทั้งจำนวนความหมายของศัพท์คำหนึ่ง ๆ

แต่สิ่งที่ทำให้ผมหงุดหงิดทุกครั้งที่เปิดดิกยี่ห้อใหม่ ๆ (กว่าดิกของอาจารย์สอ) ก็คือ ในดิกอังกฤษ – ไทย พวกนี้ มีบางคำหรือหลายคำที่แปลคำศัพท์อย่างผิด ๆ ถูก ๆ หรือน่าจะแปลได้ถูกกว่านี้ หรือบางทีก็พิสูจน์อักษรผิดอย่างไม่น่าให้อภัย

แต่ดิกของอาจารย์สอ เสถบุตร แทบไม่มีการพิสูจน์อักษรผิดเลย และคำแปลศัพท์ของดิกของอาจารย์สอ แม้ไม่มีความหมายใหม่ ๆ หรือบางความหมายที่ให้ไว้เป็นความหมายเก่าที่คนไม่ค่อยใช้กันแล้ว แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการแปลศัพท์ผิด

ลักษณะที่เด่นที่สุดของดิกอาจารย์สอ ทั้งดิกอังกฤษ-ไทย และไทย-อังกฤษ ก็คือ มีการเทียบคำระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้อย่างเหมาะสมกลมกลืนมาก ผมเห็นว่าอาจารย์สอเจนจัดทั้งด้านวิทยาศาตร์และอักษรศาสตร์จึงทำดิกได้มีคุณภาพดีเป็นอมตะ

ในยุคอินเตอร์เน็ตนี้ ท่านสามารถใช้ดิกของอาจารย์สอ ได้ฟรี online และมีเสียงอ่านทั้งศัพท์ไทย และศัพท์อังกฤษ คือเป็น Talking Dictionary Online นั่นเอง ที่นี่ครับ
- ดิกชันนารีอังกฤษ-ไทย
- ดิกชันนารีไทย-อังกฤษ

และไม่กี่วันนี่เองที่ผมไปพบเว็บ 4shared.com ที่เขามีโปรแกรมดิกชันนารีสอ เสถบุตร ทั้ง อังกฤษ – ไทย และ ไทย – อังกฤษ อยู่ในโปรแกรมเดียวกัน ให้ท่านดาวน์โหลดไปใช้ฟรี ๆ
คลิกดาวน์โหลดโปรแกรมดิกสอ เสถบุตร

อนึ่ง โปรแกรมนี้มีขนาดใหญ่ถึง 54 MB ผมพบปัญหาอย่างหนึ่งในการดาวน์โหลด คือ มันมักจะหลุดระหว่างที่ดาวน์โหลดจนดาวน์โหลดไม่สำเร็จสักที ผมจึงต้องแก้ปัญหาด้วยการ ไปดาวน์โหลดโปรแกรมประเภทที่เพิ่มความเร็วในการดาวน์โหลดและทำให้ไม่หลุดง่าย ๆ และถึงแม้หลุดก็จะช่วยดาวน์โหลดต่อจากที่หลุดไว้ คือ โปรแกรม Download Accelerator

ท่านใดพบปัญหาอย่างผมก็ดาวน์โหลดโปรแกรมนี้และติดตั้งให้เรียบร้อยซะก่อน แล้วจึงค่อยดาวน์โหลดโปรกรมดิกสอ เสถบุตรโดยผ่านโปรแกรม Download Accelerator นี้

อ่านประวัติ สอ เสถบุตร และการทำพจนานุกรมของอาจารย์
- จาก Wikipedia
- จากเว็บอื่น

พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

[844]โหลดโปรแกรม Webster’s 11th Collegiate Dict

สวัสดีครับ
ใน blog นี้มีดิกชันนารีมากมายให้ท่านใช้ online ขณะต่อเน็ต หรือดาวน์โหลดเอาไปใช้ offline โดยไม่ต้องต่อเน็ต ทั้งดิกอังกฤษ – ไทย, ดิก ไทย – อังกฤษ และดิกอังกฤษ – อังกฤษ มีทั้งที่เป็นดิกเล่ม ๆ(ไฟล์ pdf), เป็น word list ที่คัดลอกมาจากดิก และที่เป็นโปรแกรมดิก ทั้งหมดอยู่ที่ลิงค์นี้ครับ พจนานุกรม dictionary

