สวัสดีครับ
ท่านผู้อ่านเคยอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้ท่านรู้สึกอย่างนี้ไหมครับ ในกลุ่มที่นั่งคุยกันอยู่นั้นซึ่งมีเพื่อนของท่านบางคนอยู่ในนั้นด้วย เขาพูดภาษาอังกฤษกันได้ทุกคนยกเว้นท่าน และเมื่อมีการเปิดวีดิโอดูภาพยนต์ พอถึงตอนใดตอนหนึ่งเขาก็หัวเราะวีดิโอที่ชม แต่ท่านฟังไม่รู้เรื่องก็เลยไม่รู้สึกขำด้วย ไอ้ครั้นจะแกล้งหัวเราะตามเขาเพื่อไว้เชิงว่าเราก็พอฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่องนะ มันก็เหมือนเป็นการโกหกก็ไม่อยากทำเพราะอายตัวเอง แต่การนั่งร่วมตลอดเวลา และไม่มีความรู้และความรู้สึกร่วมกับคนที่เขารู้และรู้สึกกับภาษาอังกฤษที่เขากำลังพูดคุยหรือชมอยู่ ก็รู้สึกอายคนอื่น
หลังจากสถานการณ์ที่อาจจะทั้งอายตัวเองและอายคนอื่นเช่นนั้น ท่านมีทางเลือกให้เดินอยู่ 2 ทาง คือ ทางที่หนึ่ง ไม่ยุ่งกับภาษาอังกฤษอีกเลยถ้าไม่จำเป็น ในชีวิตนี้ขอไปเอาดีทางอื่นดีกว่า หรือทางที่สอง พยายามฝึกฝนตัวเองไปเรื่อย ๆ ทีละน้อย(หรือทีละมาก ๆ ก็ได้) เพื่อให้ตัวเองสามารถฟังและพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนเขา ทางที่สองนี้ต้องอาศัยความรักที่จะเรียน เวลา และความอดทนที่ไม่ปล่อยใจเป็นทุกข์ขณะที่เรียนแล้วยังไม่ได้ผลทันใจ หรือพูดสั้น ๆ ว่า “ใจเย็น” ซึ่งแปลว่า “ไม่ใจร้อน – ไม่ร้อนใจ - เมื่อยังไม่ได้ดังใจ” ท่านจะเลือกเดินทางไหนครับ?
ที่ผมเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ก็เพราะผมเคยฟังไม่รู้เรื่องและพูดไม่ได้มาก่อน และทุกวันนี้ก็ใช่ว่าจะฟังรู้ทุกเรื่องที่อยากรู้ หรือพูดได้ทุกเรื่องที่อยากพูด มันก็ฟังและพูดได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ก็ฝึกอย่างใจเย็นไปเรื่อย ๆ มันก็ต้องฟังได้ - พูดได้มากขึ้นเองแหละครับ
ผมอยากจะเปรียบเทียบเหมือนกับการเดินขึ้นภูกระดึง พวกที่เคยขึ้นไปแล้วเขาก็คุยกันอย่างสนุกสนาน เช่น ทางเดินขึ้นมันเหนื่อยและโหดยังไง แต่พอขึ้นถึงยอดภูแล้วได้ไปเดินชมพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก หน้าผา ป่าสน น้ำตก ป่าปิด มันงดงามและน่าสนุกน่าตื่นเต้นยังไง เขาคุยกันได้สนุกเพราะเขาเคยขึ้นไป เราไม่เคยขึ้นก็คุยกับเขาไม่ได้
แต่ถ้าท่านเป็นนักสู้ท่านต้องถามตัวเองว่า ทางเดินขึ้นเขาก็ตั้งอยู่ตรงนั้น ขา 2 ข้างของเราก็อยู่ตรงนี้ พวกเขากับเราไม่ต่างกันเลย ต่างก็มีขา 2 ข้างเหมือนกันและมีทางเดินเส้นเดียวกันให้เดิน เราจะเดินไหมล่ะ?
