สวัสดีครับ
การอ่าน ไม่ว่าภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย
เป็นทักษะที่ต้องฝึกด้วยสมาธิ นักเรียนหรือนักศึกษาที่สมาธิสั้นหรือตื้น อาจจะไม่ค่อยชอบการอ่าน
ซึ่งก็คือไม่ชอบการบำรุงสมองของตนด้วยการอ่าน
เขาอาจจะคิดว่าถึงอ่านน้อยก็ฉลาดมากได้ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด ภาษาไทยเป็นเช่นใด ภาษาอังกฤษก็เป็นเช่นนั้น
ผมกำลังสงสัยว่า เด็กไทยเราตั้งแต่เรียนอนุบาลจนจบมหาวิทยาลัย
ถ้านำข้อความภาษาอังกฤษทั้งหมดที่อ่านผ่านตา (ด้วยความตั้งใจ)มาพิมพ์ลงหน้ากระดาษขนาด
A4 - - จะได้สักกี่หน้า ?
ทุกวันนี้พอพูดถึงการฝึกหัดทักษะภาษาอังกฤษ
ก็มักจะนึกไปถึง speaking หรือ conversation มีคนจำนวนไม่มากนักที่นึกถึงการอ่าน ทั้ง ๆ ที่ถ้าพูดถึงการได้มาซึ่งความรู้
การอ่านสำคัญมาก ๆ อาจจะสำคัญเท่ากับหรือมากกว่าทักษะการพูดเสียอีก แต่นักเรียนไทยกลับสนใจทักษะนี้น้อยเกินไป ถ้ามีการสำรวจข้อมูลประเทศฐานะปานกลางที่อ่านภาษาอังกฤษน้อยที่สุด
ผมไม่แน่ใจใจว่าประเทศไทยจะติดอันดับ Top Ten หรือเปล่า ซึ่งถ้าติด
ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจ ผมคนหนึ่งหละที่ไม่ภูมิใจ
เพราะการลดหรือปิดโอกาสให้ความรู้จากข้อมูลสากลไหลเข้ามาสู่ตัวเราผ่านการอ่านภาษาอังกฤษ
ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเรียนไทยบางคนกำลังปฏิบัติอยู่นี้ ต้องถือว่าเป็นนิสัยที่เป็นปัญหา
ลองดูตัวอย่างสัก 2 – 3 เว็บข้างล่างนี้
ผมขอเน้นอีกครั้งหนึ่งครับว่า
-ฝึกการอ่าน
อาจจะไม่ค่อยสนุก แต่ก็จำเป็น
-ถ้าอ่านครั้งแรก ๆ ไม่รู้เรื่อง
หรือไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็ทนอ่านไปเรื่อย ๆ เถอะครับ จะค่อย ๆ รู้เรื่องมากขึ้นเอง
-อ่านทุกวัน ทั้งวันที่ขี้เกียจและวันที่ขยัน
ถ้าไม่มีเวลาถึง 30 นาที ก็เปิดหน้าจอหรือหน้าหนังสืออ่านสัก
5 นาทีก็ได้....
แต่อย่าไม่อ่าน
ผมมีคำแนะนำอีกนิดหน่อย สำหรับท่านที่ต้องการฝึกอ่านภาษาอังกฤษ
ที่ลิงค์นี้ครับ
พิพัฒน์
แปลกจัง คนไทยเรียนภาษาอังกฤษหลายปี แถมมีสถาบันภาษาเยอะมาก แต่พูดไม่ได้ ทีคนต่างชาติเรียนภาษาไทยแค่ไม่กี่เดือน ก็สามารถพูดได้ อยากบอกว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสถาบันสอนภาษามากที่สุด มี ร.ร.ติวเตอร์เยอะที่สุดอีก ทำให้สามารถวิเคราะห์ได้ว่าสถาบันการศึกษาไทยไม่ได้มาตรฐาน
ตอบลบน่าจะลดวิชาเรียนให้น้อยลง แต่เน้นวิชาที่ส่งเสริมวิชาชีพมากกว่า คือ เน้นเพื่อการทำงานมากกว่าเรียนแบบเน้นแต่ทฤษฏี คือ อยากให้เน้นคุณภาพมากกว่า จะจบมหาลัยแบบไหน ไม่จำเป็นแต่เน้นคุณภาพบุคลคลากรนักศึกษา