บางท่านอาจจะรู้สึกว่ามันมากเหลือเกินจนเลือกไม่ถูก ผมอยากจะแนะว่า ให้ท่านยอมเสียเวลาสักนิดตะลุยคลิกเข้าไปทำความรู้จักกับพวกเขา และท่านก็จะรู้ว่า ดิกชันนารีเล่มไหน หรือโปรแกรมไหน ซึ่งอาจจะมีมากกว่า 1 เล่มหรือ 1 โปรแกรมที่ท่านชอบมากที่สุด และเมื่อใดที่ท่านพบดิกที่ท่านชอบ ก็จะทำให้ท่านชอบภาษาอังกฤษตามไปด้วย และเมื่อท่านชอบภาษาอังกฤษ ท่านก็จะเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้น คือเข้าใจและใช้เป็น มันตามกันมาเป็นลูกโซ่อย่างนี้แหละครับ

ดิกชันนารีนี่นะครับ มันเหมือนกับสำนวนโบราณที่ว่า ลางเนื้อชอบลางยา คือดิกที่ผมเห็นว่าดีที่สุดท่านอาจจะรู้สึกเฉยๆ แต่ดิกที่ผมรู้สึกเฉย ๆ ท่านอาจจะชอบเอามาก ๆ ผมจึงทำ blog นี้ให้เหมือนห้างสรรพสินค้าที่มีของหลายอย่างให้ท่านเลือก ผมหวังว่าเมื่อท่านเข้ามาใน blog นี้แล้วจะสามารถหยิบอะไรติดไม้ติดมือเอาไปใช้ประโยชน์ได้สักอย่างสองอย่าง

สำหรับดิกโปรแกรมนั้น รู้สึกว่าจะใช้ได้สะดวกกว่าดิกเล่มที่เป็นไฟล์ pdf เพราะท่านเพียงดาวน์โหลดและติดตั้ง พอจะใช้งานก็เพียงคลิกคำหรือพิมพ์คำที่ต้องการ ก็จะพบคำแปล ที่ต้องการ มันง่ายจริง ๆ

โปรแกรมดิกชันนารีและดิกชันนารี online ที่ดีที่สุดที่ผมเคยแนะนำมี ดังนี้ (ตัวอย่าง)
- ดาวน์โหลดดิกชันนารี ฟรี!
-รวม Search Box สุดยอด Dict.
-[263] ดิกอังกฤษ–ไทย-อังกฤษ ฟรี จาก 3 ฐานข้อมูล

วันนี้ผมมีโปรแกรมดิกชันนารี อังกฤษ – อังกฤษ อีก 1 โปรแกรมมาแนะนำ ว่าไปแล้วก็เป็นดิกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกยี่ห้อหนึ่งทางอเมริกา คือ Merriam –Webster’s 11th Collegiate Dictionary ท่านคลิกดาวน์โหลดได้เลยครับ (วิธีดาวน์โหลด: คลิกขวาที่ลิงค์, คลิกซ้าย Save Target As.. คลิก Save)
Merriam –Webster’s 11th Collegiate Dictionary

ท่านใดต้องการคำแนะนำในการติดตั้ง คลิกที่นี่ครับ

พิพัฒน์
pptstn@yajoo.com

[843] “The Last Lecture”

สวัสดีครับ
ตอนนี้มีหนังสือแปลเล่มหนึ่งออกวางขาย ชื่อหนังสือ “The last Lecture” หรือ เล็กเชอร์ครั้งสุดท้าย ผู้เล็กเชอร์ ชื่อ Dr Randy Pausch เป็นอาจารย์สอนวิชาคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon ที่สหรัฐอเมริกา ท่านใดต้องการอ่านหนังสือเล่มนี้ที่เป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษ เชิญคลิกเพื่อดาวน์โหลดได้เลยครับ The Last Lecture

ขณะที่เขียนบทความนี้ Dr Randy Pausch ได้เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคมะเร็งที่ตับอ่อน เขาเกิดปี 2503 เพิ่งตายเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2551 นี้เอง

เรื่องของเรื่องก็คือว่า หมอวินิจฉัยเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2549 ว่ามะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้ายที่เขาเป็นอยู่จะทำให้เขามีสุขภาพดีต่อไปได้ไม่เกิน 3 – 6 เดือน

เขาพยายามใช้การรักษาทุกอย่างแต่ก็ไม่ได้ผล และเมื่อได้รับเชิญ เขาจึงตอบรับคำเชิญที่จะไปพูดที่มหาวิยาลัย Carnegie Mellon เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2550 ในหัวข้อ "Really Achieving Your Childhood Dreams". (ทำความฝันในวัยเด็กของคุณให้เป็นความจริง)

-ถ้าท่านต้องการชมวีดิโอที่เขาพูด คลิก YouTube, Windows streaming video, หรือ Google video
-หรือต้องการดาวน์โหลดวีดิโอ ก็คลิก ดาวน์โหลดวีดิโอ ขนาดประมาณ 240 MB