ท่านผู้อ่านครับ พอคุยถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านเดาได้ไหมครับว่า ประสบการณ์ที่ผมได้รับและรู้สึกจากสิ่งที่ท่านผู้อ่านเขียนมาถึงผมในช่วงที่ทำบล็อกมา 2 ปีนี้ เกี่ยวกับเรื่องที่ยากที่สุดในการเรียนภาษาอังกฤษคืออะไร? ผมเคยคิดว่า เนื่องจากการเรียนกับเว็บทางอินเตอร์เน็ตนี้เป็นการเรียนด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าพื้นฐานไม่แน่นพอ การเรียนด้วยตัวเองคงเป็นเรื่องยาก แต่ความจริงที่ผมสรุปได้ก็คือ เรื่องพื้นฐานไม่แน่นไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด แต่จริง ๆ แล้วในการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองของคนส่วนใหญ่ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ (1) ขาดกำลังใจ และ (2) ใจร้อนเกินไป เมื่อเรียนแล้วไม่ได้ผลไว ๆ ใจเลยร้อน เมื่อไม่มีความสุขกับการเรียนก็เลยเลิกเรียน เหมือนเดินขึ้นภูกระดึงไปได้แค่ชั่วโมงเดียวมันก็ยังไม่ถึงยอดดอยซะที เพราะฉะนั้น แม้ขาจะยังมีแรงแต่ใจหมดแรงซะแล้ว ก็เลยไม่เดินต่อไปข้างหน้าแต่หันหลังเดินกลับตีนดอย และไม่คิดจะกลับมาเดินขึ้นภูกระดึงอีกเลย
ท่านผู้อ่านครับ เว็บและเนื้อหาต่าง ๆ ที่มีในบล็อกนี้เปรียบเหมือนทางเดินขึ้นภูรอให้ท่านมาเดิน ในการศึกษาภาษาอังกฤษ ถ้าท่านขาดกำลังใจ ขาดคนให้กำลังใจ ไม่มีกลุ่มเพื่อนคอยให้กำลังใจ ท่านจะต้องเป็นกำลังใจให้ตัวเองโดยไม่ต้องรอกำลังใจจากผู้อื่น และโปรดทราบเถอะครับว่า ผมอยู่ตรงนี้และขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านก้าวเดินไปตามเส้นทางที่ท่านมุ่งหวัง และท่านก็ไม่ต้องใจร้อนหรอกครับ เส้นทางมีอยู่แล้วท่านเพียงเดินไปเรื่อย ๆ เท่านั้นแหละครับรับรองว่าถึงยอดดอยแน่ๆ การปล่อยใจให้ร้อนไม่ช่วยให้เราเดินเร็วขึ้นเลย แต่กลับเป็นการเดินที่เหมือนสะพายเป้แห่งความทุกข์ไว้ข้างหลังทำให้การเดินหนักและเหนื่อยมากขึ้นโดยไม่จำเป็น ทำให้ท่านไม่มีแก่ใจที่จะชมสองข้างทางเดินขึ้นดอยซึ่งมีนกและไม้ให้ท่านชมตลอดทาง การเรียนภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกันครับ เรียนไปเรื่อย ๆ – ใจไม่ร้อน และก็ชมนกชมไม้ตลอดเส้นทางของการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องรอให้ถึงที่หมายจึงค่อยมีความสุข อย่าทำอย่างนั้นเลยครับ ผมเหนื่อยแทน
และวันนี้ผมมีเว็บนิทานมาให้ท่านเรียนเล่น ๆ ผมขอสรุปอีกครั้งว่าการเรียนภาษาอังกฤษจากนิทานมีประโยชน์และได้ผลดียังไง แม้ท่านจะเป็นผู้ใหญ่และพ้นวัยฟังนิทานแล้วก็ตาม
1. เนื่องจากนิทานเป็นเรื่องง่าย ๆ ใช้ศัพท์ง่าย ๆ ประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ เราจึงรู้เรื่องได้ไม่ยากนัก และเราก็สามารถจำศัพท์ใหม่ได้ทีละคำ แต่ถ้าไปอ่านข่าวหรือบทความที่ยากเกินไป อาจจะมีศัพท์ใหม่โผล่หน้ามาให้เราเห็นมากกว่า 10 คำในเวลาไม่ถึง 5 นาทีที่อ่าน อย่างนี้อาจจะมากเกินไปจนทำให้อ่านไม่รู้เรื่อง หรือถ้าจะบังคับตัวเองให้อ่านรู้เรื่องให้ได้ ถ้าไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อบเบา สมองอาจจะล้าเร็วเกินไป ซึ่งไม่ใช่ของดีเลยครับ
2. เมื่อรู้เนื้อเรื่องแล้ว สมองก็จะมีแรงเหลือที่จะสังเกตและจดจำลักษณะการเล่าเรื่องการพูดคุยจากนิทาน และเมื่อถึงเวลาที่ท่านจะเล่าเรื่องและพูดคุยท่านก็จะสามารถดึง database จากสมองออกมาใช้ในการพูดได้ ท่านผู้อ่านลองนึกดูซีครับ ในชีวิตของคนเราก็พูดอยู่ 2 แบบเท่านั้นแหละครับ คือ (1) เล่าเรื่อง คือพูดยาว ๆ เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง และ (2) พูดคุย คือพูดสั้น ๆ โต้ตอบไปมากับคนอื่น การอ่านบทความหรือข่าวภาษาอังกฤษจะช่วยเรามากในการเล่าเรื่อง แต่บทความและข่าวไม่มีบทพูดคุยให้เราศึกษาหรือลอกเลียนแบบการพูดคุย แต่สิ่งนี้นิยายหรือนิทานมีให้เราครับ การอ่านหรือฟังนิทาน จึงได้ศึกษาครบทั้งการเล่าเรื่องและพูดคุย