ทั้งวีดิโอการเล็กเชอร์เรื่อง "Really Achieving Your Childhood Dreams". และหนังสือเรื่อง “The Last Lecture” ได้รับการเผยแพร่และจำหน่ายเป็นหนังสือขายดีไปทั่วโลก

Randy มีภรรยาอายุ 41 ปี และลูกเล็ก ๆ อีก 3 คน เขาบอกว่าเป็นธรรมดาที่พ่อแม่จะมีเรื่องราวและประสบการ์ที่จะเล่าให้ลูกฟัง แต่ตอนนี้ลูกของเขาทั้ง 3 คนยังเล็กเกินกว่าที่จะเข้าใจเรื่องที่เขาจะเล่า และเขาก็สรุปว่า
If I were a painter, I would have painted for them.
If I were a musician, I would have composed music.

But I am a lecturer. So I lectured.

และนี่ก็คือที่มาของเล็กเชอร์เรื่อง "Really Achieving Your Childhood Dreams". ประมาณ 10 เดิอนก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง

หลังจากวันที่เขาเล็กเชอร์ เขาพยายามรักษาสุขภาพให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาได้ขี่จักรยานไปรอบหมู่บ้านของเขา และพูดโทรศัพท์ชนิดมีที่ครอบศีรษะกับ Jeffrey Zaslow ข้อมูลจากการเล่าเรื่องราวขณะขี่จักรยาน 53 เที่ยวรอบหมู่บ้านนี้ได้รับการเรียบเรียงจาก Jeffrey Zaslow และกลายเป็นหนังสือ The Last Lecture ที่ผมนำมาให้ท่านดาวน์โหลด

ในเล็กเชอร์เรื่อง “ทำความฝันในวัยเด็กของคุณให้เป็นความจริง” เขาได้พูดถึงความฝันในวัยเด็กของเขา และการที่เขาทำให้ฝันนั้นเป็นจริง และบทเรียนที่ได้เรียนรู้ คือ จะทำอย่างไรให้ความฝันของตนเป็นจริงและการช่วยสานฝันขอผู้อื่นด้วย

ผมฟังเล็กเชอร์และอ่านหนังสือของเขาแล้ว แม้จะรู้เรื่องไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็จับใจความได้ว่าเขาพูดถึงสิ่งที่ดีในชีวิต มีถ้อยคำหลายตอนที่ผมชอบ ขอยกตัวอย่างมาสัก 2 – 3 ตอนนะครับ เช่น
We cannot change the cards we are dealt, just how we play the hand. (เราเปลี่ยนไพ่ที่เจ้ามือแจกไม่ได้ ที่ทำได้ก็คือเราจะเล่นไพ่ในมืออย่างไรเท่านั้นเอง) ...ตัวอย่างนี้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะพัวพันกับการพนัน...

อีกตอนหนึ่งที่ Randy พูดถึงพ่อของเขา...
He’d also warn me that even if I was in a position of strength, whether at work or in relationships, I had to play fair. “Just because you’re in the driver’s seat,” he’d say, “doesn’t mean you have to run people over.”
(พ่อยังเตือนผมอีกว่า แม้เราจะอยู่ในตำแหน่งที่เข้มแข็งกว่า ไม่ว่าเรื่องงานหรือความสัมพันธ์กับบุคคล เราก็ต้องปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างแฟร์ ๆ เพียงแค่เรานั่งอยู่ที่นั่งคนขับรถไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องขับรถทับคน)

และที่ผมชอบมากที่สุด คือตอนนี้ ที่เกี่ยวกับการหาความรู้ในครอบครัวของ Dr Randy
Most every night, we’d end up consulting the
dictionary, which we kept on a shelf just six steps from the table. “If you have a question,” my folks would say, “then find the answer.” The instinct in our house was never to sit around like slobs and wonder. We knew a better way: Open the encyclopedia. Open the dictionary. Open your mind.

(แทบทุกคืน เราจะต้องเปิดดิกชันนารีซึ่งเราเก็บไว้บนชั้นหนังสือห่างจากโต๊ะเพียง 6 ก้าว ทั้งพ่อและแม่จะบอกว่า “ถ้ามีคำถามก็ให้พยายามหาคำตอบ” สัญชาตญาณที่เป็นอยู่ในบ้านของเราก็คือ เมื่อสงสัยพวกเราจะไม่นั่งขี้เกียจอยู่เฉย ๆ เรารู้วิธีที่ดีกว่า คือ... (3 ปรโยคต่อไปนี้อย่าให้ผมแปลเลยครับ เพราะเป็นประโยคที่ผมชอบมากจริง ๆ แปลแล้วเสียรสชาติครับ คือ... )
Open the encyclopedia.
Open the dictionary.
Open your mind.

สำหรับผมแล้วเล็กเชอร์เรื่อง "Really Achieving Your Childhood Dreams" เป็นสิ่งที่น่าฟัง และหนังสือเรื่อง “The Last Lecture” ก็เป็นหนังสือที่น่าอ่าน
* * * *

ท่านผู้อ่านครับ สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้อาจจะดูขัดกับสิ่งที่ผมพูดข้างบน แต่ถ้าท่านอ่านไปเรื่อย ๆ จะรู้ว่ามันไม่ได้ขัดกันหรอกครับ ผมเพียงแต่จะพูดอีกแง่มุมหนึ่งเท่านั้น มุมที่อาจจะไม่ค่อยมีใครมองกัน

The Last Lecture ไม่ได้เป็นหนังสือ best seller เกี่ยวกับบุคคลเล่มแรก ที่เข้ามาถึงเมืองไทยและมีการแปลออกเป็นภาษาไทยให้คนไทยอ่าน คำที่สำคัญที่สุดที่อธิบายคุณค่าที่หนังสือเหล่านี้มีให้คนอ่านดูเหมือนจะเป็นคำว่า “inspiration” หรือ “แรงบันดาลใจ” และก็ดูเหมือนแรงบันดาลใจ คือประวัติชีวิตและผลงานที่เป็นตัวอย่างของคนเป็น ๆ นี้จะมีหลายประเภททีเดียว ขอยกตัวอย่างสัก 2 ประเภท คือ (1) แรงบันดาลใจที่ช่วยให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อทำให้รวย และ (2) แรงบันดาลใจทำให้มองโลกในด้านดี(ผมต้องใช้คำว่า positive thinking ซีนะถึงจะไม่ตกยุค) จะได้มีสุขภาพจิตดีและไม่บ้าก่อนที่จะได้เสพสุขกับความรวย หนังสือแปลพวกนี้บางยุคมีเยอะจริง ๆ จนผมชักสงสัยขึ้นมาดื้อ ๆ ว่า ถ้าเมืองไทยไม่มีหนังสือพวกนี้อ่าน คนไทยจะกลายเป็นคนบ้าไปทั้งเมือง หรือขี้เกียจไม่ขยับตัวทำงานเพราะขาดแรงบันดาลใจ มันจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่านะ? ท่านผู้อ่านอย่าได้คิดว่าผมแอนตี้ฝรั่งนะครับ ผมเพียงแต่สงสัย

เมื่อหันมามองตัวอย่างที่เราคุ้นเคยหรือมีอยู่ (ถ้าคลิกแล้วไม่ได้ผล ให้คลิกพร้อมกด shift) เช่น เรื่องราวของ
พระพุทธเจ้า
พระภิกษุ - ภิกษุณี,
อุบาสก,
อุบาสิกา,
และอื่น ๆ

ก็ดูเหมือนจะเป็น inspiration หรือแรงบันดาลใจให้แก่มวลชาวไทยไม่ได้เอาซะเลย เพราะเป็นเรื่องของคนที่สละโลกแล้ว อะไร ๆ ก็เลิกอยากแล้วทั้งนั้น ก็เลยไม่รู้จะศึกษาประวัติของท่านเหล่านี้ไปทำไม

ตัวเลขที่ผมขอยกเอามาให้ท่านดูเล่น ๆ ก็คือ อัตราการฆ่าตัวตาย ของประเทศสหรัฐอเมริกา คือ 11 % และของไทย คือ 7.8 % (แหล่งข้อมูล)

ตอนนี้ ผมนึกไปถึงคำสอนที่เป็นโอวาทปาติโมกข์ของพระพุทธเจ้าว่า
สัพพะปาปัสสสะ อะกะระณัง, การไม่ทำบาปทั้งปวง
กุสะลัสสูปะสัมปะทา, การทำกุศลให้ถึงพร้อม
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส


และนึกเลยไปว่า หนังสือ best seller เล่มไหนก็ตามของฝรั่ง หรือของจีน ของญี่ปุ่น หรือของชาติไหนก็ตามเถอะที่คนไทยเห่อแปลและเห่ออ่าน ถ้าสอนให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สอนให้รวย สอนให้มีสุขภาพจิตส่วนตัวดี โดยไม่พูดถึงการหยุดทำบาปหรือการหยุดมีชีวิตที่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม, ไม่พูดถึงการทำชีวิตให้มีคุณค่าเพราะเมตตาและกรุณา, ไม่พูดถึงจิตใจที่บริสุทธิ์เพราะงดงามและมีพลัง ถ้า best seller เล่มไหนไม่ได้พูดถึง 3 สิ่งนี้เลย เมื่ออ่านจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษครับ

พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

[842] ชวนท่องดิกชันนารี Webster 3,000 คำ

สวัสดีครับ
ท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนประจำ blog นี้คงสังเกตได้ว่า ผมให้ความสำคัญกับเรื่องศัพท์ หรือ vocabulary มากทีเดียว สาเหตุก็ง่าย ๆ ครับ คือว่า ถ้ารู้ศัพท์ตุนไว้ก่อน การจะฟัง-พูด-อ่าน-เขียน มันจะง่ายขึ้นเยอะ แต่ถ้าไม่รู้ศัพท์ – หรือรู้ไม่พอ – หรือรู้พอแต่นึกได้ไม่ทันเวลา – หรือนึกได้ทันเวลาแต่เอามาผูกประโยคไม่เป็น มันก็ทำให้การใช้ภาษาอังกฤษหยุดชะงัก หรือขยับไปได้อย่างเชื่องช้า

เปรียบเทียบอย่างนี้ก็ได้ครับ ศัพท์ก็เหมือนน้ำมันรถ ไม่ว่ารถที่เราใช้จะเป็นมอเตอร์ไซค์ รถเก๋ง รถกระบะ รถตู้ รถบัส รถไฟ หรือรถอะไรก็ตาม มันก็ต้องเติมน้ำมันลงถังทั้งนั้น การจะฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ภาษาอังกฤษก็เช่นกัน ต้องใช้ศัพท์เติมลงไปในประโยคทั้งนั้น แต่มีความต่างที่ฉกาจฉกรรจ์อยู่ 1 อย่าง คือ น้ำมันนั้นยิ่งใช้ยิ่งหมด และรถยิ่งใช้ก็ยิ่งเสื่อมสภาพ แต่ศัพท์และผู้ใช้ศัพท์กลับตรงกันข้าม คือยิ่งเอาศัพท์มาใช้มาก ๆและบ่อย ๆ เท่าใด ก็จะจำศัพท์ได้แม่น-ได้เร็ว-ได้มาก เท่านั้น ส่วนผู้ใช้ศัพท์กลับไม่เสื่อมสภาพเหมือนรถที่ถูกใช้ แต่กลับจะเก่งขึ้นเพราะการใช้ศัพท์นั้น

ที่ blog นี้ผมได้รวมเว็บ ความคิดเห็น และข้อแนะนำต่าง ๆ ทั้งหมดเกี่ยวกับศัพท์ไว้ที่ลิงค์นี้ ศัพท์ vocabulary

เมื่อพูดว่าศัพท์เป็นสิ่งสำคัญและควรจะจำให้ได้-ใช้ให้เป็น ก็จะได้ยินเสียงบ่นเบา ๆ จากข้างหลัง หรือตะโกนดัง ๆ มาจากข้างหน้าทันทีว่า “โอ้ย! ศัพท์ตั้งเยอะแยะเป็นร้อยเป็นพันคำ ใครจะไปจำได้”

ท่านผู้อ่านครับ ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่บ่นหรือตะโกนประโยคข้างต้น ขอได้โปรดทราบว่า ผมไม่ขอเถียงถ้อยของท่านแม้แต่ครึ่งคำ แต่ถ้าท่านยังไม่รีบไปไหน ท่านนั่งคุยกับผมสักนิดแล้วกันนะครับ

เรื่องศัพท์นี่นะครับ ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทย หรือภาษาอื่นใดที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว เช่น ภาษาขอม ภาษาบาลี คนชาติที่ใช้ภาษานั้นก็รู้ศัพท์ทีละคำทั้งนั้นแหละครับ เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ศัพท์ในวันเดียวหลายสิบคำ หรือในสัปดาห์เดียวหลายร้อยคำ มันผิดธรรมชาติครับ นึกถึงตัวเองตอนหัดพูดเมื่อเป็นเด็กก็ได้ครับ เรารู้ศัพท์ที่ละคำ และใน 1 คำนี้ เราฟัง – เราพูด - เราพบกับเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้ฟัง – ได้พูด ศัพท์คำนี้ อาจจะฟังหรือพูดเป็นคำ ๆ, เป็นวลี, หรือเป็นประโยค หรือหลาย ๆ ประโยค และขณะที่มีประสบการณ์ร่วมกับศัพท์คำนี้ เราอาจจะอยู่ในอารมณ์สนุกสนาน รื่นเริง เศร้าโศก กังวล ร้อนใจ หรือสงบเย็นเป็นสุข และเมื่อเราโตขึ้นเข้าโรงเรียน ศัพท์คำเดียวกันที่เราเคยฟังและพูดมาแล้วนี้ ก็ไปอยู่ในหนังสือที่เราอ่าน หรือในสมุดที่เราต้องเขียน พูดง่าย ๆ ก็คือ ในศัพท์คำหนึ่ง ๆ ก่อนที่เราจะเข้าใจ(เมื่อฟังและอ่าน) และใช้เป็น(เมื่อพูดและเขียน) เราต้องผ่านประสบการณ์และคลุกคลีตีโมงกับมันมาพอสมควรทีเดียว เราคนไทยจึงไม่มีปัญหาในการใช้ศัพท์ภาษาไทยเพราะเราอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็ก