ตอนนี้นึกออกแค่ 2 ข้อ แต่จริง ๆ แล้วปรโยชน์ของการอ่านและฟังนิทานมีมากกว่า 10 ข้อแน่ ๆ ครับ
เว็บที่ผมจะแนะนำวันนี้ มีนิทานของฝรั่งที่ง่าย ๆ และสนุกเป็นไฟล์ mp 3 ให้ท่านฟัง และมี script ให้ท่านอ่านหลายเรื่องทีเดียว ที่เว็บนี้ครับ http://storynory.com/
ท่านไปที่ลิงค์ข้างล่างนี้ ก็จะพบนิทานให้ท่านเลือกคลิกได้ง่าย ๆ
Junior
Educational
Original Stories
Fairytales
Classic Authors
เมื่อท่านคลิกเข้าไปในนิทานเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว ท่านจะพบ
1. ชื่อเรื่อง
2. ลิงค์ซึ่งมีคำว่า Download…. ถ้าท่านต้องการไฟล์ mp3 เพื่อเก็บไว้ฟังในครั้งต่อไปโดยไม่ต้องต่อเน็ต ให้ท่านคลิกขวาที่คำว่า Download, คลิกซ้าย Save Target As… , เลือกที่ Save และคลิก Save
3. ผมขอแนะให้ท่านดาวน์โหลดหน้านั้นไว้ด้วย เพราะมันเป็น script ของนิทานเรื่องนี้
4. ในบรรทัดถัดลงมาซึ่งมีไอคอนรูปลำโพง ให้ท่านคลิกที่รูปสามเหลี่ยม ท่านจะได้ฟังเสียงอ่านนิทาน online คนอ่านชื่อ Natasha ผมเคยฟังเปรียบเทียบกับคนอ่านนิทานที่เว็บอื่น และรู้สึกว่า Natasha อ่านได้สนุกสนาน เร้าใจ มีชีวิตชีวามากกว่า และก็ฟังง่ายด้วย
5. เรื่องอ่านและฟังนี่นะครับ ท่านเลือกฝึกได้ตามสะดวกเลยครับ อาจจะฟังไปพร้อมกับอ่านตาม, อ่านให้รู้เรื่องก่อนแล้วจึงฟัง, หรือฟังก่อนแล้วจึงมาอ่าน หรือใช้หลายวิธีปนกันก็ได้ อย่าลืมว่าท่านสามารถคลิกเพื่อให้ Natasha หยุดอ่านชั่วคราวก็ได้ หรือจะฟังซักที่เที่ยวก็ได้
6. ถ้าต้องการดิก ก็ใช้ดิกที่คอลัมน์ซ้ายมือของบล็อกนี้
7. ผมขอแนะนำให้ท่านที่มี ipod หรือเครื่องเล่น mp3 ดาวน์โหลดไฟล์ไปฟัง ถ้าเป็นไปได้ก็ print script ไปดูด้วยก็ได้ หรือจะ burn ใส่แผ่น CD ไปฟังขณะขับรถก็ได้ครับ
ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ
ศึกษาเพิ่มเติม:
ท่านสามารถดาวน์โหลดไฟล์ mp3 และไฟล์ pdf script ของเนื้อเรื่องที่ฟังได้อีกเป็นสิบ ๆ เรื่องได้ที่เว็บนี้ครับ
http://www.xsir.net/dil-okulu/45009-part-you-will-find-audio-books.html
ถ้าลิงค์ข้างบนตาย ก็ไปที่ลิงค์นี้ครับ
http://72.14.235.132/search?q=cache:http://www.xsir.net/dil-okulu/45009-part-you-will-find-audio-books.html
พิพัฒน์
pptstn@yahoo.com
ขอบคุณสำหรับนิทานค่ะ
ตอบลบจะลองฝึกฟังไปเรื่อยๆค่ะ
:))
ขอบคุณสำหรับกำลังใจด้วยค่า
ใน link ศึกษาเพิ่มเติม downlown ยังไงค่ะ
ตอบลบขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆค่ะ และขอให้ผู้จัดทำ ได้บุญกุศลเยอะๆนะค่ะ
อ่านวิธีดาวน์โหลดจากลิงค์ข้างล่างนี้ตามข้อ [3]
ตอบลบhttp://english-for-thais.blogspot.com/2008/07/281.html
พิพัฒน์ (Blog Writer)
ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆที่ส่งให้นะคะ
ตอบลบสุดยอดเลยครับ ขอบคุณมากๆๆๆๆ
ตอบลบขอบคุณมากๆ นะคะ ถ้าไม่ได้ blog นี้ ก็ไม่มีวันเลยที่ภาษาอังกฤษของหนูจะพัฒนาขึ้นได้
ตอบลบขอบคุณจริงๆ ค่ะ ติดตามมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสส่งข้อความขอบคุณซักที ขอให้เจริญ เจริญ น่ะค่ะ
ตอบลบ-/l\- thank you for your blog เน้อค่ะ^^
ตอบลบ