แต่เมื่อเราเรียนภาษาอังกฤษ ปัญหาก็เกิดขึ้นทันที เพราะเราไม่ได้อยู่กับมันมาตั้งแต่เด็ก มันเลยไม่ค่อย “เชื่อง” ที่ผมใช้คำว่าเชื่องนี่ผมคิดว่าถูกที่สุดเลยครับ ที่บ้านต่างจังหวัดของผม เราเลี้ยงหมาไว้ที่บ้าน เลี้ยงมาหลายรุ่นแล้วครับ บางตัวก็อายุยืน บางตัวที่ชอบออกไปผจญภัยเกินสมรรถภาพส่วนตัวก็มักจะเจ็บป่วยและล้มตายเร็วหน่อย แต่ไม่ว่าจะเป็นหมารุ่นไหนก็ตาม แม่ของผมยืนยันว่าต้องเอามาเลี้ยงตอนที่ยังแบเบาะอยู่ แม่บอกว่าถ้าเอาหมาใหญ่มาเลี้ยงมันมักไม่ค่อยเชื่องและไม่ค่อยจะรักเราที่เป็นเจ้าของมัน แม้เราจะรักมันก็ตาม

ผมมานึกถึงศัพท์ภาษาอังกฤษที่เราเริ่มเรียนเมื่อเราโตแล้ว ซึ่งเรามีภาระที่จะต้องจำให้ได้ – ใช้ให้เป็น ดูเหมือนมันไม่ค่อยจะ “เชื่อง” เอาซะเลย จำก็ไม่ค่อยจะได้ – ใช้ก็ไม่ค่อยจะเป็น เหมือนหมาที่โตแล้วและเราเอามาเลี้ยง ดูมันไม่ค่อยจะเชื่องเอาซะเลย

พอมาถึงบรรทัดนี้ ผมก็เรียกสติกลับคืนมา แล้วบอกตัวเองว่า 2 ย่อหน้าข้างบนนี้ผมพูดออกไปอย่างไร้สติ เพราะภาษาอังกฤษไม่ใช่หมา และหมาก็ไม่เหมือนภาษาอังกฤษ และข้อสรุปที่ถูกต้องก็คือ แม้ภาษาอังกฤษจะเหมือนหมาดุที่เชื่องยาก แต่เราก็ทำให้มันเชื่องได้ ถ้าเราเลี้ยงมันดี ๆ

ย้อนกลับมาพูดเจาะจงเรื่องศัพท์ที่เป็นปัญหา คือ เราจำไม่ได้ – ใช้ไม่เป็น ผมขอพูดเรื่องทั่ว ๆ ไปก่อน เสร็จแล้วค่อยพูดเรื่องเจาะจงที่ผมอยากจะพูดในวันนี้

เรื่องทั่ว ๆ ไปก็คือ ทุกวันนี้การจำศัพท์หรือการเรียนภาษาอังกฤษไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญเหมือนสมัยก่อนตอนที่ผมยังเด็ก เพราะไม่ว่าจะเป็นการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน แม้ว่าเราจะไม่มีครูฝรั่งตัวเป็น ๆ มาสอน แต่เราก็มีสื่อมากมายแทนครู ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ หนังสือเล่ม นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์ CD อินเตอร์เน็ต e-mail chat room และอื่น ๆ อีกสารพัดอย่าง ถ้าเราพยายามและรู้จักหยิบสื่อพวกนี้มาใช้ประโยชน์ แม้ไม่สามารถทำให้ภาษาอังกฤษเชื่องได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้มันกัดเราไม่ได้ ถ้า... ถ้า... ถ้าเราพยายามและรู้จักหยิบสื่อพวกนี้มาใช้ประโยชน์ คำถามที่ต้องถามก็คือ 1.เราได้พยายามมากพอหรือยัง? และ 2.เราได้หยิบสื่อที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์แล้วหรือยัง?

คราวนี้มาพูดถึงเรื่องศัพท์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมต้องการพูดโดยเจาะจงในวันนี้ ผมคิดว่าเพราะเราเป็นคนไทยซึ่งมาเรียนภาษาอังกฤษเมื่อโตแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเราพูดก็ไม่จำเป็นต้องอายที่สำเนียงของเราไม่ใช่ English แต่เป็น Thinglish และเราไม่รู้ศัพท์บางตัวที่ฝรั่งพูด ก็เราไม่ใช่ฝรั่ง เราเป็นคนไทยนี่น่ะ

แต่... แต่... จะเป็นการดีที่สุดที่เราจะรู้ศัพท์พื้นฐานที่ใช้บ่อยที่สุดในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ศัพท์พวกนี้เมื่อรู้แล้วนอกจากช่วยให้เราสื่อสารได้ทุกเรื่อง(แม้จะตกรายละเอียดไปบ้าง) และเมื่อฝึกไปเรื่อย ๆ มันจะเป็นพื้นฐานให้เราสามารถเดาศัพท์ที่ไม่รู้ และเราก็จะค่อย ๆ รู้ศัพท์มากขึ้นทีละตัว ๆ, ศัพท์ไม่เหมือนน้ำมันรถที่ยิ่งใช้ยิ่งหมด แต่ศัพท์ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม

คำถามถัดไปก็คือศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีอยู่เป็นแสน ๆ หรือล้าน ๆ คำนี้ มีศัพท์คำใดบ้างเป็นศัพท์พื้นฐานที่เราควรรู้ หรือต้องรู้?

ถ้าเป็นสมัยโบราณบริษัทดัง ๆ ที่ทำดิกขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งดิกที่โฆษณาว่าบรรจุศัพท์พื้นฐาน เขาจะมีทีมนักวิชาการคอยบันทึกเก็บข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของภาษา และเมื่อถึงเวลาที่จะตีพิมพ์ดิกedition ใหม่ นักวิชาการเหล่านี้ก็จะเป็นผู้ตัดสินว่าศัพท์คำนี้ หรือความหมายนี้ของศัพท์คำนั้น ไม่มีใครใช้แล้ว หรือ “ตาย”แล้ว ก็ดึงออกทิ้งไป ส่วนศัพท์คำนี้ที่เกิดใหม่ หรือความหมายใหม่ของศัพท์เก่าตัวนั้น ดูแววแล้วคงจะมีคนใช้ หรือ “มีชีวิตอยู่” ต่อไปอีกนาน ก็ใส่เพิ่มเข้าไปในการตีพิมพ์ครั้งใหม่

แต่เมื่อโลกสามารถนำเอาคอมพิวเตอร์คุณภาพสูงมาใช้งาน วิธีการทำดิกก็ถูก “ปฏิวัติ” บริษัททำดิกพวกนี้จะสร้าง database ซึ่งบรรจุข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษไว้มากมาย เป็นหลายสิบหรือหลายร้อยล้านคำ เมื่อถึงเวลาตีพิมพ์ดิกเล่มใหม่ ก็ให้คอมพิวเตอร์มันดูจากฐานข้อมูลที่เก็บไว้ว่าศัพท์ตัวใดหรือความหมายใดใช้บ่อยขนาดไหน ก็เอาศัพท์หรือความหมายที่ใช้บ่อยมาตีพิมพ์ นี่พูดคร่าว ๆ นะครับว่าเขาทำกันแบบนี้

แต่เรื่องที่น่าสนใจก็คือ หลายสำนักซึ่งต่างก็มี database ของตนเอง ก็ยังผลิต list คำศัพท์ขั้นพื้นฐานที่ไม่เหมือนกัน แม้อาจจะคล้ายกันก็ตาม อย่างนี้ถ้าอยากจะรู้ก็ต้องตามไปดูล่ะครับว่าใครมืออาชีพมากกว่ากัน เช่น มีศัพท์จากทั้งสื่อตีพิมพ์หรือสื่อที่ไม่ได้ตีพิมพ์(เช่น ข่าววิทยุ โทรทัศน์)ครบหรือเปล่า มีภาษาทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการหรือเปล่า มีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนหรือเปล่า มีทั้งภาษาวิชาการและภาษาชาวบ้านหรือเปล่า มีภาษาอังกฤษที่ใช้กันอย่างสามัญจากมุมอื่นของโลกหรือเปล่า เช่น อังกฤษแบบอินเดีย อังกฤษแบบออสเตรเลีย ฯลฯ การที่ฐานข้อมูลของแต่ละสำนักต่างกัน การผลิตดิกชันนารีที่บรรจุศัพท์พื้นฐานก็เลยต่างกันไปบ้าง แต่ที่เหมือนกันก็คือ ทุกสำนักต่างก็โฆษณาว่าดิกชันนารีของตนดีที่สุด

ใน blog นี้ ผมเคยเอาศัพท์พื้นฐานของบางค่ายมาให้ท่านดู เช่น

วันนี้ผมจะพูดถึง Webster's English Learner's Dictionary ซึ่งผมเคยแนะนำไว้แล้วที่ ลิงค์นี้ Webster นอกจากผลิตดิกประเภท learner’s dictionary ออกมาให้ใช้ ยังทำ Word List ที่บอกว่า “3,000 Words—you need to know!” อีกด้วย

ผมเข้าไปสำรวจ word list ของ Webster แล้ว และก็รู้สึกว่ามีหลายอย่างที่ดีกว่า หรือแตกต่างจาก word list ของสำนักอื่นที่ผมเคยเห็น เช่น
1.Webster บอกว่า Word List ของเขาเป็น 3.000 คำที่คุณต้องรู้ หรือ “3,000 Words—you need to know!” ไม่เหมือน word list ของ Oxford หรือ Longman ที่เขากำหนดขึ้นมาเพื่อใช้อธิบายศัพท์ในดิกชันนารีทั้งเล่มของเขา จริง ๆ แล้วใน Word list ของ Oxford และ Longman ก็อาจจะเป็นคำสามัญที่ควรรู้ แต่ของ Webster นี่เขาบอกเลยว่าเป็น “3,000 Words—you need to know!” ไม่ใช่ 3,000 คำที่ใช้ในการอธิบายศัพท์ใน Webster's English Learner's Dictionary

2. ตัวอย่างที่ใช้อธิบายศัพท์มีมากกว่า Oxford และ Longman คือ มีมากกว่า 160,000 วลีและประโยคตัวอย่าง, ถ้าพูดว่าประโยคตัวอย่างของดิก Webster ดีกว่าดิกเล่มอื่น ก็ดูเหมือนจะเป็นการเชียร์ออกนอกหน้าเกินไป จึงไม่ขอพูด

3. ในเว็บ http://www.learnersdictionary.com/ ที่เขาให้ใช้ online สามารถคลิกฟังเสียงของคำศัพท์ได้ด้วย

4. ใน word list 3,000 คำนี้ยังบอกด้วยว่า ศัพท์ที่ you need to know นี้ ที่ควรจำเป็นคำอะไร และถ้ามีความหมายแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ควรจำความหมายของกลุ่มไหน (word list ของ Oxford และ Longman ไม่บอกละเอียดขนาดนี้)

ผมเอาศัพท์ทั้ง 3,000 คำนี้มารวมไว้ด้วยกันทั้งหมดในแต่ละตัวอักษร

ผมคุ้นเคยกับดิกของ Webster มานานพอสมควรทั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา และรู้ว่าดิกชันนารีของสำนักนี้เชื่อถือได้ และแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ Webster ผลิตดิกประเภท Learner's Dictionary แต่ประสบการณ์และชื่อเสียงที่มีมายาวนานของเขาเป็นเครื่องรับประกันคุณภาพได้เลยครับ


ถ้าจะอนุญาตให้ผมพูดตรง ๆ ผมก็อยากจะพูดว่า ขอให้ท่านท่องทั้ง 3,000 คำนี้ให้ได้ทุกคำเถอะครับ ท่านจะท่องด้วยวิธ๊ไหนก็ได้ตามใจท่าน แต่ควรจะพยายามเรียนรู้ทั้งการสะกดคำ การออกเสียง การผูกประโยค ดิกทั้งเล่มมีมากกว่า 100,000 คำ และมีมากกว่า 160,000 วลีและประโยคตัวอย่าง เขาคัดมาให้เราท่องเพียง 3,000 คำ น่าจะพอไหวนะครับ
(ถ้าต้องการให้คลิกแล้วเปิดในหน้าใหม่, ให้คลิกที่ลิงค์พร้อมกับกดแป้น shift)
A B C D E F G H I J K L M N O P Q R S T U V W X Y Z
(เมื่อคลิกเข้าไปแล้ว, จะเห็นว่า ศัพท์บางคำอาจมีตัวเลข เช่น 1 หรือ 2 นำหน้า, นี่คือกลุ่มของความหมายของศัพท์คำนั้น)

สุดท้ายครับ: ที่พูดอ้อมค้อมยาวเหยียดตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดนี้ ก็เพราะอยากจะบอกประโยคนี้ประโยคเดียวแหละครับ
- 3,000 คำนี้ถ้าท่องและจำได้หมดรับรองว่าคุ้มค่า - ได้กำไรเกินค่าครับ
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com